"Selective Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งสร้างฐาน" ต้าน 1445/1448 จุด รับ 1432/1427 จุด ดัชนี S&P500 -0.54% เงินเฟ้อผู้ผลิต PPI สหรัฐ ก.ย. 24 สูงกว่าคาด+ 3%y-y, 0.4%m-m vs prev. 2.6%y-y, 0.2%m-m ส่งผลให้ US Bond Yield 10 ปี +6 bps สู่ 4.33% สูงสุดใน 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ ภาคแรงงานที่เริ่มเปราะบางขึ้น ผู้ขอรับสวิสดิการว่างงานครั้งแรก แย่กว่าคาด เพิ่มสู่ 2.42 แสนราย สูงสุดใน 6 สัปดาห์ แม้ระยะสั้นอาจมีความผันผวนจากภาพ PPI แต่ประเมินไม่เปลี่ยนภาพหลักวงจรดอกเบี้ยขาลง และสหรัฐพยายามประคองเศรษฐกิจ Soft Landing ในระยะกลาง ด้านจีน หลังประชุม CEWC พบว่า ยังไม่มีการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้แรงขับเคลื่อนเอเชียแผ่วลง แต่จุดประคอง SET คาดอยู่ที่ภายใน แม้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่นายกแถลงดูจะเน้นโครงการสร้างโอกาส ระยะกลาง-ยาวให้ประชาชน แต่โครงการเดิมที่ยังเดินหน้าต่อ อาทิ Digital Wallet เฟส 2 และ 3 , การเร่งสร้าง New S Curve ผสาน สัญญาณ รฟท.เร่งประมูลโครงการ Mega Projects รถไฟรางคู่ ระยะ 2 > 1.0 แสนล้านบาท ในปี 2025F ประเมิน SET สร้างฐาน หุ้นนำ คือ หุ้น Domestic ที่ได้ประโยชน์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังองค์ประกอบ การบริโภค การลงทุนวันนี้แนะนำ BTS, KTB, SPRC
Daily outlook: "แกว่งสร้างฐาน" ต้าน 1445/1448 จุด รับ 1432/1427 จุด
What happened around the world?
(*/-) US Stock Market : ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกลง รับรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต(PPI) และยอดขอรับสวัสดิการว่างงานออกมาสูงกว่าคาด อิงดัชนี Dowjone -0.53% ดัชนี S&P500 -0.54% และดัชนี Nasdaq -0.65% โดย Sector หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ กลุ่ม Consumer Staple ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆ คือ Health care, Consumer Discretionary, ICT ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Nvidia -1.41% Adobe -13.69% หลังจากเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ในปี 2025 ต่ำกว่าตลาดคาด, Warner Bros. Discovery) +15.4% หลังจากประกาศแผนแยกธุรกิจเคเบิลทีวีที่กำลังซบเซออกจากธุรกิจสตรีมมิงและสตูดิโอ ฯลฯ
(*/-) US Econ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาในโทนลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง 1.)ดัชนีราคาผู้ผลิต(PPI) เดือน ต.ค. +0.4%m-m มากกว่าตลาดคาด 0.2% และ +3.0%y-y มากกว่าตลาดคาด 2.6%y-y 2.) ยอดขอรับสวัสดิการ (Initial Jobless Claims) +1.7 หมื่นราย) ที่ 2.42 แสนรายเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด(การเพิ่มขึ้นยังไม่น่ากังวลเพราะ MUFG ทำการศึกษา initial jobless claims ที่เพิ่มขึ้นเกิน 5 หมื่นราย มักเป็นสัญญาณของเศรษกิจถดถอย และจากการศึกษาความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)
(*/+) ECB Meeting : ผลประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) ลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด(Inline) พร้อมปรับลด GDP ปีนี้และปีหน้า ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2025 เหลือ 1.1% (ลดลงจากเดิมที่ 1.3%)GDP ปี 2026 คาดจะเติบโตที่ 1.4% (ลดลงจากเดิมที่ 1.5%) หนุนยูโรอ่อนค่า ดัน Dollar แข็งต่อ กดดัน เงินเอเซียเงินบาท กดดัน Fund flow ไหลเข้าไทย
(*/+) Donald Trump& Xi : ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ คุณโดนัลด์ ทรัมป์เชิญ ประธานาธิบดีจีน"สี จิ้นผิง" เข้าร่วมพิธีสาบานตน ท่ามกลางความหวังสู่ความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีน KSS มองเป็นเพียงจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นจีน
(*/-) US - China Tariff : คณะบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่าจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์ (แผงโซลาร์เซล) และโพลีซิลิคอนจากจีนมองเป็นประเด็นเดิม เคยเกิดขึ้นในอดีต จิตวิทยาลบเรื่อง Trade war สั้นๆ มองบวกต่อนิคม เนิน WHA
(*)China CEWC Meeting : การประชุมคณะทำงานเศรษฐกิจจีน (China Economic Work Conference: CEWC) ข้อสรุปคือ ไม่มีรายละเอียดการวางกรอบนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมมีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มระดับขาดดุลทางการคลังปี 2025 ขึ้นเพิ่มขึ้นเป็น 4.0% - 4.5% ถือว่าผิดคาด แต่ที่ประชุมให้คำมั่นว่าในปี 2025 จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยจะเน้นไปที่การบริโภคครัวเรือน KSS ประเมิน ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนมองน่าสะสมหุ้น China Play นำโดย IVL SCC PTTGC
(*)To monitor : กลางสัปดาห์หน้า 17-18 ธ.ค. ติดตามการประชุม Fed ตลาดคาดโอกาสลดดอกเบี้ย 99% แต่มองมีโอกาส Sell on fact เพราะตลาดหุ้นสหรัฐ และ Tech stocks price in ในราคาไปแล้ว ถ้าลดดอกเบี้ยตามคาด มองตลาดจะ trading เป็นภาพ sideway up ไปถึงวันอังคาร -พุธหน้า หลังจากนั้น อาจจะเกิด Sell on fact และตลาดจะมา adjust ดอกเบี้ยปี 2025 จะลดกี่ครั้งจากปัจจุบันมองลงแค่ 2 ครั้ง
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับขึ้นอิงอายุ 2 ปีปรับขึ้น 4 วันติด + 3 bps อยู่ที่ 4.19% และอายุ 10 ปีปรับขึ้น 4 วันติด +6 bps อยู่ที่ 4.33% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นประกันชีวิต BLA, TLI หุ้นธนาคาร KBANK, BBL ส่วน Dollar Index แข็งค่าต่อขึ้นมาบริเวณ 106.4 จุด( แนวต้านสำคัญคือ 107.2 จุด) หนุนค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่า เป็นปัจจัยลบต่อ Fundflow
(+) Refinery: ค่าการกลั่นฟื้นตัว วานนี้ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 12 ธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.13$ (+21%) ปิดที่ระดับ 6.5$/bbl ระยะสั้นยังเป็นขาขึ้นสะท้อนจากค่าการกลั่นในช่วงปลาย 3Q24 เฉลี่ยที่ 2-3$/bbl แต่ปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 5-6.5$/bbl นับเป็นสัญญาณบวกต่อการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่น Top Pick คือ SPRC
(*/-) Oil : น้ำมันดิบ Brent -0.15%d-d ปิดที่ USD 73.41/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.38%d-d ปิดที่ USD 70.02/barrel รับข่าว IEA ออกรายงานเตือนเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาดในปี 2568 ราว 950,000 บาร์เรล/วันในปี 2568 เท่ากับ 1% ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก
(+) US Gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX +2.2%d-d, +12.3%wtd ปิดที่ USD3.378/MMBtu สูงสุดในรอบสัปดาห์เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอากาศจะหนาวเย็นขึ้นและความต้องการใช้ความร้อนจะสูงขึ้น โดยรวมมองบวกต่อหุ้นที่มีรายได้จากก๊าซ อาทิ BANPU แต่เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มทีมีต้นทุนก๊าซ อาทิ โรงไฟฟ้า
What happened in Thailand?
