สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 14 พฤศจิกายน 2567 )-------ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ประกอบกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือที่เรียกว่า Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2065 ของประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) และเศรษฐกิจการเมือง (geoeconomics) มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนและบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้สามารถกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนและกลยุทธ์ขององค์กรในหลากหลายมิติ ดังนั้นบทความนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเน้นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตของนักลงทุนและบริษัทในตลาดหุ้นที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ เศรษฐศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์ (geoeconomics) ภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี (technology disruption) โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทยซึ่งมีผลกระทบทั้งในแง่ข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดในด้านต่างๆ ที่สำคัญ
จากงานวิจัยในหัวข้อ “Climate change and shareholder value: Evidence from textual analysis and Trump’s unexpected victory” ซึ่งเป็นงานวิจัยจากทีมวิจัยของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่องานวิจัยด้านบรรษัทภิบาลและการเงินเชิงพฤติกรรม สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ที่มีต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้น โดยใช้การวิเคราะห์ข้อความและชัยชนะที่คาดไม่ถึงของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งปี 2016 เป็นกรณีศึกษา ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีปฏิกิริยาตลาดเชิงลบมากกว่าเมื่อทรัมป์ชนะ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ทรัมป์ ซึ่งสงสัยในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะลดการสนับสนุนทางกฎระเบียบในการรับมือปัญหานี้ ส่งผลให้บริษัทที่เปราะบางได้รับความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า ทัศนคติและการตัดสินใจของผู้นำทางการเมืองมีผลกระทบอย่างมากต่อมูลค่าหุ้นของบริษัทของบริษัทที่อยู่ในตลาด นอกจากนี้ความไม่แน่นอนทางกฎระเบียบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทำให้นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อความอยู่รอดของบริษัทในอนาคต จากงานวิจัยชิ้นนี้ได้สรุปประเด็นสำคัญไว้ดังนี้
1) ความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ภัยคุกคามและโอกาส: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากความเสี่ยงที่เกิดจากภัยธรรมชาติที่รุนแรง ความขาดแคลนทรัพยากร และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทที่มีความเปราะบางสูงต่อความเสี่ยงดังกล่าว เช่น บริษัทที่มีสินทรัพย์ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม อาจได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างรุนแรง ในบริบทของประเทศไทย ความเสี่ยงจากน้ำท่วมเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขอยกตัวอย่างเชิงปฏิบัติ เช่น โรงงานในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยที่เผชิญกับน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554ส่งผลให้หลายบริษัทต้องย้ายฐานการผลิตหรือลงทุนในมาตรการป้องกันน้ำท่วม การวางแผนรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
2) การวิเคราะห์กรณีศึกษาโดยใช้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 ของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวอย่างในการศึกษาผลกระทบของความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้ชัด เนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้ที่แสดงความสงสัยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนทางนโยบายในช่วงเวลาที่เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อบริษัทที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยนักลงทุนแสดงความกังวลว่าแผนการรับมือของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการลดทอนกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งถ้ามองในบริบทของประเทศไทย ภาครัฐและภาคเอกชนควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศคู่ค้า เช่น หากประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สหภาพยุโรป การเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน
3) การปรับตัวและโอกาสทางธุรกิจของบริษัทในตลาดทุนกับความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นปัจจัยเสี่ยง แต่ก็ยังเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับบริษัทที่สามารถปรับตัวได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด หรือโครงการที่เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่ยั่งยืน สำหรับประเทศไทย การลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมถือเป็นโอกาสสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถ้าหน่วยงานรัฐ สามารถกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น่าจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับนักลงทุน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ หรือการสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และหน่วยงานกำกับดูแล อย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ควรส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยง และตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบ เพื่อความยั่งยืนในอนาคต
เราจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนำมาซึ่งความเสี่ยงหลายประการ เช่น ความเสี่ยงทางกายภาพจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ เช่น การเพิ่มภาษีคาร์บอน หรือข้อบังคับด้านพลังงานสะอาด สำหรับนักลงทุน ความเสี่ยงเหล่านี้อาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดและทำให้ต้องประเมินการลงทุนใหม่อย่างถี่ถ้วน บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันเวลาอาจประสบปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มองเห็นโอกาสในการลงทุนเพื่อความยั่งยืน เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด อาจสามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ เช่น บริษัทพลังงานในประเทศไทยที่หันมาลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมอาจได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว เนื่องจากมีความต้องการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น
นอกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง รวมทั้งการเป้าหมายของประเทศไทยที่ต้องการเข้าถึง Net Zero ในปี ค.ศ. 2065 เรายังต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) และเศรษฐกิจการเมือง (geoeconomics) ซึ่งแน่นอนว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนรวมทั้งบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น บทความนี้จะเขียนอธิบายถึงผลกระทบต่างๆ ดังนี้
