Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

319

 


"Domestic Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1438/1443 จุด รับ 1422/1420 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้น ดัชนี S&P500 +0.56% หนุนจากหุ้นเทคโนโลยี หลังแนวโน้มการกีดกันการขายสินค้าเทคโนโลยีอาจจะไม่เข้มงวดที่เท่าตลาดกังวลก่อนหน้า ผสาน US Bond Yield 10ปี ลงต่อ -7 bps มาปิด 4.18% ถ่วง Dollar Index แกว่งตัวบริเวณ 106.1 จุด ยังต่ำกว่าแนวต้านสำคัญ 107.2 จุด ฝั่งเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัว PMI ภาคผลิตขยาย 2 เดือนติด และสูงสุดใน 7 เดือน ส่วนภายใน Bond Yield ไทยแกว่งตัวลงต่อเนื่องสอดคล้องสหรัฐฯ และความเห็น IMF ที่มองดอกเบี้ยไทยระดับ Neutral Rate ยังต่ำกว่าปัจจุบันได้เล็กน้อย BOT รายงานภาวะเศรษฐกิจ ต.ค. 24 ฟื้นขึ้น m-m คาดมีความต่อเนื่องจากการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นำโดยมาตรการ "ไร่ละพัน" คาด SET วันนี้ Rebound หุ้นนำ คือ หุ้นได้ภาพ Bond Yield ทั้งสหรัฐฯและไทยแกว่งตัวลงต่อเนื่องหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield) หุ้นในธีม Entertainment Complex ท่องเที่ยว ภาคบริการ (วันนี้คาดกระแสเด่นขึ้นจาการจัดงาน Entertainment Complex Summit 2-4 ธ.ค.) วันนี้แนะนำ AOT, GPSC, SAWAD

 


Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1438/1443 จุด รับ 1420/1410 จุด

What happened around the world ?

(+) US Stocks: ดัชนี Dow jones +0.42%, ดัชนี S&P500 +0.56%, และ ดัชนี Nasdaq +0.83% จากแรงซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีหลังมีรายงานเบื้องต้นว่าข้อจำกัดของสหรัฐฯ ต่อการขายอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์และชิป AI ไปยังจีนที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้อาจจะไม่เข้มงวดมากเหมือนที่เคยกังวล ผสานกับได้แรงหนุนจาก US Bond yield 10 ปีลดลงต่อเนื่อง, ส่วนกลุ่มค้าปลีกปรับขึ้นคาดหวังยอดขายในวัน Black Friday โตต่อเนื่อง โดยเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา Adobe Analytics สรุปขอดขายวัน Black Friday ปรับขึ้นทำ All time high ที่ระดับ 10.8 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 10.2%yoy

(*/+) China Econ: กิจกรรมการผลิตฟื้นตัวแต่การบริการอ่อนตัวเล็กน้อย - จีนรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน พ.ย. จัดทำโดย NBS สะท้อนการผลิตของกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่ปรับขึ้นสู่ระดับ 50.3 (50.1 Prev Vs 50.3 Cons.) ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน จากแรงหนุนของยอดคำสั่งซื้อใหม่ และความเชื่อผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม PMI ภาคบริการลดลงสู่ระดับ 50 (50.2 Prev Vs 50.2 Cons.) สะท้อนการฟื้นตัวที่ยังขัดแย้งกันของเศรษฐกิจจีน แต่การฟื้นตัวของภาคการผลิตสะท้อนผลบวกจากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลจีนเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีน อาทิ IVL, PTTGC, SCGP และ BANPU

(+) Korea Econ: ยอดส่งออกเดือน พ.ย. โตต่ำสุดในรอบ 14 เดือน แต่ยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์เดินหน้าทำ All time high - เกาหลีใต้รายงานยอดส่งออกเดือน พ.ย. +1.4%y-y (+4.6% Prev Vs +2.8% Cons.) ขยายตัวเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกัน โดยมียอดส่งออก Semiconductor เพิ่มขึ้น 30.8%yoy ทำสถิติ All time high เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันช่วยชดเชยยอดส่งออกรถยนต์ และ ปิโตรเลียมที่ -13.6%y-y และ 18.7%y-y ตามลำดับ, เรามองเป็นจิตวิทยาบวกต่อแรงเก็งกำไรของหุ้นในกลุ่ม อิเล็กฯ ของบ้านเรา อาทิ DELTA และ CCET

(-) Trade Tension: ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษี 100% สำหรับสินค้าจากกลุ่ม BRICS – เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ผ่าน Truth Social จะขึ้นภาษีศุลกากร 100% กับกลุ่มประเทศ BRICS 9 ประเทศ (จีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล แอฟริกาใต้ อิหร่าน อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และเอธิโอเปีย) หากดำเนินการที่บ่อนทำลายค่าเงินดอลลาร์สหรัฐหรือลดการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ (De-dollarization) หากดำเนินการจริงจะทำให้ภาคการค้า และ World GDP มี downside เนื่องจากกลุ่ม BRICS มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากกลุ่ม G7 (ราว 27 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 26% ของ World GDP) เราจิตวิทยาลบต่อภาพรวมการลงทุนโดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียและ Emerging market ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะไทยมียอดส่งออกไปยังกลุ่ม BRICS ราว 50.5 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 17.7% ของทั้งหมด (จีน 11.1% และ อินเดีย 3.93%) ผสานกับไทยและกลุ่มประเทศในอาเซียนได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนหรือพันธมิตรกับกลุ่ม BRICS เมื่อ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา จะทำให้ไทยถูกจับตามองจากสหรัฐมากขึ้น

(-) Solar panel Tariff: สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า Solar cell จาก 4 ประเทศในอาเซียน - เมื่อวันศุกร์กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ประกาศเก็บอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (dumping duties) จากการนำเข้าแผงโซลาร์เซลจาก 4 ประเทศ คือ กัมพูชา มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ในอัตรา 21.31% - 271.2% ( คิดเป็นรายบริษัทและแหล่งผลิต อาทิ บริษัททรินา โซลาร์ (Trina Solar) ของจีนที่ผลิตในไทย ถูกเก็บภาษี 77.85% และ 54.46% ในเวียดนาม) แม้การประกาศขึ้นภาษีดังกล่าวจะมุ่งเน้นกลุ่มผู้ผลิตจากประเทศจีน แต่อาจจะมีผลและ Sentiment กดดันต่อผู้ผลิต Solar cell ในไทยและส่งออกไปสหรัฐ อาทิ GUNKUL และ SOLAR

(-) Oil & Refinery: รัสเซียอนุญาตให้ส่งออกน้ำมันเบนซิน – รัสเซียประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันเบนซินของกลุ่มผู้ผลิตหลัก แต่ยังจำกัดการส่งออกของผู้ค้าทั่วไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2025 ทั้งนี้รัสเซียผลิตน้ำมันเบนซินราว 43.9 ล้านตัน ส่งออก 5.76 ล้านตัน (13% ของทั้งหมด) การกลับมาส่งออกอีกครั้งของรัสเซียจะส่งผลลบต่อค่าการกลั่น (Supply เพิ่ม) แต่เราประเมินผบกระทบต่อค่าการกลั่นและหุ้นโรงกลั่นบ้านเราจำกัด เนื่องจากตลาดส่งออกหลักของรัสเซีย คือ ตะวันออกกลาง และ แอฟริการ 45-50% ส่วนสิงคโปร์ราว 10-15%

(+) Refinery : ค่าการกลั่นอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด 29 พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น +4% อยู่ที่ 6.6 ดอลลาร์/บาร์เรล (VS. ต้นเดือน ต.ค.2024 อยู่ที่ 2.76 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ เพิ่มขึ้นราว 2.4 เท่า) แรงหนุนจาก Demandในช่วงหนาว และ Stocks ของสิงคโปร์ Middle Products อยู่ในระดับต่ำ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น เน้น SPRC

(*)Oil : น้ำมันดิบ Brent -1.29%d-d ปิดที่ USD 71.84/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.05%d-d ปิดที่ USD 68.0/barrel

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อิงอายุ 2 ปี ปิด -6 bps อยู่ที่ 4.13% อายุ 10 ปีปรับลง -7 bps อยู่ที่ 4.18% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ส่วน Dollar Index ผันผวนแกว่งตัวก่อนปิดบริเวณ 106.1 จุด ยังต่ำกว่าแนวต้านสำคัญคือ 107.2 จุด

 

What happened in Thailand?

(*) SET : SET Index แกว่งตัวก่อนปิด -0.47 จุด หรือ -0.03% ปิดที่ 1427.54 จุด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, CCET) จิตวิทยาลบเงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้า กลุ่มสื่อสาร (INTUCH) ปรับตัวลดลงตาม GULF ที่เผชิญแรงกดันหลังรัฐฯระงับประมูลไฟฟ้าหมุนเวียน เฟส 2 โดยขอความเห็นกฤษฏีกาเพิ่มก่อน หนุน คือ กลุ่มธนาคาร (BBL, KTB, SCB, KBANK) ตอบรับ BOT แถลงภาวะเศรษฐกิจ ต.ค. 24 ที่ยังเป็นภาพฟื้นตัว m-m โดยการท่องเที่ยวต่างชาติ และการใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากอานิสงค์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ กลุ่มเช่าซื้อ (SAWAD) ตอบรับสัญญาณเศรษฐกิจภายในฟื้นตัว ผสาน จิตวิทยาบวก Bond Yield ไทย อายุ 10ปี ปรับตัวลดลงต่อเนื่องช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ขายหุ้น -37.4 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +85.5 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -1,775 สัญญา เงินบาทแกว่งตัวบริเวณ 34.4+/- บาท

(+) TH Bond Yield: นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรไทย(Bond)ต่อเป็นวันที่ 4 ซื้อสุทธิ +2933 ล้านบาท (เป็นการซื้อตัวยาวรวม +2065 ล้านบาท และซื้อตัวสั้น +868 ล้านบาท) เป็นปัจจัยหนุน Bond yields ไทยอายุ 10 ปีปรับลงเนื่อง 5 วันติด วานนี้ -2 bps อยู่ที่ 2.29% เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1.5 ปี เป็นการปรับลดลงราว -12 bps ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

เราคาดบวกต่อ SET ทั้งจิตวิทยาบวกต่อ Fund inflow หนุนมีโอกาสที่ต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทยขณะที่หากอิงกลไก Equity Risk Premium จะหนุนผลตอบแทนตลาดหุ้นเชิงเปรียบเทียบน่าสนใจมากขึ้น ทั้งนี้ จากการศึกษาความสัมพันธ์ Yield กับ SET เราพบว่า Yield ที่ลดลงทุกๆ -10 bps มักจะหนุน SET ราว 20-25 จุด

ด้านหุ้นเด่นในภาวะดังกล่าว เราแนะนำ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF (ตั้งรับ), GPSC กลุ่มการเงิน SAWAD , JMT กลุ่มค้าปลีก CPAXT สื่อสาร ADVANC

(*/+) Cabinet: ที่ประชุม ครม. สัญจร 29 พ.ย. มีเรื่องสำคัญพิจารณาดังนี้

1.) รับทราบข้อเสนอโครงการของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในระยะยาว เพื่อขอรับงบประมาณจากส่วนราชการของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย จำนวน 381 โครงการ กรอบวงเงินรวม 1.92 หมื่นล้านบาท ประเมินเป็นบวกต่อหุ้นได้ประโยชน์จากเม็ดเงินดังกล่าว กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO กลุ่มสินค้าปรับปรุงซ่อมแซ่มบ้าน GLOBAL, DOHOME, HMPRO เน้น GLOBAL, HMPRO

2.) อนุมัติต่ออายุโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้เป็นรถไฟฟ้าที่ไม่ใช่ส่วนของเอกชน ขณะที่ยังไม่มีการกล่าวถึง ร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินหน้าสู่การซื้อสัมปทานเส้นทางหลักจากเอกชน แต่เราประเมินบวกเล็กๆ จากปริมาณลูกค้าส่งต่อเข้ามาสายหลัก เน้น BTS ที่มีโอกาสได้ประโยชน์การซื้อคืนสัมปทานเบื้องต้นชัดเจนกว่า BEM

(+) Oct 24 Econ: BOT รายงานภาวะเศรษฐกิจ ต.ค. 24 โดยรวมปรับตัวดีขึ้น m-m จากภาคท่องเที่ยว (ฤดูกาล) การบริโภค (โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ) หนุนภาคผลิต (ไม่รวมรถยนต์ที่ยังซบเซา) ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงจากทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน ดุลบัญชีเดินสะพัด ต.ค. 24 เกินดุล +700 ล้านเหรียญฯ ทรงตัว m-m ส่วนระยะถัดไป คาดเศรษฐกิจยังมีแรงส่งจากภาคท่องเที่ยวและบริการ ขณะที่ยังมีมุมมองระมัดระวังภาคอุตสาหกรรมจากปัญหาเชิงโครงสร้างและความเสี่ยงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ ธปท. สรุปการเข้ามาประเมินของ IMF โดยมีประเด็นน่าสนใจคือ IMF แนะว่าดอกเบี้ยไทยยังลดลงได้ ในการแถลง ธปท.พูดถึงการลดอีก 1 ครั้งได้ ซึ่งไม่ใช่ การ Easing แต่เป็นการปรับเข้าสู่ระดับ neutral rate สอดคล้องมุมมอง Krungsri Research คาด BOT จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งใน 1Q25

สัญญาณดังกล่าว โดยรวมยังหนุนเชิงกลยุทธ์ เราแนะนำลงทุนหุ้น Domestic ต่อเนื่อง ธนาคาร KBANK, BBL, SCB ภาคบริการ CPAXT, BJC, AOT, CENTEL (สะสม) และกลุ่มได้ประโยชน์ดอกเบี้ยที่มีโอกาสลดลงอีก 1 ครั้ง เช่าซื้อ SAWAD, JMT, KTC กลุ่ม Yield สูง ADVANC โรงไฟฟ้า GPSC, GULF(สะสม)

(+) FTA x EFTA: รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ร่วมประกาศความสำเร็จ ในโอกาสที่ไทยสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับ "เอฟตา" หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ กลุ่มดังกล่าวมีสัดส่วนยอดค้าขายกับไทยคิดเป็น 2.0% ของยอดรวม สินค้าสำคัญ อาทิ อัญมณี+เครื่องประดับ นาฬิกา+ส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องใช้สำหรับเดินทาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ผลิตภัณฑ์พลาสติกและ ข้าว โดยรวมเรามองจิตวิทยาบวกต่อโอกาสการส่งออกไทยระยะถัดไป รวมถึงกรณีดีขึ้นหากเจรจาประเทศอื่นๆ เพิ่มได้ ส่วนกลุ่มสินค้าที่ได้ประโยชน์ มองอาหารทะเลเป็นจิตวิทยาบวกต่อ TU

(*) SET50/100 Final Update: หลังจากข้อมูลการซื้อขายสำหรับการใช้กำหนดเกณฑ์หุ้นเข้า - ออก SET50/100 ครบถ้วน พ.ย. 24 KSS ประเมินตลาดฯ จะประกาศรายชื่อหุ้นเข้า/ออก ดัชนี SET50/100 ขุดใหม่ในช่วงกลาง ธ.ค. และ Rebalance จะมีผลราคาปิดวันที่ 30 ธ.ค. เราคาด

SET50 หุ้นเข้า: BANPU, SAWAD, COM7, CCET หุ้นออก: BCP, CENTEL, EA, TIDLOR

SET100 หุ้นเข้า: CCET, JTS, PR9, COCOCO หุ้นออก: MBK, RBF, TIPH, TOA

(*) To Monitor: สัปดาห์หน้า ปัจจัยภายในติดตาม 1.) 2 ธ.ค. PMI ภาคผลิต พ.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 50 จุด 2.) 3 ธ.ค. ครม. คาดพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ+ตั้งประธานบอร์ด BOT 3.) ต้น ธ.ค. ติดตามกระแสธุรกิจ New S Curve ไทย 1.) 2-4 ธ.ค. งาน Entertainment Complex Summit 2.) ต้น ธ.ค. กระแส NVIDIA เยือนไทย และ 4.) 6 ธ.ค. เงินเฟ้อ CPI พ.ย. 24 ตลาด +1.2%y-y, +0.2%m-m vs prev. +0.83%y-y, -0.06%m-m

 

Daily Strategy : AOT, GPSC, SAWAD เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "Rebound" ประเมินหุ้นเด่นนำตลาดวันนี้จะอยู่ในฝั่งหุ้นได้จิตวิทยาบวก US Bond Yield และ TH Bond Yield ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อาทิ โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ High Yield ส่วนภายในกลุ่มหลักที่ยังดูมีแรงขับเคลื่อน คือ หุ้น Domestic โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐฯที่น่าจะทยอยออกมาเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี โดยสัปดาห์นี้น่าจะนำโดย ""ไร่ละพัน" ช่วงต้นสัปดาห์น่าจะมีกระแสเด่นในฝั่งภาคท่องเที่ยวบริการ จากการจัดงาน Entertainment Complex Summit ระหว่างวันที่ 2-4 ธ.ค. 24

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Ukraine - Russia Tension Update สถานการณ์ความตึงเครียดรัสเซีย - ยูเครน ตึงเครียดขึ้น เรามองผลกระทบหลักที่ Fund Flows ย้ายเม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง

Key Ideas:

• เม็ดเงินเคลื่อนย้ายจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสินทรัพย์ปลอดภัย (พันธบัตร,ทอง) ลดความเสี่ยงสถานการณ์ตึงเครียดในช่วง 2 เดือนข้างหน้า โดยช่วงเวลาดังกล่าวเรามองยูเครนจะหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์ตึงเครียดจนเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และคาดว่าสงครามจะเข้าสู่จุดหยุดยิงเมื่อรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ Trump เข้ารับตำแหน่ง และทั้ง 2 ฝั่งในท้ายที่สุดจะเข้าสู่โต๊ะเจรจากัน

• เรามองกรณีดังกล่าวเป็น Base Case หากสถานการณ์เป็นไปในทิศทางข้างต้น เรามองความเสี่ยงเศรษฐกิจจำกัด

• ผลกระทบกรณีลบ คือ สถานการณ์ขยายวง เรามองมีโอกาสส่งผ่านจุดเชื่อมโยงภาคเศรษฐกิจต่างๆ ดังนี้

1.) ภาคส่งออกไทย:

- การส่งออกไปรัสเซียคิดเป็น 0.38% ของมูลค่าส่งออกรวม

- การส่งออกไปยูเครนคิดเป็น 0.12% ของมูลค่าส่งออกรวม

- การส่งออกไป EU คิดเป็นประมาณ 9% ของมูลค่าส่งออกรวม

2.) ภาคท่องเที่ยว:

- นักท่องเที่ยวรัสเซียคิดเป็น 3-4% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

รายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียประมาณ 2.5% ของรายได้การท่องเที่ยวรวม

3.) การพึ่งพาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์:

ไทยนำเข้าโภคภัณฑ์

- น้ำมันดิบ 85% ของความต้องการใช้

- นำเข้าก๊าซธรรมชาติ 30% ของความต้องการใช้

- นำเข้าข้าวสาลี 90% ของความต้องการใช้

4.) ผลกระทบต่อภาคธุรกิจหลัก:

ภาคการผลิต (30% ของ GDP):

ต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น 15-20%

ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 10-15%

กลยุทธ์ กรณีสงครามมีสัญญาณรุกลามมากขึ้น ให้ลดน้ำหนักหุ้นอิงภาคผลิต, กลุ่ม EU Plays เป็นหลักก่อน ขณะที่หุ้นหลักปัจจุบันยังให้เน้นไปที่ Domestic Plays ลดความเสี่ยงที่ตลาดให้น้ำหนักนโยบาย Trump 2.0 มากขึ้นในระยะถัดไป รวมถึงความเสี่ยงยูเครน – รัสเซีย

 

• Strategy Update : US Trump President

Donald Trump เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 60 ครองเสียงสภาบน - สภาล่าง โดยนโยบายเน้น American First ลดภาษี Corporate Tax, กีดกันการค้า, สนับสนุนอุตสาหกรรมฟอสซิลและหนุนการขุดเจาะน้ำมัน ฯลฯ

KSS ประเมินระยะสั้น 1.)ผลกระทบ Dollar Index ที่แข็งค่ามาล่วงหน้ามาแตะ 105.3/105.85จุด คาดจะเริ่มถูกขายทำกำไรและอ่อนค่าลงรับการปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งของ Fed ภายในปีนี้ 2.)เงินบาทที่อ่อนค่ามาแตะ 34.15/34.4บาทต่อเหรียญฯ จะกลับมาแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบ 3.)Bond Yields 10ปี สหรัฐฯ จะติดแนวต้าน 4.5% แล้วมีแรงซื้อกลับ กด UST ลดระดับลง 4.)ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง EMs จะสลับกันขึ้น โดยมีกลุ่มประเทศ TIPs เด่น จากสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 2-3% ตอบรับ US Rally ในช่วงที่เหลือของปี กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น ตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ย. - ธ.ค. 2024 เดินหน้าแตะเป้าหมาย SET สิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด ได้เป็นอย่างน้อย แนะนำกลุ่มหุ้นเด่น 4Q24F : AOT, GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, KTB, ADVANC, HMPRO

ระยะกลาง – ยาว เน้นที่หุ้นได้ประโยชน์จาก นโยบายของ TRUMP 2.0 1.) กลุ่มนิคม AMATA, WHA 2.)กลุ่มพลังงาน PTT, PTTEP 3.)ส่งออกอาหาร ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่ากว่าสมมติฐานเดิมและได้ประโยชน์จากการโยก Order เน้น TU (ได้ประโยชน์จากนโยบายลด Corporate Tax), CPF ยาง เน้น STA, STGT (จากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าถุงมือยางจากจีน คาดจะหนุนยอดส่งออก) 4.)Domestic อาทิ กลุ่มธนาคาร (SCB, KBANK, KTB), ค้าปลีก (CPALL, BJC, HMPRO) สื่อสาร(ADVANC) Utilities(GULF, GPSC)

• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 15 พ.ย. 2024 (ขาดข้อมูลอีก 10 วัน ตามที่ตลาดฯ ใช้จริง) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความแม่นยำสูงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนได้บ้างสำหรับ SET100 เราหวังว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 95%), SAWAD (โอกาสเข้า 95%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO, PTG

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA, VGI

 

• Fertility Service (Bullish) เราแนะนำ Bullish กลุ่มผู้ให้บริการภาวะมีบุตรยาก เนื่องจาก 1) ทิศทางอุตสาหกรรมเติบโตขาขึ้น และได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ 2) กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผล 22 ม.ค.25 รวมทั้งมีการเสนอปรับแก้ไขกฎหมายอุ้มบุญ มองเป็นปัจจัยช่วยเพิ่มความต้องการมีบุตรเปิดกว้างขึ้น และเป็นโอกาสต่อ GFC และ SAFE 3) คาดปี 25F กำไรสุทธิกลุ่มฯ (+14%y-y) เข้าสู่การเติบโตรอบใหม่ ส่วน Valuation ของ SAFE และ GFC ปัจจุบันซื้อขาย PE ปี 25F เฉลี่ย 18 เท่า หรือเทียบเท่า Forward PE -2.0SD มองเป็นโอกาสลงทุน รวมทั้งมองว่า SAFE และ GFC ควรถูก Re-rated PE ขึ้นจาก -2.0SD เพื่อสะท้อนการเติบโตกำไรสุทธิปี 25F หุ้นเด่นเลือก SAFE

• SAFE (Buy, TP-16.3) เราปรับคำแนะนำเป็น Buy สำหรับ SAFE ยังคง TP25F ที่ 16.30 บาท เนื่อง จากเห็นสัญญาณฟื้นตัวของรายได้และกำไรสุทธิ 4Q24F จากการใช้บริการและจำนวนรอบการเก็บไข่เพิ่มขึ้น ทิศทางปี 25F คาดมีผลบวกการทำตลาดเชิงรุกกับเอเจนซีต่างชาติใหม่ๆ และให้บริการเทคโนโลยีใหม่เต็มปี ทำให้กำไรสุทธิ (+17%y-y) กลับมาเติบโตได้ขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 25F เทียบเท่า Forward PE -2.0SD มองเป็นโอกาสลงทุน เลือกเป็นหุ้นเด่น

• Soft Commodity (Buy, TP-16.3) สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางพาราเพิ่มขึ้น +2.2%w-w จากความกังวลด้านห่วงโซ่อุปทานในไทยชะงักเนื่องจากน้ำท่วมภาคใต้ ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่ม +0.4%w-w เพราะน้ำท่วมชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซียทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการผลิตปาล์มน้ำมันและสต๊อกลดลง ส่วนราคาน้ำตาลลดลง -1.2%w-w เพราะคาดการณ์ผลผลิตในบราซิลและไทยเพิ่มขึ้น ราคาถั่วเหลืองลดลง -0.6%w-w เพราะผลผลิตและสต๊อกถั่วเหลืองในบราซิลและอาเจนตินาอยู่ในระดับสูง

อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ เพิ่มขึ้น +1.1%w-w อยู่ที่ 36.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) เพราะอุปสงค์เพิ่มขึ้น เริ่มเข้าฤดูกาลท่องเที่ยว ราคาสุกรทรงตัว w-w ที่ 73.50 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) ราคาสุกรจีนเพิ่มขึ้น +1.6%w-w ที่ 16.52 หยวน หรือ 78.00 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15.50 หยวน) จากอุปสงค์การบริโภคเพิ่มขึ้น ราคาสุกรเวียดนามเพิ่มขึ้น +0.5%w-w ที่ 62,000 ดอง หรือ 83.89 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 45,000 ดอง) จากการเชือดลดลงเพราะความเข้มงวดเพิ่มขึ้นด้านความปลอดภัยผลจากความกังวลเรื่องโรคระบาด

เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เรายังคงให้ Top pick CPF (TP25F 30) คาดกำไรปกติปี 24F แข็งแกร่งพลิกจากขาดทุน แม้คาด 4Q24F อาจชะลอ แนวโน้มปี 25F จะฟื้นใน 2Q25F ธุรกิจสุกรในประเทศผันผวนน้อยกว่าต่างประเทศ ขณะที่ต้นทุนลดลงต่อเนื่อง


4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point

Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

Fundamental & Tactical Daily Top Picks :

AOT (TP25F-64.5) S: 59.5/58.25 R: 61.75/63.0 (Stop Loss: <57.5)

 

Theme: Domestic Plays
Earnings outlook: แนวโน้มกำไร 4Q24F (สิ้นสุด ก.ย. 24) ที่ 3.9 พันลบ. (+14% y-y -14% q-q) โต y-y ตามปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน แต่ลด q-q ตามฤดูกาล ขณะที่แนวโน้มกำไร 1Q25F ฟื้นเด่น y-y q-q จากการเข้าสู่ High season
Valuation: : ซื้อขาย PER25F ที่ราว 37 เท่า
Catalyst: : ประเมินกระแสหุ้นได้ประโยชน์จากกระแส Entertainment Complex น่าจะเด่นขึ้น จากการจัดงาน Entetainment Complex Summit ระหว่างวันที่ 2-4 ธ.ค. 24 ขณะที่รายงานเศรษฐกิจ BOT ต.ค. 24 ระบุเศรษฐกิจระยะถัดไปยังมีแรงหนุนหลักๆ ต่อจากในส่วนภาคท่องเที่ยว ผสาน THAI มีความคืบหน้ากลับมาให้บริการปกติต่อเนื่อง มองบวกต่อ AOT ในฐานะผู้ให้บริการสนามบินหลักของประเทศ

 

GPSC (TP25F-47) S: 41.75/40.5 R: 44.5/46 (Stop Loss: <40)

 

Theme:
Domestic Plays
Earnings outlook: : เราคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q24 จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นของ XPCL การฟื้นตัวจากการดำเนินงานที่อ่อนแอของ Avaada จากไตรมาสก่อน และการสนับสนุนจาก CFXD อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นจะคงที่จากไตรมาสก่อนเนื่องจากต้นทุนก๊าซ HoH ที่สูงขึ้นใน 2H24
Valuation : ซื้อขาย PER25F ราว 24.2 เท่า
Catalyst: : จิตวิทยาบวก US Bond Yield ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดรอบนี้ที่ 4.5% ลงมาอยู่ราว 4.2% +/- ขณะที่ TH Bond Yield อายุ 10ปีปรับตัวลดลง -12 bps ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา

SAWAD(TP25F-42) S: 39.5/37.75 R: 42.5/44 (Stop Loss: <37)

 

Theme: Domestic Plays
Earnings outlook:
: เราคาดว่าการจัดการคุณภาพสินทรัพย์จะเสร็จสิ้นในช่วง 4Q24F ดังนั้นเรามองว่าปี 2025F มีโอกาสเห็นการกลับมาเติบโตสินเชื่อ +15% y-y ภายใต้นโยบายการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยเน้นกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก เราคาดกำไรสุทธิ 2025F คาดเติบโต +15% y-y จากปี 2024F คาดทรงตัว y-y จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวม การเพิ่มขึ้นของรายได้ประกัน และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost)
Valuation : ซื้อขาย PBV25F ราว 1.5-1.6 เท่า
Catalyst: จิตวิทยาบวก US Bond Yield ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดรอบนี้ที่ 4.5% ลงมาอยู่ราว 4.2% +/- ขณะที่ TH Bond Yield อายุ 10ปีปรับตัวลดลง -12 bps ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่เก็งภาพรัฐฯเตรียมเดินหน้านโยบาย ไร่ละพัน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากสัปดาห์นี้ รวมถึงมาตรการอื่นๆ ระยะถัดไป อาทิ Digital Wallet เฟส 2 ล้วนบวกโดยตรงต่อกลุ่มเช่าซื้อ

 

 

Research Report

Company Quick Comment

SAFE (Buy, TP-16.3) New chapter of growth and attractive valuation

 

เราปรับคำแนะนำเป็น Buy สำหรับ SAFE ยังคง TP25F ที่ 16.30 บาท เนื่อง จากเห็นสัญญาณฟื้นตัวของรายได้และกำไรสุทธิ 4Q24F จากการใช้บริการและจำนวนรอบการเก็บไข่เพิ่มขึ้น ทิศทางปี 25F คาดมีผลบวกการทำตลาดเชิงรุกกับเอเจนซีต่างชาติใหม่ๆ และให้บริการเทคโนโลยีใหม่เต็มปี ทำให้กำไรสุทธิ (+17%y-y) กลับมาเติบโตได้ขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 25F เทียบเท่า Forward PE -2.0SD มองเป็นโอกาสลงทุน เลือกเป็นหุ้นเด่น

Industry Quick Comment

Soft Commodity (Neutral) ราคาหมูจีน/เวียดนาม-ไก่ ยาง น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น ถั่วเหลือง-น้ำตาลลดลง

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางพาราเพิ่มขึ้น +2.2%w-w จากความกังวลด้านห่วงโซ่อุปทานในไทยชะงักเนื่องจากน้ำท่วมภาคใต้ ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่ม +0.4%w-w เพราะน้ำท่วมชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซียทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการผลิตปาล์มน้ำมันและสต๊อกลดลง ส่วนราคาน้ำตาลลดลง -1.2%w-w เพราะคาดการณ์ผลผลิตในบราซิลและไทยเพิ่มขึ้น ราคาถั่วเหลืองลดลง -0.6%w-w เพราะผลผลิตและสต๊อกถั่วเหลืองในบราซิลและอาเจนตินาอยู่ในระดับสูง

อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ เพิ่มขึ้น +1.1%w-w อยู่ที่ 36.50 บาท (ต้นทุน 36-37 บาท) เพราะอุปสงค์เพิ่มขึ้น เริ่มเข้าฤดูกาลท่องเที่ยว ราคาสุกรทรงตัว w-w ที่ 73.50 บาท (ต้นทุน 66-67 บาท) ราคาสุกรจีนเพิ่มขึ้น +1.6%w-w ที่ 16.52 หยวน หรือ 78.00 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 15.50 หยวน) จากอุปสงค์การบริโภคเพิ่มขึ้น ราคาสุกรเวียดนามเพิ่มขึ้น +0.5%w-w ที่ 62,000 ดอง หรือ 83.89 บาท (ต้นทุนการเลี้ยง 45,000 ดอง) จากการเชือดลดลงเพราะความเข้มงวดเพิ่มขึ้นด้านความปลอดภัยผลจากความกังวลเรื่องโรคระบาด

เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เรายังคงให้ Top pick CPF (TP25F 30) คาดกำไรปกติปี 24F แข็งแกร่งพลิกจากขาดทุน แม้คาด 4Q24F อาจชะลอ แนวโน้มปี 25F จะฟื้นใน 2Q25F ธุรกิจสุกรในประเทศผันผวนน้อยกว่าต่างประเทศ ขณะที่ต้นทุนลดลงต่อเนื่อง

Industry Quick Comment

Fertility Service (Bullish) Time to Revisit "IVF"

 

เราแนะนำ Bullish กลุ่มผู้ให้บริการภาวะมีบุตรยาก เนื่องจาก 1) ทิศทางอุตสาหกรรมเติบโตขาขึ้น และได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐ 2) กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผล 22 ม.ค.25 รวมทั้งมีการเสนอปรับแก้ไขกฎหมายอุ้มบุญ มองเป็นปัจจัยช่วยเพิ่มความต้องการมีบุตรเปิดกว้างขึ้น และเป็นโอกาสต่อ GFC และ SAFE 3) คาดปี 25F กำไรสุทธิกลุ่มฯ (+14%y-y) เข้าสู่การเติบโตรอบใหม่ ส่วน Valuation ของ SAFE และ GFC ปัจจุบันซื้อขาย PE ปี 25F เฉลี่ย 18 เท่า หรือเทียบเท่า Forward PE -2.0SD มองเป็นโอกาสลงทุน รวมทั้งมองว่า SAFE และ GFC ควรถูก Re-rated PE ขึ้นจาก -2.0SD เพื่อสะท้อนการเติบโตกำไรสุทธิปี 25F หุ้นเด่นเลือก SAFE

WEEKLY STRATEGY

Driven by Domestic Factors

 

 

กลยุทธ์การลงทุน: ประเมินสัปดาห์หน้า "ฟื้นตัว" ภายในขับเคลื่อน หลังครม. เริ่มอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซ่อมแซ่มและป้องกันน้ำท่วมภาคเหนือ คาดจากนี้มีความต่อเนื่องในส่วน ผสาน คาดจะมีการแต่งตั้งประธานบอร์ด BOT หนุนนโยบายการเงินการคลังสอดประสาน ขณะที่มีกระแส S Curve ใหม่ Entertainment Complex, Infra Tech ประกอบสร้างความเชื่อมั่นเศรษฐกิจระยะยาว ผสาน สัญญาณเม็ดเงินหนุนตลาดเริ่มเป็นบวก เงินบาทแข็งค่า, Flow ซื้อพันธบัตรต่อเนื่อง+เข้าสู่ช่วง ธ.ค. คาดเม็ดเงินลงทุนลดหย่อนภาษีทยอยเข้ามา หุ้นนำ คือ หุ้น Domestic (เช่าซื้อ ค้าปลีก ธนาคาร สื่อสาร) หุ้นธีม Infra Tech Entertainment Complex

หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ GULF, GLOBAL, HMPRO ส่วนสัปดาห์ก่อน BBL, BJC, CRC ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.08% vs. ดัชนีฯที่ให้ผลตอบแทน -1.30%

· GULF (TP Con-75): TH Bond Yield 10ปั ต่ำสุดใน 1.5 ปี + กระแส Infra Tech จะเด่น

· GLOBAL(TP Con-16.8) : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในที่จะต่อเนื่องขึ้นเป็นแรงหนุน

· HMPRO(TP-13.5) : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในที่จะต่อเนื่องขึ้นเป็นแรงหนุน

· Investment Theme:

4Q24F Stock Picks: GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย

· (*) US Labor: 6 ธ.ค. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร พ.ย. 24 ตลาดคาด 2.0 แสนราย vs prev. 0.12 แสนราย, อัตราการว่างงาน พ.ย. 24 คาด 4.2% vs prev. 4.1%

· (*) US Econ: 2 ธ.ค. PMI ภาคผลิต (ISM) พ.ย. 24 ตลาดคาด 47.6 จุด prev. 46.5, 6 ธ.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U Michigan) ธ.ค. 24 (ครั้งแรก) ตลาดคาด 73 จุด prev. 71.8 จุด

· (*) China PMI: 30 พ.ย. PMI ภาคผลิต พ.ย. 24 ตลาดคาด 50.3 จุด prev. 50.1 จุด, ภาคบริการ คาด 50.2 จุด ทรงตัว , 2 ธ.ค. ติดตาม Caixin PMI ภาคผลิต ไม่มีคาด prev. 50.3 จุด, 4 ธ.ค. Caixin PMI ภาคบริการ ไม่มีคาด prev. 52.0 จุด

· (*) OPEC+: 5 ธ.ค. ติดตามการประชุม OPEC+ คาดมีโอกาสเลื่อนการเพิ่มกำลังผลิต

· (*) TH CPI: 6 ธ.ค. เงินเฟ้อ CPI พ.ย. 24 ตลาดคาด +1.2%y-y, +0.2%m-m vs prev. +0.83%y-y, -0.06%m-m

· (*) Cabinet: 3 ธ.ค. ครม. คาดพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ+ตั้งประธานบอร์ด BOT

· (*/+) TH New S Curve: ต้น ธ.ค. ติดตามกระแสธุรกิจ New S Curve ไทย 1.) 2-4 ธ.ค. งาน Entertainment Complex Summit 2.) ต้น ธ.ค. กระแส NVIDIA เยือนไทย

· (*) SET EPS: กำไรตลาดปี 24F อิง BB อยู่ที่ 86.43 บาท ลดลงเล็กน้อย w-w กลุ่มหนุน คือ ขนส่ง, บรรจุภัณฑ์, บันเทิง กลุ่มถ่วง คือ เกษตร, ค้าปลีก

· (*/+) Fund Flow : สัปดาห์ที่แล้วเงินทุนไหลออก (หุ้น+พันธบัตร) ภูมิภาค Asia (exJ) -3163 ล้านเหรียญฯ ไทยเงินไหลเข้า +48 ล้านเหรียญฯ (ขายหุ้น -37.4 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร 85.5 ล้านเหรียญฯ) เงินบาทแข็งค่า w-w ที่ 34.3 +/-บาท

 

4Q24 Strategy : Thailand Infection Point

 

Theme: "Rate Cut , Government Policy Supports , The Return of Domestic Long-term Funds & Trade wars mitigation Plays"

เข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลง ในขณะที่ US Soft Landing หนุนภาวะ "Search for Yield"