(*/-) SET : SET Index วันทำการล่าสุดปิดลบ -3.16 จุด ปิดที่ 1439.89 จุด -0.22% กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, GULF, PTTEP) PTT, PTTEP ปรับลง แม้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น แต่ประเมินตลาดยังมีมุมมองลบต่อภาพระยะกลาง GULF กดดันจากจิตวิทยาลบราคาก๊าซเร่งขึ้นช่วงฤดูหนาว + US Bond Yield ขยับขึ้น 3 วันต่อเนื่อง กลุ่มอสังหาฯ (CPN) มองปรับตัวลงตอบรับนายกฯแถลงผลงาน ไม่ปรากฏมาตรการลักษณะซื้อสินค้า+บริการ แล้วให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามที่ตลาดคาดหวัง กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, CCET) จิตวิทยาบวก ดัชนี NASDAQ ขึ้นทำ All Time High DELTA ถูกนำออกรายชื่หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายไปจากสภาพปกติวันแรก CCET เข้าดัชนี SET50 กลุ่มธนาคาร (KBANK, TTB) รับปัจจัยบวกมาตรการแก้ไขหนี้ครัวเรือนของรัฐฯ
(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายหุ้น -45.2 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -159.9 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long +2,720 สัญญา เงินบาทอ่อนค่า 34.0+/- บาท
(*/+) PM Statement: นายกฯ แถลงผลงาน 3 เดือน พร้อมให้มุมมองปี 2025 ภายใต้แนวทาง "โอกาสไทย ทำได้จริง" มีเรื่องเป็นประเด็นใหม่ ดังนี้
1.) โครงการ บ้านเพื่อคนไทย จะมีการใช้ที่ดินรัฐฯ ที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ สร้างบ้านให้ประชาชนที่ยังไม่มีบ้าน เริ่มลงทะเบียน 20 ม.ค. : เราประเมินจิตวิทยาบวกหุ้นที่มีโอกาสเห็น Upside งานก่อสร้างที่มีฐานรายได้ไม่ใหญ่ อาทิ PYLON SEAFCO
2.) โครงการรถไฟฟ้า 20 บาท เรื่องใหม่ คือ การยืนยันผลักดันให้เกิดขึ้นในปี 2025F : เราประเมินเป็นบวกต่อ BTS ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวชัดเจนกว่า BEM
3.) โครงการกองทุนหมู่บ้าน SML พัฒนาหมู่บ้าน กระจายอำนาจสู่ชุมชน : เราประเมินบวกต่อหุ้น Domestic ที่อิงกำลังซื้อฐานราก CPALL. CPAXT, BJC, GLOBAL
4.) โครงการ ODOS ให้ทุนการศึกษา หนึ่งอำเถอ หนึ่งทุน : เราประเมินบวกระยะกลาง-ยาว
ส่วนนโยบายเศรษฐกิจเดิมที่ยังยืนยันเดินหน้าต่อเนื่อง อาทิ
การนำธุรกิจนอกระบบ (49% ของ GDP) เข้ามาอยู่ในระบบ
การผลักดันลงทุนอุตสาหกรรม S Curve ใหม่ อาทิ Data Center, EV, Semi-conductor เน้นการผ่อนคลายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และ
Digital Wallet จะดำเนินโครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 โดยเงินสดจะถึงมือผู้สูงอายุประมาณ 4 ล้านรายไม่เกินตรุษจีนนี้ (ปลาย ม.ค. 25) หลังจากนั้น จะดำเนินการระยะที่ 3 สำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องพร้อมกับยกระดับประเทศไทยให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัล
สำหรับโครงการที่ยืนยันจะดำเนินการต่อ ประเมินเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดย Digital Wallet จะช่วยเศรษฐกิจระยะสั้น ส่วนระยะกลาง-ยาว คือ การดึงเม็ดเงินใหม่ๆ เศรษฐกิจนอกระบบ+เม็ดเงินต่างประเทศเข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่หนุนหุ้น Domestic ได้ประโยชน์การบริโภค ค้าปลีก เน้น CPALL, BJC, HMPRO ได้ประโยชน์จากการลงทุน นิคม เน้น WHA ธนาคาร เน้น KBANK, SCB, BBL
(*/+) Mega Projects: รฟท.เซ็นสัญญารถไฟทางคู่ระยะ 2 ขอนแก่น-หนองคาย 2.86 หมื่นลบ. ส่วนความคืบหน้า การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง (การพัฒนาระบบรถไฟรางคู่) ระยะที่ 2 อีก 6 เส้นทางที่เหลือ ระยะทางรวม 1,321 กม. มูลค่ารวม 2.85 แสนล้านบาท คาดว่าจะเสนอ ครม.ได้ใน ม.ค.25 เปิดประมูลราวเดือนพ.ค.-มิ.ย.25
2 โครงการแรกที่จะเปิดประมูลได้คือ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย วงเงิน 6.28 หมื่นล้านบาท และ ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี วงเงิน 3.75 หมื่นล้านบาท
หลังจากนั้น จะทยอยประมูลเส้นทางสายใต้อีก 3 โครงการคือ ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี วงเงิน 2.42 หมื่นล้านบาท ,ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา วงเงิน 5.73 หมื่นล้านบาท และช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 0.66 หมื่นล้านบาท และเส้นทางที่จะประมูลหลังสุดคือ ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ วงเงิน 5.68 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มการลงทุนที่เริ่มกลับมามีสัญญาณคืบหน้า เราประเมินทิศทางเป็นบวกต่อการฟื้นตัว GDP นับจากปี 2025F ที่มีความยั่งยืน+ต่อเนื่องขึ้น จิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงการลงทุน ธนาคาร เน้น KBANK, KTB, SCB กลุ่มรับเหมา CK, STECON, PYLON (รอตั้งรับหลังตอบรับประเด็นลบค่าแรง)
(*/+) TH Credit Rating: สถาบันจัดอันดับ Rating S&P Global คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ "BBB+" และคงมุมมองไทยที่ระดับ (Stable Outlook) ลุ้นเพิ่มระดับความน่าเชื่อถือเป็น "A-" หากการเมืองมีเสถียรภาพและดำเนินนโยบายต่อเนื่อง KSS ประเมินเป็นสถาบันที่ 2 หลังจากก่อนหน้า Fitch Rating ได้คง Rating ไทยเหมือนกัน มองคลายกระแสการถูกลด Rating ช่วงก่อนหน้า และเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET Index มีแนวโน้มเดินหน้าเข้าสู่เป้าหมายสิ้นปีที่วางไว้ที่ 1540 จุด ขณะที่บวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร KBANK, SCB
(*/+) TH CCI: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ย. 24 ปรับเพิ่มขึ้นสู่ 56.9 จุด จาก prev. 56.0 จุด เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2 เดือน และสูงสุดในรอบ 4 เดือน มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นอิงกำลังซื้อในประเทศ ค้าปลีก เน้น CPALL, BJC , HMPRO กลุ่มธนาคาร KBANK, SCB
(*) Minimum Wage: ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดไตรภาคี) ในวันนี้ ยังไม่มีข้อสรุปการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 23 ธ.ค. 24 KSS ประเมินแม้มีภาพเลื่อนพิจารณา แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดยังน่าจะเห็นการปรับขึ้นในระดับหนึ่ง เชิงกลยุทธ์ แนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงเราประเมินบวกต่อหุ้น Domestic อาทิ เช่าซื้อ เน้น JMT, KTC ค้าปลีก CPALL, BJC, HMPRO กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง CBG, OSP ส่วนกรณีการปรับเพิ่มค่าแรง หากปรับเพิ่มเป็น 400 บาท จะเพิ่มจากปัจจุบันราว 15% ประเมินเป็นลบต่ออุตสาหกรรมที่มีต้นทุนแรง/ต้นทุนรวมสูง อาทิ สถานีบริการน้ำมัน (30% ของต้นทุน) อสังหาฯ (15%) รับเหมา (10%) และจิตวิทยาลบกลุ่มนิคม
(*) To monitor: วันนี้ติดตาม ห้างเซ็นทรัล ชิดลม มีกำหนดการปรับปรุง (Renovate) แล้วเสร็จ มองจิตวิทยาบวกต่อ CRC และงาน Mono Open House แนะนำรอติดตามแผนธุรกิจ MONO ที่ชัดเจนขึ้นหลังบริษัทในกลุ่ม JAS ได้ลิขสิทธิ์ EPL
ขณะที่สัปดาห์หน้าปัจจัยภายในติดตาม
1.) ต้นสัปดาห์ คาดตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA
กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น
2.) 17 ธ.ค. ติดตามการประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยต่างชาติรายสัปดาห์
3.) 18 ธ.ค. ติดตามการประชุม กนง. ตลาดคาดยังคงดอกเบี้ย 2.25% เท่าการประชุมรอบก่อน
3.) 19 ธ.ค. FTSE Rebalance รอบ ธ.ค. 24 มีผลราคาปิด
Large Cap Mid Cap และ Small Cap ไม่มีทั้ง หุ้นเข้า และ หุ้นออก
Micro Cap หุ้นเข้า : FM, NEO หุ้นออก : ไม่มี
