เงียบเหงา ... แกว่งตัวกรอบ 1445 –1455 จุด
สภาพแวดล้อมทางปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยตัวเลขตลาดแรงงานในสหรัฐยังแข็งแรง ทำให้ความคาดหวังเรื่องทิศทางดอกเบี้ยของ FED ไม่เปลี่ยนแปลงโดยคาดปรับลดอกเบี้ยในการประชุม18 ธ.ค. นี้ 0.25% ด้วยความน่าจะเป็น 86% หลังจากนั้นน่าจะคงดอกเบี้ยไว้ยาวนานขึ้นโดยอาจเห็นการปรับลดอีกครั้งในช่วง 2Q68สำหรับทิศทางราคาน้ำมันปรับลดลงต่อเนื่อง จากแรงกดดันจากความต้องการที่อ่อนแอ ประกอบกับ SUPPLY ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนในบ้านเรา ประเด็นที่รออยู่เป็นเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี จากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่ดูไม่ตื่นเต้น ประกอบกับการเป็นช่วงเทศกาลวันหยุด ทำให้บรรยากาศการซื้อขายน่าจะเงียบเหงา ในทางกลยุทธ์แนะนำให้สำรองเงินสดไว้ในพอร์ตเพิ่มขึ้นคาดว่าปริมาณการซื้อขายในช่วงเทศกาลวันหยุดน่าจะเบาบาง ขณะที่ยังไม่เห็นสัญญาณการไหลกลับของFUND FLOWคาด SET INDEX อยู่ในกรอบ 1445 –1455 จุด TOP PICK เลือก GULF, KTB และ MASTER
ปัจจัยแวดล้อมมีอะไรน่าสนใจบ้าง...มาดูกันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีรายงานภาพรวมตลาดแรงงานในเดือน พ.ย. 67 ดังนี้
• การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ล่าสุดเพิ่มขึ้น 227,000 ราย ซึ่งสูงกว่าคาดและปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 202,000 ราย และ 36,000 รายตามลำดับ สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงยังไม่เห็นสัญญาณ RECESSION
• อัตราการว่างงาน ล่าสุดอยู่ที่ 4.2% ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ แต่ขยับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 4.1%ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ไม่ได้เหนือความคาดหมายไปมากนัก ทำให้ FEDWATCHTOOL เทน้ำหนักเกิน 80% คาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 4.5% ในการประชุมรอบวันที่ 18 ธ.ค. นี้
ผลดังกล่าวสะท้อนมายัง BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ที่เห็นการย่อตัวลงมาต่อเนื่อง
ราว 0.30% นับตั้งแต่ FED ปรับลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุด
ส่วนประเด็นที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ของแต่ละประเทศ อาทิ
• จีน ในวันพุธที่ 11 ธ.ค. 67 ผู้นำระดับสูงของจีนจะมีการประชุม CENTRALECONOMIC WORK CONFERENCE แบบปิด เป็นเวลา 2วัน เพื่อกำหนด
เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับปี 2025
• สหรัฐฯ ในวันพุธที่ 11 ธ.ค. 67 มีรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ของเดือนพ.ย. โดย CONSENSUS คาดว่าจะเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย มาอยู่ที่ 2.7% อย่างไรก็ตาม ระดับเงินเฟ้อไม่ได้เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยฯ เชื่อว่าจะปรับลดดอกเบี้ยของ FED จะยังคงเกิดขึ้น ในวันที่ 18 ธ.ค. 67
• ไทย ในวันพฤหัสบดีที่ 12 ธ.ค. 67 เวลา 10.00 น. รอติดตาม นายกฯ แถลงผลงานรอบ 3 เดือน รวมถึงโครงการที่เป็นเรือธงของรัฐบาลที่จะทำและ
ดำเนินการต่อในปี 2568 อาทิ โครงการเงินแจกเงิน 10,000 บาท/คน, ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน, ค่ารถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย, กองทุนหมู่บ้าน, การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการยกระดับเศรษฐกิจเป็นต้น
มูลค่าซื้อขายเบาบาง พร้อมความเสี่ยงยุค TRUMP 2.0 กดดันเม็ดเงินที่จำกัดเลือกไหลเข้าเฉพาะกลุ่มตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา ขนาด MARKET CAP ของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมา 2.3 ล้านล้านบาท จาก 15.78 ล้านล้านบาท เป็น 18.07 ล้านล้านบาท กลับตรงกันข้ามกับมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลง จากเคยสูง 8 –9 หมื่นล้านบาทต่อวัน ช่วงคาดหวังเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์หนุน แต่ปัจจุบันลดลงเหลือราว 4 หมื่นล้านบาทต่อวันเท่านั้นซึ่งน่าจะไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนตลาดให้ปรับตัวขึ้นแรงๆ ได้
และถ้าเจาะจงเฉพาะช่วงที่ TRUMP ได้เป็น ปธน. สหรัฐ (ราว 1 เดือนที่ผ่านมา) ทำให้เห็นการทำ STOCK ROTATION ชัดขึ้น หรือขายหุ้นบางกลุ่ม และสลับมาลงทุนในหุ้นบางกลุ่มแทน ทำให้เห็นหุ้นพื้นฐานบางบริษัท ย่อตัวลงมาต่ำอย่างรวดเร็ว อาทิ KCE-29%, HANA -28%, BH -22%, SCGP -20%, SCC -13%, TOP -11%, TU -10% เป็นต้น ส่วนหุ้นที่บวกแรงจากการเก็งกำไรประเด็น TRUMP 2.0 และการเดินหน้าเข้าสู่ยุค TECH ของไทย อาทิ RCL +16%, ADVANC +8%, TASCO +8%,DELTA +8% เป็นต้น
สรุปภายใต้มูลค่าซื้อขายที่ยังเบาบางกับช่วงเทศกาลวันหยุดเยอะ ทำให้ SET INDEXขึ้นได้ยาก และอาจเห็นการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินสลับไปสลับมา หรือการทำ STOCK ROTATION เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไม่แน่หุ้นที่ลงมาเร็วๆ ลึกๆ ถ้ามีปัจจัยบวกมาสนับสนุนก็มีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นมาได้เช่นกัน
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์