ภาพการลงทุน 4Q24 ต่อเนื่องต้นปี 2025 KSS ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์ต่างๆ นำโดย Global Bonds ที่จะได้อานิสงส์จากวงจรดอกเบี้ยโลกที่เข้าสู่ขาลงทั้งโลก ยกเว้นญี่ปุ่นที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยจากวงจรเงินเฟ้อเร่งขึ้นสวนทางประเทศอื่นๆ โดยการเริ่มปรับลดดอกเบี้ย 50bps ในเดือน กย 2024 และคาดจะลดต่อ อีก 2 ครั้งปีนี้ และ 4 ครั้งในปี 2025 ครั้งละ 25bps เป็นตัวบ่งชึ้ดอกเบี้ยขาลงของโลก คาดว่าจะนำมาด้วยที่ธนาคารกลางอื่นๆ ทยอยปรับลดลงตาม ส่วนฝั่งสินทรัพย์เสี่ยง ตลาดหุ้นยังอยู่ในวงจรที่ลงทุนได้ แต่ต้องเลือกเป็นรายตลาด โดยมีการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นปัจจัยกำหนดทิศทาง คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังอยู่ในการประคองเป็น Soft Landing ได้ในช่วง 4Q24 ถึงต้นปี 2025 แม้ภาคแรงงานจะเริ่มมีความเปราะบางมากขึ้น อัตราว่างงานที่อยู่ในระดับ 4.2-4.3% จะทำให้ตามกฎ Sahm's Rule จะแตะระดับ 0.5% ที่เป็นจุดบ่งชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจจะถดถอยในอดีตที่ดี แต่ตลาดแรงงานปัจจุบันมีความต่างจากอดีต อัตราการว่างงานที่ 4.2% ยังต่ำกว่าภาวะปกติ และ Sahm's Rule ที่ 0.5% อดีตอัตราการว่างงานจะสูงเฉลี่ยเกิน 6% ขณะเดียวกันภาคบริการ (65-70% ของ GDP) ซึ่ง PMI ขยายตัวต่อเนื่อง 20 เดือนติด ค่าจ้างแรงงานที่แท้จริงเป็นบวก และยอดค้าปลีกยังขยายตัวดี ปัจจัยดังกล่าวเป็นดัชนีสำคัญชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ หนุนภาวะ"Search for Yield"

 

Dollar Index อ่อนค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ผสานความไม่แน่นอนด้านนโยบายสหรัฐฯ จากการเลือกตั้ง หนุนกลุ่มประเทศที่เสี่ยงด้านนโยบายจำกัดกว่า คาด 4Q24 : TIPS > Ems > DMs และ อาเซียน คือ "Sweet Spot"

คาดในช่วง 4Q24 อาเซียน คือ "Sweet Spot" เศรษฐกิจปลายปี 2024 และปี 2025F มีทิศทางเชิงบวก จากการบริโภคภายใน การใช้นโยบายการคลังที่เหมาะสม และวงจรการส่งออกฟื้น หนุนเศรษฐกิจเร่งตัว TIPs > Ems > DMs ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเอเชียเหนือชะลอลง โดย Consensus คาด GDP สหรัฐฯ งวด 2H24 จะอ่อนลงจากช่วง 1H24 ที่ขยายตัว 2.9% และทั้งปีเติบโต 2.5% ขณะที่ความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้ง ปธน จากโยบายที่ไม่แน่นอนทั้งในส่วน Trade War, Tech War โดยRepulican เข้มงวดกว่า Democrat จะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในเอเชียเหนือที่ฐานรายได้ของบริษัทพึ่งพาสหรัฐฯ และจีนสูงกว่าฝั่งเอเชียใต้และอาเซียน(บริษัทใหญ่ๆ พึ่งพารายได้จีนและสหรัฐฯ < 10% ของรายได้) ทำให้การลงทุนในภูมิภาคนี้ ดูเป็นจุดที่ปลอดภัยกว่าในเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะอาเซียนที่ GDP ปี 2025 จะเร่งขึ้นจากปี 2024 ราว 0 – 0.5% ผสาน Valuation PER ของอาเซียนยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราว 1X-3X จะหนุนกระแสเงินทุนไหลเข้า

 

KSS คงดัชนีเป้าหมายปี 2024F-2025F ที่ 1540-1730จุด แนะนำ AOT, GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, KTB , ADVANC, HMPRO

Small Cap : BTS, MALEE,MOSHI, CHG, ERW, BA

กำหนดดัชนีเป้าหมายปี 2024-25 คงที่ระดับ 1540 และ 1730 จุด โดยใช้สมมติฐานกำไรตลาดปี 2024F ที่ 90 และ 100 บาท คิดเป็น Equity Risk Premium 3.3%-3.23% แรงขับเคลื่อนสำคัญ คือ 1) เศรษฐกิจไทยกำลังจะเร่งขึ้นจากฐานช่วง 1H24 ที่ 1.9%y-y เป็นขั้นบันไดไปถึงปี 2025 ที่น่าจะโตเกิน 3% จากงบประมาณรัฐฯ ที่จะกลับมาเป็นแรงส่งครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ผสานภาคบริการ-การท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวดีและมีโครงการ Soft Power และEntertainment Complex ช่วยยกระดับภาคบริการในระยะกลาง-ยาว อีกทั้งสัญญาณการเร่งปฎิรูปราคาพลังงาน น่าจะสะท้อนการเตรียมเร่งกระแสการลงทุน Data Center ที่กำลังยกระดับพร้อมกันทั้งภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทย ที่มีจุดเด่นพื้นที่, โครงสร้างพื้นฐาน (ไฟฟ้า+โทรคมนาคม) ที่มีความพร้อม จะหนุนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจระยะกลางยาว มีโอกาสก้าวสู่ศูนย์กลาง Infrastructure Tech ผสานการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนภายในครั้งใหม่จากกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESG ที่เข้ามาปลายปี 1.7-1.8 แสนล้านบาท และต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 5ปี จะหนุนภาพการลงทุนภายในตอนนี้ อาจเป็นรอบที่ดีที่สุดในช่วง 10ปีที่ผ่านมา และวงจรการเพิ่มน้ำหนักดัชนีสำคัญๆ เช่น MSCI FTSE จะเริ่มต้นขึ้นในไตรมาส 4 นี้

COMMODITY UPDATE

 


STOCK CALENDAR

 

วันนี้ (2 ธ.ค.)

[XD] LVMH01 @ 0.1243 NIKE80X @ 0.00697

[XM] JCKH

 

วันทำการถัดไป(3 ธ.ค.)

[XD] MJLF @ 0.145 TNH @ 0.6

[XE] APURE-W3 JMT-W4

[XM] NUSA WINNER

[XN] CTARAF

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้