Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

598

 

 

"Domestic Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งสร้างฐาน" ต้าน 1439/1443 จุด รับ 1425/1421 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งตัวในกรอบแคบ ดัชนี S&P500 ทรงๆ -0.16% โดยมีหุ้นเทคโนโลยีรายตัว อาทิ Broadcom นำตลาด จากทิศทางการเติบโต AI ดีกว่าคาด ปัจจัยมหภาคตลาดรอติดตามรายงานเศรษฐกิจ Flash PMI ภาคผลิตและบริการสหรัฐ ธ.ค. 24 วันนี้ , ยอดค้าปลีก ผลผลิตอุตสาหกรรม ธ.ค. 24 พรุ่งนี้ (17 ธ.ค.) และผลประชุม Fed 17-18 ธ.ค. (เวลาไทยเช้า 19 ธ.ค.) แต่หากอิง US Bond Yield 10 ปี ที่เร่งขึ้นมาแตะ 4.4% น่าจะสะท้อนมุมมองระมัดระวังตลาดคาด Fed จะส่งสัญญาณเข้มงวดขึ้น ด้านเอเชียเช้าวันนี้ติดตามรายงานเศรษฐกิจจีน พ.ย. 24 คาดการฟื้นตัวยังค่อยเป็นค่อยไป อิงรายงาน New Yuan Loans สุดสัปดาห์ต่ำกว่าคาด ประเมินปัจจัยต่างประเทศเป็นกลางถึงลบอ่อนๆ อย่างไรก็ดี ภายในเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี คาดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวลดหย่อนภาษี ประเมินไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท จะเริ่มเข้ามาประคองตลาด ประเมิน SET วันนี้น่าจะยังพอประคองตัวสร้างฐานได้ โดยมีกลุ่มเด่น คือ ธนาคาร น้ำมัน หุ้น Big Cap ที่อยู่ในเป้ากองทุน TESG วันนี้แนะนำ ADVANC, KTB, KBANK

 

 

Daily outlook: "แกว่งสร้างฐาน" ต้าน 1439/1443 จุด รับ 1425/1421 จุด

What happened around the world?

(*/-) US Stock Market : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวสวนทางกันเมื่อวันศุกร์ เป็นประเด็นเฉพาะ อิงดัชนี Dowjone -0.20% ดัชนี S&P500 ปิดทรงตัว และดัชนี Nasdaq +0.12% โดย Sector หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ กลุ่ม IT, Consumer Discretionary, Utilities, Health Care ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆ คือ ICT, Materials ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ กลุ่มที่ขึ้นหลักๆคือ กลุ่ม Tech. อาทิ Broadcom +24% หลังจากบริษัทคาดการณ์รายได้ 4Q24สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด และคาดว่าความต้องการชิป (AI) ที่ออกแบบเฉพาะจะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2025 เป็นต้นไป , Microstrategy +4.2% หนุนจากราคา Bitcoin ปรับขึ้นใกล้จุดสูงสุดของประวัติการณ์ Tesla +4.34% , RH+ 16.95% บริษัทค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่สหรัฐรายงานรายได้เพิ่มขึ้น 3Q24 ฯลฯ

(*/+) US Tech Stocks : ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศความตั้งใจการแต่งตั้งคุณแอนดรูว์ เฟอร์กูสัน กรรมาธิการสำนักคณะกรรมการการค้าแห่งสหรัฐฯอเมริกา (FTC) คนปัจจุบันให้ดํารงตําแหน่งประธาน FTCโดยแนวคิดของเฟอร์กูสันคือ สนับสนุนโยบายการยกเลิกกฎระเบียบ, ผ่อนคลายนโยบายเพื่อเอื้อให้กับธุรกิจในอุตสหกรรม Tech สหรัฐ อาทิ AI ตลาดคาดจะบวกต่อ Meta, Google , Microsoft ฯลฯ KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq ในระยะกลาง ยาว โดยน้ำหนักการลงทุนหุ้นสหรัฐคือ Neutral โดยแนะนำกองทุนหุ้น Tech หลักๆคือ KFNDQ (NASDAQ100 Index) และ KFUSINDX-A (S&P500 ETF) ส่วน ETF แนะนำคือ QQQ US (NASDAQ100) ฯลฯ