ผลกระทบของภูมิอากาศและภูมิรัฐศาสตร์ต่อการลงทุน
การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและนโยบายภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศต่างๆ ส่งผลกระทบสำคัญต่อการลงทุนในบริษัทที่มีสินทรัพย์หรือตลาดในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงอุตสาหกรรมที่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสูง เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ นักลงทุนที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้ อาจพบกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางกฎหมาย และนโยบายที่เข้มงวดขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตัวอย่างเชิงปฏิบัติของไทยคือการที่ภาครัฐสนับสนุนการลงทุนพลังงานสะอาด เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดโลก นักลงทุนที่มองการณ์ไกลสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ โดยเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิรัฐศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบการลงทุนและการดำเนินงานของบริษัทมหาชน โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลทั่วโลกกำลังผลักดันกฎระเบียบใหม่เพื่อรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากเกิดความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น การถอนตัวของประเทศมหาอำนาจจากข้อตกลงดังกล่าว นักลงทุนอาจเกิดความกังวลและกระทบต่อมูลค่าหุ้นของบริษัทที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างในประเทศไทยที่น่าสนใจคือ อุตสาหกรรมส่งออกที่ต้องเผชิญกับมาตรการทางสิ่งแวดล้อมจากประเทศคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรป หากบริษัทไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ได้ อาจทำให้สูญเสียตลาดหรือเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรและมูลค่าหุ้นในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมือง
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมือง เช่น การผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีเพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอน สามารถส่งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อบริษัทมหาชน ตัวอย่างเช่น บริษัทที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ในขณะที่บริษัทที่ต้องพึ่งพาการใช้พลังงานจากฟอสซิลอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีคาร์บอน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองยังอาจส่งผลต่อโอกาสทางการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ เช่น บริษัทที่ลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อาจสามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดได้ ขณะที่บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ได้อาจสูญเสียโอกาสและกลายเป็นเป้าหมายของการถูกเลิกกิจการ
การพยายามบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065
การที่ประเทศไทยตั้งเป้าหมายเป็น Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2065 เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และนักลงทุน โดยนักลงทุนที่ใส่ใจในความยั่งยืนมีแนวโน้มสนใจบริษัทที่มีมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างชัดเจน เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การพัฒนานวัตกรรมทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงการตั้งเป้าหมายความยั่งยืนที่ตรวจสอบได้ สิ่งนี้สามารถช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเพิ่มมูลค่าในตลาดหุ้นของบริษัทในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 ถือเป็นความท้าทายใหญ่ที่ต้องการการลงทุนและการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทุกภาคส่วน ทั้งนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ลดการปล่อยคาร์บอนยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านต้นทุนที่สูงและความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางการเมือง นักลงทุนต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเหล่านี้เมื่อตัดสินใจลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน รวมถึงมีข้อจำกัดต่างๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนพลังงานสะอาด ความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม และค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเทคโนโลยี สิ่งนี้อาจเป็นภาระต่อนักลงทุนและภาคเอกชนในระยะสั้น แต่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย แม้ว่าจะได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือการสนับสนุนที่ไม่ต่อเนื่อง อาจทำให้การพัฒนาไม่ยั่งยืนและกระทบต่อการลงทุนในระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี (Technology Disruption)
เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน ทำให้เกิดผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อนักล
งทุนและบริษัทในตลาดหุ้น ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีบล็อกเชน, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการประหยัดทรัพยากร สำหรับนักลงทุน เทคโนโลยีเหล่านี้สร้างโอกาสให้พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็วเพื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาสได้ดีขึ้น ในทางกลับกัน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก็สร้างความเสี่ยง เช่น บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีได้อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาด ซึ่งอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อนักลงทุนและบริษัทมหาชน การพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้ว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ก็ยังมาพร้อมกับข้อจำกัด เช่น การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และความเสี่ยงที่เทคโนโลยีอาจล้าสมัยอย่างรวดเร็ว นักลงทุนจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีศักยภาพจะสามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ รวมถึงต้องประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยีและผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภูมิรัฐศาสตร์สร้างข้อดีและข้อเสียต่อบริษัทและนักลงทุน โดยมีข้อดีคือโอกาสการลงทุนในพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ข้อเสียคือนโยบายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการปรับตัวและส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ส่วนข้อจำกัดคือการขาดโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนทางเทคโนโลยีที่เพียงพอในบางภูมิภาค ในภาพรวม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจการเมืองเป็นปัจจัยที่นักลงทุนและบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ต้องเผชิญ การวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเสี่ยงและใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น จะเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนและการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในอนาคต