Today’s NEWS FEED

News Feed

ส.อ.ท. แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับนโยบายทรัมป์ 2.0

245

 

 

 

 

 


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 3 ธันวาคม 2567)----หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ภายใต้หัวข้อ "มุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0" พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มีความกังวลต่อนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับปานกลาง เนื่องจากยังต้องติดตามว่านโยบายดังกล่าวจะมีความชัดเจนอย่างไรหลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568 อย่างไรก็ตาม ภายใต้นโยบาย America First ที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60% นั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความกังวลต่อผลกระทบทางอ้อมจากการที่จีนต้องหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียนและประเทศไทยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นจากการเกินดุลการค้าสหรัฐฯ โดยตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2567 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 28,904 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 20.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันนโยบายทรัมป์ 2.0 อาจเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นทดแทนสินค้าจีน ตลอดจนเป็นโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยและการเข้าไปมีส่วนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) สินค้าเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศ

อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเร่งพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่มีผลพวงมาจากนโยบายทรัมป์ 2.0  รวมทั้งมีการวางแผนกระจายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ นอกเหนือจากสหรัฐฯ เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต ส่วนภาครัฐควรบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศให้มากขึ้น และให้ความสำคัญกับปกป้อง Supply Chain ภายในประเทศไทย รวมทั้งมีการออกมาตรการที่เข้มงวดในการรับมือสินค้าจีนโดยเฉพาะสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน
 
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
 
  1. นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในระดับใด
อันดับ 1 : ปานกลาง                                                                     56.7%
อันดับ 2 : มาก                                                                              25.3%
อันดับ 3 : น้อย                                                                             18.0%
 
  1. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อนโยบายทรัมป์ 2.0 ในเรื่องใด
อันดับ 1 : การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10%                     66.0%
                และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60%
อันดับ 2 : มาตรการดึงการลงทุนกลับสหรัฐฯ (Reshoring) และนโยบาย America First          31.3%
อันดับ 3 : การถอนตัวจากข้อตกลง Paris Agreement โดยเน้นความมั่นคง      30.7%
             ด้านพลังงานก่อนการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
อันดับ 4 : การปรับยุทธศาสตร์การเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศ                28.0%
             เป็นแบบทวิภาคีแทนแบบพหุภาคี 
 
  1. นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องใด
อันดับ 1 : โอกาสของประเทศไทยในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ                   68.0%
ทดแทนสินค้าจีน
อันดับ 2 : การโยกย้ายการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย                    62.0%
             เนื่องจากสงครามการค้า และการเข้าไปมีส่วนในห่วงโซ่อุปทาน
   สินค้าเทคโนโลยีใหม่
อันดับ 3 : ผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ลดลง เนื่องจาก                           30.7%
             การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งฯ
อันดับ 4 : โอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ                  6.7%
 
  1. นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องใด
อันดับ 1 : สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียน                              70.0%
                และประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
อันดับ 2 : ความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น                      61.3%
จากการเกินดุลการค้าสหรัฐ และการที่จีนใช้ไทย
   เป็นช่องทางผ่านของสินค้าไปยังสหรัฐฯ
อันดับ 3 : ต้นทุนการส่งออกที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้า              39.3%
             ของสหรัฐ และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก
อันดับ 4 : นักลงทุนจากสหรัฐฯ ชะลอการลงทุนในประเทศไทยจากนโยบาย America First       8.7%
 
  1. ภาครัฐควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างไร
อันดับ 1 : ส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ                              56.7%
และให้ความสำคัญกับ Supply Chain ในประเทศไทย
    รวมทั้งออกมาตรการรับมือสินค้าจีน
อันดับ 2 : เร่งปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบให้ทันสมัยรองรับมาตรการใหม่ๆ      52.0%
             ที่อาจกระทบต่อภาคธุรกิจ
อันดับ 3 : เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อสร้างแต้มต่อในตลาดที่มีศักยภาพ   47.3%
               เช่น FTA ไทย-EU
อันดับ 4 : รักษาบทบาทความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อสร้างประโยชน์       26.0%
             จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน
 
  1. ภาคเอกชนควรปรับตัวรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างไร
อันดับ 1 : พัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก          66.7%
และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
อันดับ 2 : กระจายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ              63.3%
             นอกเหนือจากสหรัฐฯ
อันดับ 3 : ใช้เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน            29.3%
               เพื่อรับมือกับความผันผวนของค่าเงิน
อันดับ 4 : สร้างโอกาสในการขยายการลงทุนในสหรัฐฯ                               13.3%
             และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ
 
  1. นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้านใด
อันดับ 1 : การค้าและการลงทุน                     62.0%
อันดับ 2 : ค่าเงินบาท                                     52.0%
อันดับ 3 : ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์                25.3%
  อันดับ 4 : ความผันผวนของตลาดทุน และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ               19.3%

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้