Market Wrap-Up
- SET วันที่ 13 พ.ย.67 ปิด +6.40 จุด อยู่ที่ 1,451.47 จุด มูลค่าการซื้อขาย 45,866 ลบ.สถาบันขาย 40 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 578 ลบ. ต่างชาติซื้อ 165 ลบ. รายย่อยซื้อ 452 ลบ. NVDR มียอดซื้อสุทธิ 245 ลบ. โดยมียอดซื้อในหุ้น BDMS,GULF,DELTA,PTTEP,TIDLOR และยอดขายในหุ้น BH,CPALL,BBL,CPF,KTB มูลค่าShort Sales อยู่ที่ 1,979 ลบ.หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ GLOBAL,MEGA,THANI โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Long ใน Index Futures จำนวน 10,172 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 87,913 สัญญา นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรจำนวน 435 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA +0.11%, S&P500 +0.02%, Nasdaq -0.26% ได้แรงหนุนจากกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย +1.14%, พลังงาน +0.84% ขณะที่กลุ่มบริการสื่อสาร -0.57%, เทคโนโลยี -0.31% หลังรายงาน US CPI ต.ค. +2.6% YoY ตามคาดการณ์ ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -0.13% โดยกลุ่มอสังหา ฯ -1.4% จากความกังวลนโยบายของทรัมป์ อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ DJIA, S&P500 ได้แรงหนุน หลังรายงาน US CPI ต.ค.+2.6% ตามคาด & ก.ย. +2.4% YoY และ ต.ค. +0.2% ทรงตัวเมื่อเทียบ ก.ย. MoM ส่งผลให้ CME FedWatch ชี้โอกาส 86% ที่จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุม 18 ธ.ค. อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังกังวลนโยบายของทรัมป์ เช่น การขึ้นภาษีสินค้านำเข้า, ลดภาษีนิติบุคคล และเนรเทศแรงงานอพยพ อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐในระยะถัดไปสูงขึ้น ส่วนค่ำวันนี้ติดตาม US PPI ต.ค.คาด 2.3% & ก.ย. 1.8% YoY และความเห็นของ ปธ.เฟด ในงานเสวนาที่ดัลลัส เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐในปีหน้า
- Stoxx600 ยุโรปวานนี้ปรับลดลงตำสุดในรอบ 3 เดือน จากแรงชายกลุ่มอสังหา ฯ และเทคโนโลยี จากความกังวลนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบลบต่อบริษัทยุโรปที่พึ่งพาอุปสงค์จากจีน เช่น กลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน , สินค้าหรูหรา ขณะที่ ปธ.ธนาคารกลางฝรั่งเศสให้ความเห็นนโยบายของทรัมป์ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจค่ำวันนี้ติดตาม GDP ยูโรโซน Q3/67 คาด +0.4% & Q2/67 +0.2% QoQ และรายงาน ECB Minutes ต.ค. เพื่อจับสัญญาณดอกเบี้ยในการประชุม ธ.ค.
- ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ปรับลดลง นำโดยดัชนีนิเกอิ -1.66% แม้ว่าค่าเงินเยนจะอ่อนค่าอยู่ที่ 155.3 เยน/ดอลลาร์ แต่ยอดขายรถยนต์ของญี่ปุ่น ยังมีแนวโน้มชะลอตัวตามอุปสงค์ตลาดโลก ส่วนดัชนีเซี่ยงไฮ้วานนี้ฟื้นตัว +0.15% หลังปรับลดลงรับแนวโน้มสงคราการค้าสหรัฐ – จีน อาจรุนแรงขึ้น ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจวันพรุ่งนี้ติดตามข้อมูล ราคาบ้าน, ผลผลิตภาคอุตฯ, ยอดค้าปลีก, อัตราว่างงานของจีน ต.ค.