(*/-) France Creditrating : เมื่อวันศุกร์ Moody's สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับลดอันดับเครดิตของฝรั่งเศสจาก "Aa2" ลงมาเหลือ "Aa3" เนื่องจากคาดฐานะการเงินของฝรั่งเศสจะอ่อนแอลงอย่างมากในปี 2025เป็นต้นไป และผลจากความแตกแยกทางการเมือง โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นยุโรป โดยคำแนะนำลงทุนเราให้น้ำหนักเพียง Neutral ส่วนหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงยุโรป มองเป็นจิตวิทยาลบระยะสั้น

(*/-) China Econ New loan เดือน พ.ย. อยู่ที่ 580 พันล้านเหรียญ VS. ตลาดคาด 950 พันล้านเหรียญฯ ยังฟื้นตัวต่ำ vs prev. 500 พันล้านเหรียญฯ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นในช่วงก่อน ทำให้ตลาดยังเชื่อว่าในอนาคตจะมีโอกาสที่ทางการจีนจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มสะท้อนจากการประชุมรัฐบาลจีนในสัปดาหก่อนให้คำมั่นว่าในปี 2025 จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยจะเน้นไปที่การบริโภคครัวเรือน KSS ประเมิน ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนมองน่าสะสมหุ้น China Play นำโดย IVL SCC PTTGC

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 16 ธ.ค. Flash PMI ผลิต ธ.ค. 24 ไม่มีคาด prev. 49.7 จุด PMI บริการ ไม่มีคาด vs prev. 56.1 จุด., 17 ธ.ค. ติดตามรายงานดัชนีค้าปลีก พ.ย. คาด +0.5%m-m vs prev. +0.4%m-m 19 ธ.ค. ประชุม FOMC คาดลดดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps สู่ 4.25% - 4.5% ฝั่งยุโรป 16 ธ.ค. Flash PMI ผลิต ธ.ค., ภาคบริการ ไม่มีคาด prev. 48.3 และ 45.2 จุด ฝั่งจีน 16 ธ.ค. ติดตามการรายงานกิจกรรมเศรษฐกิจจีน พ.ย. ได้แก่ 1). ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาด +5.3%y-y เท่า prev. , 2) ดัชนีค้าปลีก คาด 5.0%y-y vs prev. +4.8%y-y, 3) การลงทุนสินค้าคงทน คาด +3.5%ytd y-y vs prev +3.4%ytd y-y และ 4) การลงทุนภาคอสังหา ไม่มีคาด เดือนก่อน +2.0%ytd y-y

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับขึ้นอิงอายุ 2 ปีปรับขึ้น 5 วันติด +5 bps อยู่ที่ 4.24% และอายุ 10 ปีปรับขึ้น 5 วันติด +6 bps อยู่ที่ 4.39% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นประกันชีวิต BLA, TLI หุ้นธนาคาร KBANK, BBL ส่วน Dollar Index แกว่งตัวขึ้นแข็งค่าบริเวณ 106.5 จุด( แนวต้านสำคัญคือ 107.2 จุด) หนุนค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่า เป็นปัจจัยลบต่อ Fund flow

(+) Oil : น้ำมันดิบปรับเพิ่มแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ Brent 1.47%d-d ปิดที่ USD 74.49/barrel น้ำมันดิบ West Texas 1.81%d-d ปิดที่ USD 71.29/barrel แรงหนุนจากการ 1.)คาดการณ์เกี่ยวกับการคว่ำบาตรที่เข้มงวดขึ้นต่อรัสเซียและอิหร่าน, 2.)แนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ได้รับการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, 3.)สถานการณ์ตะวันออกกลางยังมีอยู่ 4.)แนวโน้ม Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในสัปดาห์นี้ โดยรวมมองบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

(+) Bitcoin. : ราคาบิทคอย +2.52%d-d ปิดที่ 103,633 USD ยังยืนเหนือระดับ 1 แสน$ และระดับ All time high ประเมินแนวต้านระยะสั้นคือ 107,481 $ และเป้าระยะกลาง คือ 129,687$ แรงหนุนมาจากประเด็น ทรัมป์เสนอชื่อนายพอล แอตกินส์ ให้ดำรงตำแหน่งประธาน กลต. สหรัฐ (SEC) ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายตามที่ให้คำมั่นสัญญาณในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto อาทิ BTC, JTS, TTA แนะนำเพียง Trading

 

What happened in Thailand?

(*/-) SET : SET Index วันทำการล่าสุดปิดลบ -8.22 จุด หรือ -0.57% ปิดที่ 1431.67 จุด กลุ่มกดดัน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) ประเมินกังวลประเด็นความเสี่ยงเสียภาษีเพิ่มขึ้น หลังรัฐฯประกาศใช้เกณฑ์ตามแนวทาง OECD ในส่วน Pillar 2 ที่กำหนด บ. ข้ามชาติต้องเสียภาษีในอัตรา 15% กลุ่มพลังงาน (GULF) กดดันจาก US Bond Yield 10 ปีที่เร่งขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ผสาน เงินบาทอ่อนค่า กลุ่มประคอง คือ กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) จิตวิทยาบวก US Bond Yield สหรัฐฯดังกล่าว บวกกับ เก็งโอกาสที่ กนง. น่าจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมสัปดาห์นี้ กลุ่มปิโตรเคมี (IVL, PTTGC) ตอบแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ซึ่งที่ประชุม CEWC มีข้อสรุปเน้นการกระตุ้นฝั่งบริโภคและการลงทุนครั้งแรกในรอบหลายปี

(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายหุ้น -14 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -76 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Shorrt -29,118 สัญญา เงินบาทอ่อนค่า 34.1+/- บาท

(*) Pheu Thai Party Seminar: ในงามสัมมนา โครงการเสริมศักยภาพ ส.ส. และบุคลากรการเมืองของพรรคเพื่อไทย มีประเด็นน่าสนใจที่อาจบ่งชี้ทิศทางนโยบายรัฐบาลในอนาคตจากการให้ความเห็นบางประเด็นของคุณทักษิณอดีตหัวหน้าพรรค ดังนี้

นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ รมช. คลัง ไปศึกษาว่าเราจะใช้งาน Bitcoin ภายในประเทศได้หรือไม่ กระแสดังกล่าวสอดรับนโยบาย Trump ล่าสุดที่สนับสนุนในส่วน Bitcoin โดยรวมประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเชื่อมโยง อาทิ BTC, JTS, TTA ทั้งนี้ ระยะสั้นวางกลยุทธ์เพียงเก็งกำไร
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงการใช้ Stablecoin โดยใช้พันธบิตรรัฐบาลค้ำประกัน ที่จะเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ในส่วนนี้เราประเมินว่าต้องใช้เวลา
วางเป้าหมายขับเคลื่อน GDP ปี 2025 เติบโต 3.5% ปี 2026 เติบโต 4% รวมถึงการพิจารณาแนวทางลดขาดดุลหรือเก็บภาษีให้เพียงพอ เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะต่อ GDP กรณีดังกล่าวยังไม่มีการชี้แจงรายละเอียดที่มาการเติบโตที่มองสูงกว่าตลาด จึงต้องติดตามความชัดเจนอีกครั้ง
ชี้แจงประเด็น MOU44 ว่าเป็นการหาข้อสรุปเรื่องการลากเส้นเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศที่ไม่ตรงกัน ซึ่งต้องอ้างกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนเกาะกูดที่เป็นประเด็นเป็นของไทยอยู่แล้วตามสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ประเด็นดังกล่าวต้องรอติดตามท่าทีคุณสนธิและท่าทีรัฐบาลในลำดับถัดไป
(*/+) Domestic Long Term Funds: นายกสมาคมบริษัทจัดการการลงุทน (AIMC) เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุน TESG มีเม็ดเงินลงทุนแล้ว 2.0 หมื่นล้านบาท โดยประเมิน 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีน่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าอีก 1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูล NAV ตามประเภทหลักทรัพย์ที่ลงทุน ปัจจุบันมีเม็ดเงินในกองทุนรวมตราสารทุน (หุ้น) ราวครึ่งนึง และอยู่ในฝั่งลงทุนในตราสารหนี้เท่าๆกัน ทั้งนี้ หากเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มเติมตามที่ AIMC คาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินเข้าหนุนตลาดหุ้นช่วง 2 สัปดาห์ที่เหลือของปีไม่ต่ำกว่า 5.0 พันล้านบาท ประเมินจิตวิทยาบวกต่อ SET และหุ้น Big Cap ทึ่คาดเป็นเป้าหมายของเงินลงทุน อาทิ ADVANC, CPALL, BJC, HMPRO, KBANK, SCB, KTB, GULF, BTS, AOT

(*) SET50/100 Rebalance: ต้นสัปดาห์ คาดตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น

(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม

1.) 17 ธ.ค. ติดตามการประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยต่างชาติรายสัปดาห์

2.) 18 ธ.ค. ติดตามการประชุม กนง. ตลาดคาดยังคงดอกเบี้ย 2.25% เท่าการประชุมรอบก่อน

3.) 19 ธ.ค. FTSE Rebalance รอบ ธ.ค. 24 มีผลราคาปิด

Large Cap Mid Cap และ Small Cap ไม่มีทั้ง หุ้นเข้า และ หุ้นออก

Micro Cap หุ้นเข้า : FM, NEO หุ้นออก : ไม่มี

 

Daily Strategy : ADVANC, KTB, KBANK เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "แกว่งสร้างฐาน" ปัจจัยกำหนดกลุ่มนำวันนี้ ต่างประเทศเรื่องหลัก คือ US Bond Yield 10 ปีที่เร่งขึ้นแตะ 4.4% ก่อนการประชุมธนาคารกลางหลักๆของโลก ประเมินหนุนจิตวิทยากลุ่มได้ประโยชน์ Yield อาทิ ธนาคาร ส่วนอื่นๆ เก็งไปตามปัจจัยภายใน คือ เม็ดเงินกองทุน TESG ที่คาดว่าจะเข้ามาเพิ่มอย่างมีนัยฯในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี คาดหนุนหุ้น Big Cap ที่เป็นเป้าหมาย ผสาน เก็งหุ้นเข้า SET50

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE

• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update: SET50/100 1H25 Update

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 29 พ.ย. 2024 (ครบตามที่ตลาดฯ ใช้จริงในการคำนวณหาหุ้นเข้า/ออก) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความแม่นยำสูง โดยเราหวังว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น

• Strategy Update : Preliminary 2025 KSS Yearly Equity Strategy 2025 ภายนอกผันผวน โอกาสขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันภายใน หนุน Domestic Plays

การเคลื่อนไหวสินทรัพย์ต่างๆ ของโลกในปี 2024 พบว่า ตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง ดัชนี MSCI World (YTD) ให้ผลตอบแทนราว +16.3% แรงขับเคลื่อนมาจากเงินเฟ้อคลายตัว หนุนวงจรดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลง สะท้อนผ่าน US Bond Yield 10 ปีปรับลง -6.7% จากระดับสูงสุดช่วงปลายปี 2023 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะ Goldilocks - Soft Landing ส่วน SET Index ให้ผลตอบแทน YTD ที่ +3.3% ต่ำกว่าภาพรวม จากเสถียรภาพทางการเมืองในช่วง 1H24 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 3Q24 ที่เริ่มเร่งขึ้น จากแรงส่งจากภาครัฐฯ หนุน SET ฟื้นตัว

สำหรับปี 2025 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเร่งตัวไปถึงช่วงกลางปี 2025 เป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงมหภาคผันผวนมากขึ้น จากชัยชนะของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ และ พรรค Republican ในแบบ Red Sweep ส่งผลให้การผลักดันนโยบายต่างๆ จะสร้างผลกระทบกับประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่(EM) โดยเฉพาะนโยบาย "Make American Greatest Again" ผ่านการสนับสนุนประชาชนอเมริกัน ลดภาษีต่างๆ การใช้งบประมาณที่สูง เพิ่มปัญหาขาดดุลทางการคลัง ขณะที่กีดกันต่างชาติ สงครามการค้า (Trade war) โดยเฉพาะ จีน ถือเป็นประเด็นหลักสร้างความเสี่ยงให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดหวัง ผลของนโยบาย กีดกันผู้อพยพ, การขึ้นภาษีนำเข้า ผสาน ขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น จะผลักดันให้ US Bond Yield ระยะกลางสูงกว่าคาดการณ์เดิม ค่าเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่า โดยปัจจุบัน US Bond Yield 10 ปีขยับขึ้นจากโซนฐาน ณ ต้น ต.ค. ราว 75-80 bps, Dollar Index แข็งค่า +6-7%

ส่วนความเสี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า เริ่มเห็นภาพของตลาดหุ้น Asia ที่ บจ. มีรายได้เชื่อมโยงกับจีนและสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง อาทิ ยุโรป เกาหลีใต้ ไต้หวัน ให้ผลตอบแทน (MTD) Underperform โลก เรามองการเคลื่อนไหวสินทรัพย์ข้างต้น บ่งชี้ภาพตลาดให้น้ำหนักต่อปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนในปี 2025 ขึ้นกับแนวทางขับเคลื่อนนโยบายของคุณ Trump เป็นหลัก

หากอิงตามกรอบเวลาขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ จะสร้างความผันผวนต่อ EM Asia 2 ส่วน คือ

1.) US Bond Yield ผันผวนตามทิศทางดอกเบี้ยซึ่งบางส่วนขึ้นกับนโยบายคุณ Trump, แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อ Fund Flows และ Multiple ของตลาดหุ้น

2.) สงครามการค้า ถือเป็น Downside Risk ต่อประมาณการเศรษฐกิจ แม้ผลกระทบจากการบังคับใช้น่าจะส่งผลในช่วง 2H25 หรืออาจจะข้ามไปมีผล 2026 แต่เราประเมินตลาดหุ้นจะปรับตัวสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวก่อน โดยเฉพาะปลายไตรมาส 2 ประเทศที่มีความเสี่ยงกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสูง โดยเฉพาะ EM Asia ฝั่งจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ จะผันผวนในปี 2025

เราประเมิน Upside หลักจากมุมมองบวกต่อแผนจัดตั้งหน่วยงาน DOGE เพิ่มประสิทธิภาพให้หน่วยงานรัฐ ลดภาระทางการคลัง ส่วนนี้ หากทำได้ดีจะลดแรงกดดันต่อ US Bond Yield ในขณะเดียวกันผลกระทบจริงของ Trade War มีโอกาสต่ำกว่าตลาดกังวล เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ปรับโครงสร้าง Supply Chain ไปแล้วนับตั้งแต่ Trade War รอบแรก อาทิ จีนพึ่งพาสหรัฐฯ ลดลง ยอดส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ เหลือ 14.5% ของยอดรวม (vs ก่อน Trade War รอบก่อนที่ 19%) และ โอกาสเห็นจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งตัวใน 2H25 หากการขยายตัวเริ่มมีเสี่ยงต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้

ขณะที่กลุ่ม TIPs (บริษัทจดทะเบียน) มีรายได้เชื่อมโยงจีนและสหรัฐต่ำกว่าภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะไทยมีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสหรัฐฯ + จีน ต่ำกว่า 5% (Asia โดยเฉลี่ยราว 10%) ตรงกันข้ามแรงกดดันจาก Trade War จะหนุนการเติบโตใหม่ (New S-Curve) จากกระแสย้ายฐานการลงทุนจากต่างชาติเร่งขึ้น ผสาน ไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว คาดGDP จะเติบโตทำระดับสูงสุดของปีใน 4Q24 ที่ 3.5-4.0% และปี 2025 คาดขยายตัวต่อเนื่อง 2.8-3.0% เทียบปี 2024 ทั้งปีคาดขยายตัว 2.4-2.6% เม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศแข็งแรงขึ้น หนุนภาพกำไรตลาดและการลงทุนในปีหน้ายังดี KSS คาดการณ์กำไรตลาดปี 2025 เบื้องต้นที่ 96บาทต่อหุ้น ขณะที่กรอบ PER เป้าหมาย 17.3x ระดับค่าเฉลี่ย จะได้เป้าหมาย SET ปี 2025 เบื้องต้นที่ 1660 จุด (คิดเป็น Equity Risk Premium 3.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.06%)

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำอุตสาหกรรม Domestic ที่กำลังฟื้นตัวตามแรงขับเคลื่อนภายใน + ได้ประโยชน์นโยบาย Trump 2.0 ทั้งเชิงธุรกิจ หรือประโยชน์จาก Sector Rotation กระแสเม็ดเงินลงทุนที่หลบออกจากกลุ่ม Global Plays ที่มีความเสี่ยง

• กลุ่มได้ประโยชน์การย้ายฐานการผลิต ลดความเสี่ยงการกีดกันทางการค้า : นิคม WHA(TP-6.4) โรงไฟฟ้า GULF (TP Max-75) GPSC (TP-47)

• กลุ่ม Domestic ที่มีแรงหนุนภายใน

o กลุ่มธนาคาร BBL (TP Con-172), SCB (TP Con-119) และ KBANK (TP-180)

o กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305)

o กลุ่มที่อยู่ในช่วงฤดูกาล AOT(TP-64.5) CENTEL (TP-40)

o ค้าปลีก CPALL(TP-80)

o กลุ่มเช่าซื้อ

• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด

ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA

สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2

สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG

กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:

กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)

กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG

 

 

• CPAXT (Neutral, TP-35): On 13 December, CPAXT invested THB8b for a 95% stake in Axtra Growth Plus, which holds 100% in Happitat at the Forestias (The Happitat) to develop a mixed used project in Bangna, Bangkok. The Happitat is a mixed used project situated in the Forestias Project – a high-end residential complex. The project comprises three shopping mall buildings (43,000 sq.m) and a 10-storey office building (24,000 sq.m). The project will be almost all funded with debt, completed in 1Q26 and will turn EBITDA positive in 2026. It will be EBIT positive in 2027 and will not be profitable at the net income level until 2029. We feel the investment could pressure profit in 2025, as it will have to incur interest cost (3.8% interest rate, THB304m interest expense) while the project will not be operational until 2026. Net of tax, this could lower our FY25F core profit by 2.2%.

• SC (Trading Buy, TP-3.2): มุมมอง slightly positive จากการไปเยี่ยมชม 2 โครงการ flagship ของปีนี้ในกลุ่ม low-rise และ condo ที่เปิดตัวใน 3Q24 ที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 โครงการมี take-up rate สูงกว่าเป้า; i) โครงการ Connoissuer มูลค่า 1.76 พันลบ. take up rate สูง 62% ของมูลค่าโครงการ ii) โครงการ Reference Ekamai มูลค่า 3.2 พันลบ. มี take-up rate สูงถึง 75% ของมูลค่าโครงการ โดยทั้ง 2 โครงการเป็นส่วนสำคัญต่อ 4Q24F presale ที่มีโอกาส upside จากเป้าที่ 7.0 พันลบ. (ทรงตัว y-y, เพิ่มขึ้น q-q) รวมถึงโครงการ Connoissuer มีส่วนสำคัญต่อ 4Q24F transfer เราคงกำไรสุทธิ 2024F ที่ 2.03 พันลบ. (-18% y-y) และคาดโต +10% ใน 2025F ที่ 2.25 พันลบ. เราคง TP25F ที่ 3.20 บาท คง Trading Buy จากแผนธุรกิจที่ aggressive 3 ปีข้างหน้าทั้ง residential และธุรกิจใหม่เพื่อสร้าง new S-curve ทำให้กำไรสุทธิใน 2H25F เป็นต้นไป จะโตต่อเนื่องและสม่ำเสมอขึ้น

• DELTA (Reduce, TP-115): There could be 12% downside risk to FY25F earnings due to the 15% Global Minimum Corporate Tax which Thai cabinet recently approved, effective 2025. And, valuation is rich currently at 82x P/E, the highest in three years. These prompted us to downgrade DELTA to REDUCE (from NEUTRAL). TP is intact at Bt110.

 

 

 

 

4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point

Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO

Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

อ่อนตัว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ พรุ่งนี้ ประเทศไทย เข้าสู่ฤดูฝน ตอนนี้แถว รัชดาฯฝนตก อากาศเย็นสบาย นั่งมองหุ้นหลาย....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้