Daily Strategy : BTS, KTB, SPRC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "แกว่งสร้างฐาน" ปัจจัยกำหนดกลุ่มนำวันนี้ ต่างประเทศเรื่องหลัก คือ US Bond Yield 10 ปีที่เร่งขึ้นสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ประเมินหนุนจิตวิทยากลุ่มได้ประโยชน์ Yield ที่เหลือน่าจะมาจากภายในอิงทิศทางแถลงผลงานนายกฯ และแผนผลักดันโครงการคต่างๆ กลุ่มอิงการฟื้นตัวเศรษฐกิจภายจากแรงขับเคลื่อนองค์ประกอบการบริโภคและการลงทุน นำตลาด โดยรวมประเมินหุ้นนำวันนี้ อยู่ในกลุ่ม Domestic โดยเฉพาะธนาคาร ค้าปลีก ผสาน เก็งกำไรหุ้นลุ้นเข้า SET50 (ประกาศต้นสัปดาห์หน้า) กลุ่มโรงกลั่น ค่าการกลั่นล่าสุดขยับสู่ 6.5 เหรียญฯ +21%d-d และหุ้นที่มี Events วันนี้ อาทิ CRC (เปิดเซ็นทรัล ชิดลม) MONO (แถลงแผนธุรกิจคอนเท้นท์)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update: SET50/100 1H25 Update
ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 29 พ.ย. 2024 (ครบตามที่ตลาดฯ ใช้จริงในการคำนวณหาหุ้นเข้า/ออก) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความแม่นยำสูง โดยเราหวังว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA
กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น
• Strategy Update : Preliminary 2025 KSS Yearly Equity Strategy 2025 ภายนอกผันผวน โอกาสขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันภายใน หนุน Domestic Plays
การเคลื่อนไหวสินทรัพย์ต่างๆ ของโลกในปี 2024 พบว่า ตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง ดัชนี MSCI World (YTD) ให้ผลตอบแทนราว +16.3% แรงขับเคลื่อนมาจากเงินเฟ้อคลายตัว หนุนวงจรดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลง สะท้อนผ่าน US Bond Yield 10 ปีปรับลง -6.7% จากระดับสูงสุดช่วงปลายปี 2023 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะ Goldilocks - Soft Landing ส่วน SET Index ให้ผลตอบแทน YTD ที่ +3.3% ต่ำกว่าภาพรวม จากเสถียรภาพทางการเมืองในช่วง 1H24 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 3Q24 ที่เริ่มเร่งขึ้น จากแรงส่งจากภาครัฐฯ หนุน SET ฟื้นตัว
สำหรับปี 2025 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเร่งตัวไปถึงช่วงกลางปี 2025 เป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงมหภาคผันผวนมากขึ้น จากชัยชนะของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ และ พรรค Republican ในแบบ Red Sweep ส่งผลให้การผลักดันนโยบายต่างๆ จะสร้างผลกระทบกับประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่(EM) โดยเฉพาะนโยบาย "Make American Greatest Again" ผ่านการสนับสนุนประชาชนอเมริกัน ลดภาษีต่างๆ การใช้งบประมาณที่สูง เพิ่มปัญหาขาดดุลทางการคลัง ขณะที่กีดกันต่างชาติ สงครามการค้า (Trade war) โดยเฉพาะ จีน ถือเป็นประเด็นหลักสร้างความเสี่ยงให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดหวัง ผลของนโยบาย กีดกันผู้อพยพ, การขึ้นภาษีนำเข้า ผสาน ขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น จะผลักดันให้ US Bond Yield ระยะกลางสูงกว่าคาดการณ์เดิม ค่าเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่า โดยปัจจุบัน US Bond Yield 10 ปีขยับขึ้นจากโซนฐาน ณ ต้น ต.ค. ราว 75-80 bps, Dollar Index แข็งค่า +6-7%
ส่วนความเสี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า เริ่มเห็นภาพของตลาดหุ้น Asia ที่ บจ. มีรายได้เชื่อมโยงกับจีนและสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง อาทิ ยุโรป เกาหลีใต้ ไต้หวัน ให้ผลตอบแทน (MTD) Underperform โลก เรามองการเคลื่อนไหวสินทรัพย์ข้างต้น บ่งชี้ภาพตลาดให้น้ำหนักต่อปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนในปี 2025 ขึ้นกับแนวทางขับเคลื่อนนโยบายของคุณ Trump เป็นหลัก
หากอิงตามกรอบเวลาขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ จะสร้างความผันผวนต่อ EM Asia 2 ส่วน คือ
1.) US Bond Yield ผันผวนตามทิศทางดอกเบี้ยซึ่งบางส่วนขึ้นกับนโยบายคุณ Trump, แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อ Fund Flows และ Multiple ของตลาดหุ้น