- SET +44% ปริมาณการซื้อขาย 4.58 หมื่น ลบ. ต่างชาติซื้อ 165 ลบ. รายย่อยซื้อ 452 ลบ. สถาบันขาย 40 ลบ. และพอร์ตโบรกขาย 578 ลบ. โดยดัชนีได้แรงหนุนจาก DELTA ที่มี Market Cap.ใหญ่สุดในตลาด กอปรเป็นหลักทรัพย์ที่เป็นตัวแทนกลุ่ม High Tech ของไทย ซึ่งเป็นปัจจัยดึงดูดเม็ดเงินจากกองทุน และการเก็งกำไรระยะสั้น ส่วนกลุ่ม รพ.,ไฟแนนท์, ค้าปลีก ก็มีแรงซื้อเข้ามา หลังรายงานกำไร Q3/67 ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้กำไร บจ.ที่เป็นพึ่งพาอุปสงค์ในประเทศ ยังฟื้นตัวได้ดีตาม ม.กระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ โดยสัปดาห์หน้าวันจันทร์ สภาพัฒน์จะรายงาน GDP ไทย Q3/67 และวันอังคาร ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการพิจารณา ม.ปรับโครงสร้างลูกหนี้ครัวเรือน และ ม.ดิจิทัล วอลเล็ต เฟส2 ประเด็นสำคัญวันนี้รอการรายงานกำไรบจ. Q3/67 โดย 417 บจ.ที่ส่งงบแล้วมีกำไรต่ำกว่า BB.Consensus -19.2% และกำไรหดตัว -29.6% YoY โดยกลุ่มที่มีกำไรขยายตัวดี เช่น สื่อสาร, เทคโนโลยี, ขนส่ง, รพ., ไฟแนนท์ และอสังหาฯ
Daily Strategy
- วางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,430 – 1,440 จุด แนวต้าน 1,460 แม้ว่าดัชนียังได้แรงหนุนจากหุ้น Market Cap.ใหญ่ช่วยหนุน แต่แนวโน้ม Dollar Index & US Bond Yield ยังปรับขึ้น อาจส่งผลให้ Fund Flow ชะลอตัว จึงให้น้ำหนักเทรดระยะสั้นตามกรอบแนวรับ – ต้าน แนะนำซื้อเก็งกำไร CPALL,CRC,TFG,MAGURO,SAWAD,BEM ที่รายงานกำไร Q3/67 ดีกว่าคาด
- CBG* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 91.00 บาท) บริษัทรายงานกำไรสุทธิงวด 3Q67 อยู่ที่ 734 ล้านบาท เติบโต +7%QoQ, +40%YoY ได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายส่วนแบ่งการตลาดในประเทศของเครื่องดื่ม energy drink และรายได้รับจ้างจัดจำหน่ายสุราข้าวหมอ-เบียร์คาราบาว ประกอบกับต้นทุนเศษแก้วและพลังงานที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ส่วนแนวโน้ม 4Q67 คาดกำไรเติบโตได้ต่อ QoQ, YoY โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต +20% ในปี 68 คาดส่วนแบ่งการตลาดจะเพิ่มเป็น 26% ในสิ้นปี และ 29% ในปีหน้า ผ่านกลยุทธ์เดิมที่ราคาขาย 10 บาท/ขวด ประเมินแนวโน้มต้นทุนการผลิตลดลงจาก raw mat และการประหยัดต่อขนาด ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 67-68 อยู่ที่ 8 พันล้านบาท +46%YoY และ 3.2 พันล้านบาท +13%YoY โดยยังมี upside จากการกลับไปทำตลาดในจีน
- MAJOR* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 01 บาท) กำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 50 ลบ. (-52%YoY, -78%QoQ) อ่อนตัวตามฤดูกาล และจาก 3Q66 มีรายการพิเศษที่เป็นบวก อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการดำเนินงานช่วงถัดไป 4Q67 คาดมีปัจจัยบวกจากกระแสภาพยนตร์ไทยที่ยังเป็นที่นิยม โดย ธี่หยด2 รายได้> 700 ลบ. ขณะที่ช่วงที่เหลือของQ4 ยังมีโปรแกรมหนังน่าสนใจ เช่น 404 สุขีนิรันดร์, Gladiator2, Sonic3 เป็นต้น นอกจากนี้ รายได้ค่าโฆษณา และรายได้จากการขายอาหารเครื่องดื่มโดยเฉพาะป็อปคอร์น ก็คาดว่าจะลู่ขึ้นตามอัตราการเข้าโรงเช่นกัน ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิของ MAJOR* ปี67 และ68 จะอยู่ที่ 785 ลบ. (-25%YoY) และ 907 ลบ.(+16%YoY)
Daily Key Factors
Oil Update(+) WTI ธ.ค. +$0.31 อยู่ที่ $68.43 / บาร์เรล, Brent ม.ค. +$0.39 อยู่ที่ $72.8/บาร์เรล หลังตลาดได้รับรู้ข่าวกลุ่มโอเปกได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกปีนี้เพิ่มขึ้น 1.82 ล.บาร์เรล/วัน และปีหน้าคาดเพิ่มขึ้น 1.54 ล.บาร์เรล/วัน ซึ่งลดลงจากเดิมคาดที่ 1.93 ล.บาร์เรล/วัน และ 1.64 ล.บาร์เรล/วัน ตามลำดับ ขณะที่ API เผยสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง 777,000 บาร์เรล
Gold Update(-) Comex Gold ธ.ค.-$19.80 อยู่ที่ $2,586.50 /ออนซ์ ถูกกดดันจาก Dollar Index แข็งค่า +0.43% อยู่ที่ 106.479 และ US Bond Yield 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.484% จากความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มสูงขึ้น
Fund Flow(-) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ขายสุทธิ -59.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไทย +4.75 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นอินโดฯ -43.89 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และขายหุ้นฟิลิปปินส์ -20.41 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีอ่อนค่าอยู่ที่ 34.95 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.486 %
(-) ดัชนี BDI วานนี้ -4 จุด อยู่ที่ 1,630
(+) BitCoinเช้านี้ +2.21% อยู่ที่ 90,218 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
18 พ.ย. สภาพัฒน์ แถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 3/67
สัปดาห์ที3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม
สัปดาห์ที4 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์
กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย
ต่างประเทศ
13 พ.ย. US ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ( ต.ค.)
14 พ.ย. US ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ( ต.ค.)
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
15 พ.ย. US ดัชนียอดขายปลีก (เดือนต่อเดือน) ( ต.ค.)
US คำกล่าวของนายพาวเวลล์ (Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐ
Theme Strategy
Theme หุ้นเด่น 2H67 คาดหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย ลุ้นมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่มเติม, การอนุมัติงบประมาณปี68, กลุ่มที่มี High Season ใน 3Q เช่น กลุ่มส่งออก, กลุ่มร.พ., กลุ่มที่มี High Season ใน 4Q เช่น กลุ่มท่องเที่ยว, คาดหวัง Flow ไหลกลับหลังธนาคารกลางหลักมีโอกาสเริ่มปรับลดดอกเบี้ย
(1) กลุ่มการอุปโภคบริโภค ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ CPALL, CPAXT*, CPN*, CRC, NSL* CBG*, AU*, KCG*,
(2) กลุ่มส่งออก ได้ประโยชน์จากตัวเลขส่งออกที่คาดฟื้นตัว AAI*, ITC*, TU, COCOCO*,
(3) กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน ขนส่ง สื่อนอกบ้าน ได้ประโยชน์จากมาตรการ Free Visa, traffic การเดินทางฟื้นตัว AOT*, ERW*, SPA*, BA, AAV, BEM*, PLANB*
(4) กลุ่ม Leasing ได้ประโยชน์จากการยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น MTC*, SAWAD*
(5) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, PR9*, WPH*
(6) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม/ EV ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต สงครามการค้า AMATA, WHA
(7) กลุ่มธนาคาร KBANK, SCB, BBL, KTB
(8) กลุ่มสินค้า IT ได้ประโยชน์จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆช่วงปลายปี/ การใช้งบที่เหลือของปี67 SYNEX*, ADVICE*, COM7*
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 55% Fixed Income 30% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio November 2024: CPALL, WHA, SAV, SYNEX*, BDMS, CRC
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th