Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

727

 


"Domestic Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1429/1433 จุด รับ 1415/1411 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งขึ้น ดัชนี S&P500 +0.38% หุ้นเทคฯนำตลาด Broadcom ยังมีโมเมนตัม ขณะที่ปัจจัยมหภาค Flash PMI สหรัฐฯ ธ.ค. 24 ภาคบริการขยายตัว ดีกว่าคาด เร่งขึ้นงสู่ 58.5 จุด ชดเชยฝั่งภาคผลิตที่ต่ำกว่าคาด หนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นภาพ Goldilocks to Soft Landing แต่ตลาดน่าจะเริ่มรอสัญญาณช่วงถัดไปโดยเฉพาะมุมมองดอกเบี้ยและเศรษฐกิจจากการประชุม Fed (ไทยทราบผลเช้า 19 ธ.ค.) บ่งชี้จาก US Bond Yield 10 ปีที่ยังแกว่ง 4.4% ขณะที่เอเชียการฟื้นตัวจีนยังค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ความน่าสนใจระยะสั้นที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนยังไม่มาก ด้านไทยหลังตลาดปรับตัวลดลง 6 วันติด ส่งผลให้ Current Equity Risk Premium (ERP) แตะ 3.8% > ค่าเฉลี่ย 3.1% ส่วน Forward ERP ขึ้นไป 4.4% > Avg + 1 S.D. (4.05%) น่าจะเริ่มเป็นจุดกลับมาสร้างความน่าสนใจตลาดหุ้นไทย ผสาน ภายในลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ประเมิน SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ กลุ่ม Domestic ธนาคาร ค้าปลีก กลุ่มที่เป็นเป้า Domestic Long Term Funds อาทิ สื่อสาร วันนี้แนะนำ BJC, CRC, KTB

 

 

 

Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1429/1433 จุด รับ 1415/1411 จุด

What happened around the world?

(*) US Stock Market : ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวสวนทางกัน หุ้น Tech ยังนำหุ้น Value อิงดัชนี Dowjone -0.25% (แรงกดดันมาจากหุ้น United Health ลงต่อเนื่องจากช่วงก่อนอีก -4%) ดัชนี S&P500 +0.38% และดัชนี Nasdaq +1.24% ทำระดับ All time high โดย Sector หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ กลุ่ม Consumer Discretionary, ICT, Industrials ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆ คือ Energy, Healthcare,Materials ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ กลุ่มที่ขึ้นหลักๆคือ Broadcom +11% ปรับขึ้นต่อจากวันก่อนหลังรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด, Tesla +6% Alphabet +3.6%, Amazon+2.4% ฯลฯ

(*) US PMI : รายงาน Flash PMI ภาคผลิต ธ.ค. 24 โดยสถาบัน S&P ลดลงอยู่ที่ 48.3 จุดและต่ำกว่าคาดที่ 49.4 จุด 49.7 จุด (ดัชนี < 50 จุดสะท้อนภาคผลิตสหรัฐหดตัว) แต่สวนทางกับ PMI บริการ เร่งขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 58.5 จุด และมากกว่าตลาดคาดจะลดลงที่ 55.7 จุดvs prev. 56.1 จุด (สะท้อนภาคบริการสหรัฐแข็งแกร่ง) KSS ประเมินภาคบริการสหรัฐคิดราว 70%ของ GDP ขยายตัว ลดความกังวล PMI ภาคผลิต ออกมาต่ำ 50 จุด (ภาคการผลิตสัดส่วน GDP สหรัฐเพียง 10% น้อยกว่าทำให้ยังคงมองภาพเศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft landing

(*/+) India PMI : เศรษฐกิจอินเดียส่งสัญญาณเชิงบวก PMI > 50 จุด สะท้อนภาวะขยายตัว 1.) PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้น เดือนธ.ค. ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 60.7 จุด 2.)ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นในเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ 60.8 3.)ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นอยู่ที่ 57.4 จุด prev. 56.5 จุด บวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจเชื่อมโยงกับอินเดีย อาทิ กลุ่มโรงฟ้า : มอง GPSCเป็นผู้มีโอกาสได้ประโยชน์โดยตรงจากมีฐานธุรกิจไฟฟ้าในอินเดียอยู่แล้ว (Avaada) เราประเมินเบื้องต้น ทุกๆ การได้กำลังการผลิตเพิ่ม 100MWe จะเป็น upside ราว 0.3-0.4 บาท/หุ้น กลุ่มท่องเที่ยวและบริการ อาทิ สายการบิน, สนามบิน, โรงแรม อาทิ AOT, AAV, SPA, MINT ฯลฯ จะได้ประโยชน์ โดยนักท่องเที่ยวอินเดียมีศักยภาพและคิดราวอันดับ 4 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ กลุ่มส่งออกอาหาร อาทิ CPF, TU สัดส่วนรายได้จากอินเดียราว 5% ของรายได้รวม

(*) China Econ : ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจจีน พ.ย. ออกมาชะลอลงกว่าตลาดคาด สะท้อนภาพการฟื้นตัวที่สะดุดต่อจากเดือนก่อนหลังมีสัญญานกระเตื้องขึ้นในเดือน ก.ย. เรามองสอดคล้องกับดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจที่รวบรวม โดยตัวเลขเมื่อวานคือ 1.)ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม +5.4%y-y 5.4% ตามคาด 2.)ดัชนีค้าปลีก +3.0%y-y ต่ำกว่าคาดระดับ +5.0%y-y 3.)การลงทุนภาคอสังหา -10.4%ytd y-y ใกล้เคียงคาดระดับ -10.5%ytd y-y 4.) การลงทุนในสินทรัพย์คงทนอยู่ที่ระดับ +3.3%ytd y-y ชะลอลงจากเดือนก่อน +3.4%ytd y-y 5.)อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 5.0% เท่ากับเดือนก่อนและเท่ากับตลาดคาด ทำให้ตลาดยังเชื่อว่าในอนาคตจะมีโอกาสที่ทางการจีนจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มสะท้อนจากการประชุมรัฐบาลจีนในสัปดาห์ก่อนให้คำมั่นว่าในปี 2025 จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยจะเน้นไปที่การบริโภคครัวเรือน KSS ประเมิน ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนมองน่าสะสมหุ้น China Play นำโดย IVL SCC PTTGC

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ, 17 ธ.ค. ติดตามรายงานดัชนีค้าปลีก พ.ย. คาด +0.5%m-m vs prev. +0.4%m-m 19 ธ.ค. ประชุม FOMC คาดลดดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps สู่ 4.25% - 4.5% ฝั่งยุโรป 16 ธ.ค. Flash PMI ผลิต ธ.ค., ภาคบริการ ไม่มีคาด prev. 48.3 และ 45.2 จุด

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับขึ้นอิงอายุ 2 ปีปรับขึ้น 6 วันติด +1 bps อยู่ที่ 4.25% และอายุ 10 ปีปรับขึ้น 6 วันติด +1 bps อยู่ที่ 4.34% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นประกันชีวิต BLA, TLI หุ้นธนาคาร KBANK, BBL ส่วน Dollar Index แกว่งตัวบริเวณ 106.5 จุด( แนวต้านสำคัญคือ 107.2 จุด)

(*/-)Oil : ราคาน้ำมันดิบชะลอการขึ้น Brent -0.78%d-d ปิดที่ USD 73.91/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -0.81%d-d ปิดที่ USD 70.71/barrel แรงกดดันมาจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนเมื่อวานออกมาอ่อนตัว คือยอดค้าปลีกจีนต่ำคาด

(+) Bitcoin : ราคาบิทคอยยังแรับขึ้นต่อ 3.15%d-d ปิดที่ 106075.03 USD ทำระดับ All time high ประเมินแนวต้านระยะสั้นคือ 107,481 $ และเป้าระยะกลาง คือ 129,687$ แรงหนุนจาก Nasdaq ประกาศว่าจะนำหุ้นของ Microstrategy เข้ารวมในการคำนวณดัชนี Nasdaq-100 โดยมีผลบังคับใน 23 ธ.ค. มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto อาทิ BTC, JTS, TTA แนะนำเพียง Trading

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET : SET Index วันทำการล่าสุดปิดลบ -11.95 จุด หรือ -0.83% ปิดที่ 1419.72 จุด กลุ่มกดดันหลัก คือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL) กังวลประเด็น CPAXT เข้าลงทุนใน Happitat Mixed Use กระทบผลกำไรในระยะสั้นจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นราว 300 ล้านบาทต่อปี (2-3% ของคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้) เนื่องจาก Source of fund ในการเข้าลงทุนเป็นเงินกู้ทั้งหมด, ตลาดกังวลการแข่งขันที่รุนแรงในย่านบางนากดดันให้โครงการดังกล่าวถึงจุดคุ้มทุนช้ากว่าที่กำหนด และกระทบจิตวิทยาลงทุนหุ้น CPALL ที่ถือหุ้น CPAXT กลุ่ทการแพทย์ (BDMS, BH) นักลงทุนลดพอร์ตต่อเนื่องประเมินกำไร 4Q24 ชะลอตัว หลังพ้น High season ใน 3Q24 มาแล้ว ประกอบยังมีความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อ (VGI, ONEE) จากปัจจัยบวกเฉพาะบริษัท VGI เราคาดเป็นหุ้น Turnaround ส่วน ONEE จากกระแสคอนเท้นท์ละคร แม่หยัว ที่มีผลตอบรับดี กลุ่มพลังงาน (GULF, PTT) GULF เริ่มรีบาวน์หลังตอบรับปัจจัยลบ ขณะที่ราคาก๊าซเริ่มปรับตัวลดลง PTT ตามราคาน้ำมัน

(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายหุ้น -37.3 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -43 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -5,384 สัญญา เงินบาททรงๆ 34.1+/- บาท แต่ลดระดับอ่อนค่าจากชั่วโมงซื้อขายวานนี้ที่อ่อนค่าขึ้นไป 34.2 บาท

(*/+) Consumption Stimulus: รมช.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลได้เตรียมมาตรการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนไว้เรียบร้อยแล้ว และจะประกาศความชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งมาตรการที่จะออกมานี้ จะเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในรูปแบบที่ต้องใช้อิเล็กทรอนิกส์ด้วย ส่วนรายละเอียดอยากให้รอเวลาก่อน เราประเมินมาตรการที่จะออกน่าจะใกล้เคียงกับลักษณะโครงการ Easy E-Recepit ในปีที่ผ่านมา คาดเป็นบวกต่อหุ้นค้าปลีกที่มียอดขายต่อใบเสร็จสูงๆ อาทิ CRC, HMPRO, COM7, ADVICE, BJC

(*/+) Hotel: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม พ.ย. 24 เป็นบวก ผลสำรวจผู้ประกอบการโรงแรมพบว่า อัตราเข้าพักเพิ่มขึ้นทั้ง y-y และ q-q โดยปรับเพิ่มในทุกภูมิภาค และเพิ่มมากในกลุ่มโรงแรม 4 ดาว ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นโรงแรมไทยซึ่งส่วนใหญ่ให้บริการโรงแรม > 4 ดาว

(*/+) Retail: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก พ.ย. 24 ปรับลดลงเล็กน้อย m-m จากฐานที่มีแรงกระตุ้น Digital Wallet แต่ยังยืนระดับสูงกว่า 50 จุด ทั้งนี้ หากแยกประเภทร้านค้า กลุ่มที่ปรับลง คือ ร้านอาหาร ส่วน วัสดุก่อสร้าง ห้างสรรพสินค้า และร้านอุปโภคบริโถคยังเร่งขึ้นเด่น มองบวกต่อหุ้นค้าปลีก ห้าง เน้น CRC วัสดุก่อสร้าง เน้น GLOBAL ร้านอุปโภคบริโภค เน้น BJC

(*/+) ESG: ตลาดประกาศรายชื่อหุ้นที่มีการทบทวน ESG Score ใหม่ มีประเด็นน่าสนใจ กลุ่มหุ้นที่กลับมาอยู่ใน Universe การลงทุนของกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESG

กองทุนวายุภักษ์
หุ้นที่มี ESG Score ครั้งแรก มีโอกาสเป็นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ (เกณฑ์ของกองทุนวายุภักษ์ คือ ต้องมี Rating ระดับ BBB ขึ้นไป) อาทิ BTG(AAA), TASCO(AA), DELTA(A), JMART(A), KCE(A), MBK(A), MOSHI(A), TLI (A), TU (A), INSET (BBB), JMT (BBB)

กองทุน ThaiESG
หุ้นที่ไม่เคยอยู่ใน Universe ของกองทุน ThaiESG (กำหนดเกณฑ์หุ้นที่อยู่ใน SET100 ต้องมี Rating A ขึ้นไป ส่วนหุ้นนอก SET100 ต้องมี Rating AA+)

กลุ่มหุ้น SET100 ที่ไม่เคยมี Rating มาก่อน และได้ Rating ระดับ A ขึ้นไป คือ BTG, TASCO, DELTA, KCE, JMART, TLI, TU
กลุ่มหุ้นนอก SET100 ที่ไม่เคยมี Ratingหรือมี Rating แต่ได้รับการปรับ Rating เป็นระดับ AA ขึ้นไป คือ MC, SYNEX, SHR, STECON, TCAP
โดยรวมเราประเมินจำนวนหุ้นที่ Domestic Long Term Funds จะมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้นถือเป็นจิตวิทยาบวกทำให้เม็ดเงินลงทุนมีทางเลือกและกระจายตัวมากขึ้น

(*/+) TH Tourism: จำนวนผู้ใช้บริการสนามบินเดินทางออกนอกประเทศ (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ) ผ่านสนามบิน AOT วันที่ 1-14 ธ.ค. อยู่ที่ 104% ของ Pre-COVID แบ่งเป็นยอด 1-7 ธ.ค. 24 อยู่ที่ 105.3% ส่วน 8-14 ธ.ค. ประเมินลดลงเหลือ 103.2% แม้โมเมนตัมรายสัปดาห์แผ่วลงเล็กน้อย แต่โดยรวมเราประเมินเป็นภาพบวก คาดนักท่องเที่ยว ธ.ค. 24 มีแนวโน้มใกล้เคียงระดับ ธ.ค. 19 ที่ 3.7-3.8 ล้านคน หากรวมกับยอด 11M24 ที่ 31.9 ล้านคน คาดนักท่องเที่ยวทั้งปี 24F ยังอยู่ในกรอบที่ตลาดประเมิน 35.5 +/- ล้านคน และปี 2025F คาดกลับสู่ระดับใกล้เคียง Pre-COVID ผสาน จิตวิทยาบวกความคืบหน้าโครงการ Entertainment Complex ที่จะหนุนภาคบริการตลอดทั้งปี 2025 เชิงกลยุทธ์ แนะนำสะสมหุ้นอิงภาคบริการ อาทิ AOT, BJC, AWC, BTS (เก็งกำไร), VGI (เก็งกำไร)

(*/-) Excise Tax: กรมสรรพสามิตสั่งทบทวนราคาขายปลีกแนะนำ ซึ่งใช้เป็นฐานการเก็บภาษีสรรพสามิต โดยเบื้องต้นอาจครอบคลุม 22 รายการ รวมถึงรถยนต์และน้ำดื่ม เราประเมินจิตวิทยาลบต่อกลุ่มเครื่องดื่ม ยานยนต์ และกลุ่มที่เชื่อมโยงกับธุรกิจยานยนต์ อาทิ ธนาคารที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อ โดยหากฐานที่ใช้สูงขึ้น อาจจะทำให้ผู้บริโภคชะลอบริโภคลง ทั้งนี้ กลุ่มเครื่องดื่มเราประเมินหุ้นเสี่ยงกระทบสูง คือ กลุ่มที่มีสัดส่วนยอดขายในประเทศมากๆ อาทิ ICHI, OSP, CBG, SAPPE ซึ่งมียอดขายในประเทศ 95%, 60%, 30% และ 20% ของยอดขายรวม ตามลำดับ ส่วนกลุ่มยานยนต์และสถาบันการเงินที่เชื่อมโยง เราประเมินหุ้นเผชิญแรงกดดันยอดขายซบเซามาตลอดทั้งปี น่าจะทำให้ผลกระทบจำกัด ทั้งนี้ ยังไม่แนะนำให้กลับเข้าลงทุนจนกว่าจะมีสัญญาณทางบวก

(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม 1.) ต้นสัปดาห์นี้ คาดตลาดจะประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น

2.) 17 ธ.ค. ติดตามการประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยต่างชาติรายสัปดาห์

3.) 18 ธ.ค. ติดตามการประชุม กนง. ตลาดคาดยังคงดอกเบี้ย 2.25% เท่าการประชุมรอบก่อน

4.) 19 ธ.ค. FTSE Rebalance รอบ ธ.ค. 24 มีผลราคาปิด

Large Cap Mid Cap และ Small Cap ไม่มีทั้ง หุ้นเข้า และ หุ้นออก

Micro Cap หุ้นเข้า : FM, NEO หุ้นออก : ไม่มี

 

Daily Strategy : BJC, CRC, KTB เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "ลุ้น Rebound" ประเมิน SET ที่ปรับฐานลงต่อเนื่อง จนปัจจุบันมี Current Equity Risk Premium (ERP) แตะ 3.8% > ค่าเฉลี่ย 3.1% ส่วน Forward ERP ขึ้นไป 4.4% > Avg + 1 S.D. (4.05%) น่าจะเริ่มเป็นจุดกลับมาสร้างความน่าสนใจตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของตลาดจะ Selective ไปยังหุ้นที่มีปัจจัยขับเคลื่อน อาทิ ธนาคาร (US Bond Yield 10 ปียังแกว่งตัวสูง, เศรษฐกิจภายในฟื้นเร่งขึ้น, กนง. มีโอกาสคงดอกเบี้ยเป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้น รวมถึงท่าที Fed ที่อาจจะมองการปรับลดดอกเบี้ยปี 2025F น้อยกว่า Dot Plot เดิมเป็นอีกแรงเสริม) กลุ่มสื่อสาร (จิตวิทยาบวกหุ้นเทคฯต่างประเทศนำตลาดต่อเนื่อง+เป้าหมายกองทุน Domestic Long Term Funds) กลุ่มค้าปลีก (ติดตามมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ เข้ามาเพิ่ม อาทิ มาตรการลักษณะคล้าย Easy E-Receipt)

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE

• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update: SET50/100 1H25 Update

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 29 พ.ย. 2024 (ครบตามที่ตลาดฯ ใช้จริงในการคำนวณหาหุ้นเข้า/ออก) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความแม่นยำสูง โดยเราหวังว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น

• Strategy Update : Preliminary 2025 KSS Yearly Equity Strategy 2025 ภายนอกผันผวน โอกาสขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันภายใน หนุน Domestic Plays

การเคลื่อนไหวสินทรัพย์ต่างๆ ของโลกในปี 2024 พบว่า ตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง ดัชนี MSCI World (YTD) ให้ผลตอบแทนราว +16.3% แรงขับเคลื่อนมาจากเงินเฟ้อคลายตัว หนุนวงจรดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลง สะท้อนผ่าน US Bond Yield 10 ปีปรับลง -6.7% จากระดับสูงสุดช่วงปลายปี 2023 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะ Goldilocks - Soft Landing ส่วน SET Index ให้ผลตอบแทน YTD ที่ +3.3% ต่ำกว่าภาพรวม จากเสถียรภาพทางการเมืองในช่วง 1H24 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 3Q24 ที่เริ่มเร่งขึ้น จากแรงส่งจากภาครัฐฯ หนุน SET ฟื้นตัว

สำหรับปี 2025 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเร่งตัวไปถึงช่วงกลางปี 2025 เป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงมหภาคผันผวนมากขึ้น จากชัยชนะของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ และ พรรค Republican ในแบบ Red Sweep ส่งผลให้การผลักดันนโยบายต่างๆ จะสร้างผลกระทบกับประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่(EM) โดยเฉพาะนโยบาย "Make American Greatest Again" ผ่านการสนับสนุนประชาชนอเมริกัน ลดภาษีต่างๆ การใช้งบประมาณที่สูง เพิ่มปัญหาขาดดุลทางการคลัง ขณะที่กีดกันต่างชาติ สงครามการค้า (Trade war) โดยเฉพาะ จีน ถือเป็นประเด็นหลักสร้างความเสี่ยงให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดหวัง ผลของนโยบาย กีดกันผู้อพยพ, การขึ้นภาษีนำเข้า ผสาน ขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น จะผลักดันให้ US Bond Yield ระยะกลางสูงกว่าคาดการณ์เดิม ค่าเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่า โดยปัจจุบัน US Bond Yield 10 ปีขยับขึ้นจากโซนฐาน ณ ต้น ต.ค. ราว 75-80 bps, Dollar Index แข็งค่า +6-7%

ส่วนความเสี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า เริ่มเห็นภาพของตลาดหุ้น Asia ที่ บจ. มีรายได้เชื่อมโยงกับจีนและสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง อาทิ ยุโรป เกาหลีใต้ ไต้หวัน ให้ผลตอบแทน (MTD) Underperform โลก เรามองการเคลื่อนไหวสินทรัพย์ข้างต้น บ่งชี้ภาพตลาดให้น้ำหนักต่อปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนในปี 2025 ขึ้นกับแนวทางขับเคลื่อนนโยบายของคุณ Trump เป็นหลัก

หากอิงตามกรอบเวลาขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ จะสร้างความผันผวนต่อ EM Asia 2 ส่วน คือ

1.) US Bond Yield ผันผวนตามทิศทางดอกเบี้ยซึ่งบางส่วนขึ้นกับนโยบายคุณ Trump, แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อ Fund Flows และ Multiple ของตลาดหุ้น

2.) สงครามการค้า ถือเป็น Downside Risk ต่อประมาณการเศรษฐกิจ แม้ผลกระทบจากการบังคับใช้น่าจะส่งผลในช่วง 2H25 หรืออาจจะข้ามไปมีผล 2026 แต่เราประเมินตลาดหุ้นจะปรับตัวสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวก่อน โดยเฉพาะปลายไตรมาส 2 ประเทศที่มีความเสี่ยงกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสูง โดยเฉพาะ EM Asia ฝั่งจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ จะผันผวนในปี 2025

เราประเมิน Upside หลักจากมุมมองบวกต่อแผนจัดตั้งหน่วยงาน DOGE เพิ่มประสิทธิภาพให้หน่วยงานรัฐ ลดภาระทางการคลัง ส่วนนี้ หากทำได้ดีจะลดแรงกดดันต่อ US Bond Yield ในขณะเดียวกันผลกระทบจริงของ Trade War มีโอกาสต่ำกว่าตลาดกังวล เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ปรับโครงสร้าง Supply Chain ไปแล้วนับตั้งแต่ Trade War รอบแรก อาทิ จีนพึ่งพาสหรัฐฯ ลดลง ยอดส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ เหลือ 14.5% ของยอดรวม (vs ก่อน Trade War รอบก่อนที่ 19%) และ โอกาสเห็นจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งตัวใน 2H25 หากการขยายตัวเริ่มมีเสี่ยงต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้

ขณะที่กลุ่ม TIPs (บริษัทจดทะเบียน) มีรายได้เชื่อมโยงจีนและสหรัฐต่ำกว่าภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะไทยมีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสหรัฐฯ + จีน ต่ำกว่า 5% (Asia โดยเฉลี่ยราว 10%) ตรงกันข้ามแรงกดดันจาก Trade War จะหนุนการเติบโตใหม่ (New S-Curve) จากกระแสย้ายฐานการลงทุนจากต่างชาติเร่งขึ้น ผสาน ไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว คาดGDP จะเติบโตทำระดับสูงสุดของปีใน 4Q24 ที่ 3.5-4.0% และปี 2025 คาดขยายตัวต่อเนื่อง 2.8-3.0% เทียบปี 2024 ทั้งปีคาดขยายตัว 2.4-2.6% เม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศแข็งแรงขึ้น หนุนภาพกำไรตลาดและการลงทุนในปีหน้ายังดี KSS คาดการณ์กำไรตลาดปี 2025 เบื้องต้นที่ 96บาทต่อหุ้น ขณะที่กรอบ PER เป้าหมาย 17.3x ระดับค่าเฉลี่ย จะได้เป้าหมาย SET ปี 2025 เบื้องต้นที่ 1660 จุด (คิดเป็น Equity Risk Premium 3.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.06%)

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำอุตสาหกรรม Domestic ที่กำลังฟื้นตัวตามแรงขับเคลื่อนภายใน + ได้ประโยชน์นโยบาย Trump 2.0 ทั้งเชิงธุรกิจ หรือประโยชน์จาก Sector Rotation กระแสเม็ดเงินลงทุนที่หลบออกจากกลุ่ม Global Plays ที่มีความเสี่ยง

• กลุ่มได้ประโยชน์การย้ายฐานการผลิต ลดความเสี่ยงการกีดกันทางการค้า : นิคม WHA(TP-6.4) โรงไฟฟ้า GULF (TP Max-75) GPSC (TP-47)

• กลุ่ม Domestic ที่มีแรงหนุนภายใน

o กลุ่มธนาคาร BBL (TP Con-172), SCB (TP Con-119) และ KBANK (TP-180)

o กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305)

o กลุ่มที่อยู่ในช่วงฤดูกาล AOT(TP-64.5) CENTEL (TP-40)

o ค้าปลีก CPALL(TP-80)

o กลุ่มเช่าซื้อ

• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด

ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA

สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2

สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG

กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:

กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)

กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG

 

• Beverage(Bullish): In October, we estimate that OSP gained market share by 0.3ppt mom (to 44.8%), as it recovered the share loss after flooding subsided. On the contrary, CBG lost 0.7ppt mom (to 25.1%) as it did not participate in a promotion campaign (2 for THB18) in the CVS segment. Despite this, CBG is confident that it will achieve a 26% market share in December 2024, because from November 2024-January 2025, it has participated in the 2-for-THB18 campaign in the CVS segment. CBG also aims to gain 3ppt (to 29%) market share in 2025. We reiterate our BUY recommendations on both CBG (TP THB89) and OSP (TP THB23).

• Energy & Petrochemical (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) ทรงตัว w-w ปัจจัยบวกกังวล supply disruption จากสงครามและมาตรการคว่ำบาตร ชดเชยกับปัจจัยลบกังวล demand หลัง OPEC ปรับลดคาดการณ์ เรายังคงมุมมองราคาน้ำมันดิบ ธ.ค. 24 ฟื้น m-m ความกังวล supply disruption กลับมา ในขณะที่ demand น้ำมันจีน+ญี่ปุ่นฟื้นตัว

ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) -6% w-w แต่ไม่ได้น่ากังวลตัวฉุดมาจาก HSFO spread ที่ -98% w-w (ฐานต่ำ) ซึ่งโรงกลั่นในประเทศมี yield ดังกล่าวน้อย โดย product หลักอย่าง gasoline และ gasoil ฟื้นตัวได้ w-w หนุนจากขา demand U.S., EU และ อินเดีย คงมุมมองค่าการกลั่น ธ.ค. 24 ทรงตัว m-m หนุนจาก demand ฤดูท่องเที่ยวและฤดูหนาว รวมถึง supply disruption ที่มากขึ้น

ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ลด w-w demand ยังชะลอในขณะที่ราคา feedstock เพิ่มขึ้น i) สายโอเลฟินส์ HDPE/PP spread -3% w-w ii) สายอะโรเมติกส์ -1-5% w-w โดยเฉพาะ PX ที่ downstream ชะลอ ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread -1% w-w คงมุมมองแนวโน้ม ธ.ค. 24 spread ปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ ทรง-ชะลอ m-m ยกเว้น PET ที่คาดได้การลด run ช่วยให้ supply ตึงตัวขึ้น

ภาพสัปดาห์ ไม่มีตัวเด่น โดยเรายังคงมุมมองโรงกลั่นเป็นตัวเลือกเด่นของ 4Q24F ได้ปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของค่าการกลั่น 4QTD +37% q-q และ stock loss ที่ลดลง คง top pick เป็น SPRC (TP9.5) ทั้งนี้เรามองผลกระทบ Global minimum tax ต่อกลุ่มมีจำกัด โดยฝั่ง PTT งบเดี่ยวมีอัตราภาษีสูงกว่า 15% (effective tax rate 2022-23 สูงกว่า 21-24%), PTTEP อัตราภาษีสูงกว่า 40%, กลุ่มโรงกลั่นอัตราภาษีฯ 19-46%, ปิโตรเคมี 14-25% และสถานีบริการน้ำมัน 18-27% ส่วน SCGP อัตราภาษีงบรวม 2022-23 ราว 18-19% แม้ธุรกิจในเวียดนาม (สัดส่วนรายได้ 2022-23 ราว 15%) จะมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่คาดผลกระทบจำกัด

• PYLON (Buy, TP-2.6): เรามีมุมมองบวกต่อภาพอุตสาหกรรมเสาเข็ม หลังรัฐทำงบประมาณการลงทุนปี 2025F สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี และเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากทั้งโครงการรัฐและเอกชน ที่จะมีออกมามากขึ้น โดยทั้ง PYLON และ SEAFCO มี Backlog สูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส โดยคาดกำไร PYLON ปี 25F ฟื้นตัวแรง +132% y-y จากงานที่มีมากขึ้น และคง "Buy" จาก TP25F 2.6 บาท อิง P/BV 1.8 เท่า

 

 

 


4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point

Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO

Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

อ่อนตัว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ พรุ่งนี้ ประเทศไทย เข้าสู่ฤดูฝน ตอนนี้แถว รัชดาฯฝนตก อากาศเย็นสบาย นั่งมองหุ้นหลาย....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้