2.) สงครามการค้า ถือเป็น Downside Risk ต่อประมาณการเศรษฐกิจ แม้ผลกระทบจากการบังคับใช้น่าจะส่งผลในช่วง 2H25 หรืออาจจะข้ามไปมีผล 2026 แต่เราประเมินตลาดหุ้นจะปรับตัวสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวก่อน โดยเฉพาะปลายไตรมาส 2 ประเทศที่มีความเสี่ยงกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสูง โดยเฉพาะ EM Asia ฝั่งจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ จะผันผวนในปี 2025
เราประเมิน Upside หลักจากมุมมองบวกต่อแผนจัดตั้งหน่วยงาน DOGE เพิ่มประสิทธิภาพให้หน่วยงานรัฐ ลดภาระทางการคลัง ส่วนนี้ หากทำได้ดีจะลดแรงกดดันต่อ US Bond Yield ในขณะเดียวกันผลกระทบจริงของ Trade War มีโอกาสต่ำกว่าตลาดกังวล เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ปรับโครงสร้าง Supply Chain ไปแล้วนับตั้งแต่ Trade War รอบแรก อาทิ จีนพึ่งพาสหรัฐฯ ลดลง ยอดส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ เหลือ 14.5% ของยอดรวม (vs ก่อน Trade War รอบก่อนที่ 19%) และ โอกาสเห็นจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งตัวใน 2H25 หากการขยายตัวเริ่มมีเสี่ยงต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
ขณะที่กลุ่ม TIPs (บริษัทจดทะเบียน) มีรายได้เชื่อมโยงจีนและสหรัฐต่ำกว่าภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะไทยมีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสหรัฐฯ + จีน ต่ำกว่า 5% (Asia โดยเฉลี่ยราว 10%) ตรงกันข้ามแรงกดดันจาก Trade War จะหนุนการเติบโตใหม่ (New S-Curve) จากกระแสย้ายฐานการลงทุนจากต่างชาติเร่งขึ้น ผสาน ไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว คาดGDP จะเติบโตทำระดับสูงสุดของปีใน 4Q24 ที่ 3.5-4.0% และปี 2025 คาดขยายตัวต่อเนื่อง 2.8-3.0% เทียบปี 2024 ทั้งปีคาดขยายตัว 2.4-2.6% เม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศแข็งแรงขึ้น หนุนภาพกำไรตลาดและการลงทุนในปีหน้ายังดี KSS คาดการณ์กำไรตลาดปี 2025 เบื้องต้นที่ 96บาทต่อหุ้น ขณะที่กรอบ PER เป้าหมาย 17.3x ระดับค่าเฉลี่ย จะได้เป้าหมาย SET ปี 2025 เบื้องต้นที่ 1660 จุด (คิดเป็น Equity Risk Premium 3.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.06%)
กลยุทธ์ลงทุน แนะนำอุตสาหกรรม Domestic ที่กำลังฟื้นตัวตามแรงขับเคลื่อนภายใน + ได้ประโยชน์นโยบาย Trump 2.0 ทั้งเชิงธุรกิจ หรือประโยชน์จาก Sector Rotation กระแสเม็ดเงินลงทุนที่หลบออกจากกลุ่ม Global Plays ที่มีความเสี่ยง
• กลุ่มได้ประโยชน์การย้ายฐานการผลิต ลดความเสี่ยงการกีดกันทางการค้า : นิคม WHA(TP-6.4) โรงไฟฟ้า GULF (TP Max-75) GPSC (TP-47)
• กลุ่ม Domestic ที่มีแรงหนุนภายใน
o กลุ่มธนาคาร BBL (TP Con-172), SCB (TP Con-119) และ KBANK (TP-180)
o กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305)
o กลุ่มที่อยู่ในช่วงฤดูกาล AOT(TP-64.5) CENTEL (TP-40)
o ค้าปลีก CPALL(TP-80)
o กลุ่มเช่าซื้อ
• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด
ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA
สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2
สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG
กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:
กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)
กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG
• NSL (Buy, TP-36): We upgrade to BUY (from Neutral), TP THB36 as we increase our EPS estimates in both FY24F and FY25F by 4% which results in a TP increase by 3%. This is a result of the increase in our gross margin assumption by 0.5ppt in both years (to 20.7%) as the high-margin own brand segment sales have increased better than expected. We believe NSL's ability to increase its own-brand sales and diversify away from revenue contribution from OEM with CPALL, will be a positive catalyst to its share price.
• Healthcare(Neutral):เรามองว่าข่าวบอร์ดประกันสังคมการันตีจ่ายค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) อัตรา 12,000 บาท/RW สำหรับงบประมาณปี 2025 เป็นบวกต่อ BCH,CHG และ BDMS ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ประกันสังคมเรียงจากมากไปน้อย เนื่องจากลดความเสี่ยง downside ต่อกำไรสุทธิปี 25F ทั้งนี้ส่วนงบประมาณปี 24 ยังมียอดค้างรับตั้งแต่เดือน ก.ค. ทำให้ระยะสั้นยังมีปัจจัยลบเรื่องอัตราจ่ายค่ารักษาประกันสังคมส่วน RW>2 น้อยกว่า 12,000 บาท ตามจำนวนเดือนที่ได้รับเงินกับส่วนต่างที่บันทึกไว้ ความเสี่ยงตั้งสำรองหนี้รายได้ COVID ค้างรับ ซึ่งจะกระทบผลการดำเนินงาน 4Q24F ทั้ง BCH และ CHG หุ้นเด่นเลือก BDMS (TP 37.50 บาท)
• Property(Neutral): มีมุมมอง slightly negative ต่อ average take-up rate ของ condo เปิดใหม่ใน 4Q24 ที่ราว 34% (หรือมูลค่าราว 5.1 พันลบ.) ของมูลค่ารวมโครงการ condo เฉพาะที่เปิดขายแล้ว 15.0 พันลบ. โดย average take-up rate ที่ 34% ถือเป็นระดับปกติของ condo ที่เปิดขายในช่วง 2 เดือนแรก แต่ถ้าเทียบ condo ที่เปิดขายใหม่ในช่วง 9M24 ที่ทำ average take-up rate ที่ 44% เห็นสัญญาณลดลง ในขณะที่เห็นการชะลอเปิด condo ใหม่ในหลายโครงการออกไป ซึ่งอาจเป็น downside ต่อ 2024F presale target ได้อีก โดยเราคาด 2024F presale กลุ่มฯ ที่ 246.0 พันลบ. (-9% y-y) ซึ่งต่ำกว่าเป้าของบริษัทฯ ที่ 296.1 พันลบ. ถึงแม้ราคาหุ้นระยะสั้นมีโอกาสฟื้นตัวจากการเร่งซื้อ / เร่งโอน ก่อนหมดมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองในที่อยู่อาศัย <7.0 ลบ./ยูนิต แต่ outlookปี 2025F ที่ยังมีแรงกดดันเชิงลบจากกำลังซื้อที่คาดทรงตัว y-y, แนวโน้ม % GPM ที่ยังต่ำกว่าปกติ และ backlog condo ที่เข้ามาโอนส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม <5.0 ลบ. กังวล cancellation rate ที่เร่งตัวขึ้นอีก เราจึงแนะนำ selective buy โดยมีเพียง SIRI และ AP ที่แนะนำ Buy เราให้ SIRI เป็น top pick จากโอกาสที่ Norm. profit 2024-25F ยังทำ record high ได้ต่อเนื่อง
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA