Market Wrap-Up
- SET วันที่ 12 พ.ย.67 ปิด -11.40 จุด อยู่ที่ 1,445.07 จุด มูลค่าการซื้อขาย 42,634 ลบ.สถาบันขาย 1,433 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 956 ลบ. ต่างชาติซื้อ 508 ลบ. รายย่อยซื้อ 1,881 ลบ. NVDR มียอดขายสุทธิ 111 ลบ. โดยมียอดซื้อในหุ้น IVL,ADVANC,GULF,HMPRO,SCGP และยอดขายในหุ้น CPALL,BH,DELTA,PTTEP,KTB มูลค่าShort Sales อยู่ที่ 1,609 ลบ.หุ้นที่มี%ปริมาณ Short สูงคือ HK01,ORI,THANI โดยนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะ Short ใน Index Futures จำนวน 8,706 สัญญา ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีต่างชาติ Long สุทธิรวม 77,741 สัญญา นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตรจำนวน 4,240 ลบ.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA -0.86%, S&P500 -0.29%, Nasdaq -0.09% โดยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง -1.57%, บริการสุขภาพ -1.34% แต่ได้แรงหนุนจากกลุ่มบริการสื่อสาร +0.51%, เทคโนโลยี +0.45% นักลงทุนกังวลนโยบายของทรัมป์จะก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 -1.98% กลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน -3.7%, สินค้าหรูหรา -4% จากความกังวลสงครามการค้าสหรัฐ – จีน ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้ บจ.ที่พึ่งพาตลาดจีน
Market View
- ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปรับลดลง จากความกังวลนโยบายของทรัมป์ เช่น การปรับขึ้นภาษีนำเข้า, ปรับลดภาษีนิติบุคคล และ ม.ควบคุมผู้อพยพ อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น และเฟดอาจลดดอกเบี้นในปีหน้าได้น้อยกว่าคาด โดย CME FedWatch ชี้มีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีหน้า 2 ครั้ง รวมลดลง 0.50% จากเดิมคาดจะลดดอกเบี้ยลง 0.75 – 1.0% ส่งผลให้ US Bond Yield 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.44% ประเด็นสำคัญวันนี้ติดตาม US CPI ต.ค. คาด 2.6% & ก.ย. 2.4% YoY, วันพฤหัส US PPI ต.ค.คาด 2.3% & ก.ย. 1.8% YoY และความเห็นของ ปธ.เฟด ในงานเสวนาที่ดัลลัส เพื่อประเมินโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยต่อในการประชุม 18 ธ.ค.
- Stoxx600 ยุโรปวานนี้ -1.98% ตำสุดในรอบ 3 เดือน จากความกังวลภาวะสงครามการค้าสหรัฐ – จีนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หลังทรัมป์อาจแต่งตั้งนายมาร์โก้ รูบิโอ สว.สหรัฐ ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ซึ่งมีแนวนโยบายที่แข็งกร้าวกับจีน ซึ่งส่งผลลบต่อ บจ.ยุโรปที่พึ่งพาตลาดจีน เช่น กลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน และสินค้าหรูหรา ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจวานนี้ CPI เยอรมัน ต.ค. ปรับขึ้นอยู่ที่ 2.4% & ก.ย. 1.8% YoY และ Zew เผยความเชื่อมันเศรษฐกิจเยอรมัน พ.ย. ลดลงอยู่ที่ 7.4 & ต.ค. 13.1 หลังรัฐบาลเยอรมันเตรียมจัดเลือกตั้งใหม่ใน ก.พ. 68
- ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ปรับลดลง โดยดัชนีนิเกอิ -0.40% จากแรงขายกลุ่มเทคโนโลยี ระหว่างรอรายงานกำไรของ SoftBank, Tokyo Electron กอปรกับกังวล ม.กดดันจีนของสหรัฐ อาจจะกระทบบริษัทผู้ผลิตชิปของญี่ปุ่นที่มีโรงงานในจีน ส่วนดัชนีเซี่ยงไฮ้ -1.39% จากความกังวลภาวะสงครามการค้ารอบใหม่กับสหรัฐ กอปรยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนใน ต.ค. อยู่ที่ 5 แสน ล.หยวน & คาด 7 แสน ล.หยวน โดยวันศุกร์นี้ติดตามข้อมูล ราคาบ้าน, ผลผลิตภาคอุตฯ, ยอดค้าปลีก, อัตราว่างงานของจีน ต.ค.
- SET -0.78% ปริมาณการซื้อขาย 4.26 หมื่น ลบ. สถาบันขาย 1,433 ลบ. พอร์ตโบรกขาย 956 ลบ. ต่างชาติซื้อ 508 ลบ. และรายย่อยซื้อ 1,881 ลบ. โดยดัชนีถูกกดกันจากความกังวล Fund Flow ไหลออกจากกลุ่ม TIP ( วานนี้ขายสุทธิ -74.5 ล.ดอลลาร์) จากนโยบาย American First ของทรัมป์ ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่ 34.79 บาท/ดอลลาร อ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือน กอปรกับ ม.เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์ อาจส่งลบต่อยอดส่งออกไทยในปีหน้า เนื่องจากไทยมียอดเกินดุลการค้าสหรัฐในอันดับที่ 12 จากตัวเลขปี 2566 ส่วนผลการประชุม ครม.วานนี้ได้อนุมัติงบ ซื้อ-ซ่อม-สร้าง วงเงิน 5.5 หมื่น ลบ. ซึ่งเป็นผลบวกต่อกลุ่มบ้านราคาไม่เกิน 3 ลบ.และกลุ่มวัสดุในการซ่อม ส่วนวันที่ 19 พ.ย. ก.คลังจะนัดประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมออก ม.กระตุ้นกำลังซื้อ และกระตุ้นภาคท่องเที่ยว ประเด็นสำคัญวันนี้ติตตามรายงานกำไรบจ. Q3/67 โดย 305 บจ.ที่ส่งงบแล้วมีกำไรต่ำกว่า Consensus -19% และกำไร -32% YoY โดยกลุ่มที่มีกำไรขยายตัวดี เช่น สื่อสาร, เทคโนโลยี, ขนส่ง, รพ., ไฟแนนท์ และอสังหาฯ
Daily Strategy
- วาง Fitler แนวรับดัชนี SET ที่ 1,430 จุด แนวต้าน 1,450 – 1,460 โดยกรณีดัชนีหลุดแนวรับที่ 1,430 จุด มีโอกาสปรับฐานลงสู่แนวรับถัดไปที่ 1,405 – 1,420 จากความกังวลต่อ Fund Flow ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงภาวะสงครามการค้าสหรัฐ – จีนรอบใหม่ ดังนั้นแนะนำเก็งกำไรระยะสั้น กลุ่มที่รายงานกำไรใน Q3/67 เติบโตดี เช่น BDMS, SYNEX, SPA, AU, GFPT
- PRM* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 10.70 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 3Q67 สะดุด QoQ ชั่วคราว เนื่องจากธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ (COC) มีการใช้งานเรือ Aframax และ VLCC ลดลง แต่ยังเติบโตสูง YoY สนับสนุนจากส่วนงานธุรกิจ FSU U-rate อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ยังมีจำนวนเรือจากธุรกิจขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว (PCT) และธุรกิจ Offshore support (OVS) ส่วนแนวโน้ม 4Q67 คาดว่ากำไรจะกลับมาโต QoQ, YoY จากการกลับมาดำเนินงานของเรือที่ผ่านช่วง dry dock สำหรับปี 68 มีแผนรับ Crew Boat เข้ามาเพิ่มอีก 2 ลำ เข้ามาตั้งแต่ 1Q68 ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 67-68 ที่ 3 พันล้านบาท +10%YoY และ 2.6 พันล้านบาท +11%YoY
- SAV (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย 26.30 บาท) กำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 126 ลบ. (+8%YoY, +39%QoQ) แม้จะมีปัจจัยลบจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่มีแรงหนุนจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง และ จำนวนเที่ยวบิน International ที่ +10%YoY, +3%QoQ /จำนวนเที่ยวบิน Overflight ที่ +7%YoY, +10%QoQ ขณะที่ในส่วนของการดำเนินงานช่วงถัดไป 4Q67 คาดว่าจะยังเป็นบวกได้ต่อเนื่องจาก High Season รวมถึง เส้นการบินใหม่ๆหลังกัมพูชาส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น นอกจากนี้SAV ยังมี Story จากความเป็นไปได้ที่จะได้งานบริการวิทยุการบินในลาว(ยังอยู่ระหว่างการเจรจา)
Daily Key Factors
Oil Update(+) WTI ธ.ค. +$0.08 อยู่ที่ $68.12 / บาร์เรล, Brent ม.ค. +$0.06 อยู่ที่ $71.89/บาร์เรล หลังตลาดได้รับรู้ข่าวกลุ่มโอเปกได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกปีนี้เพิ่มขึ้น 1.82 ล.บาร์เรล/วัน และปีหน้าคาดเพิ่มขึ้น 1.54 ล.บาร์เรล/วัน ซึ่งลดลงจากเดิมคาดที่ 1.93 ล.บาร์เรล/วัน และ 1.64 ล.บาร์เรล/วัน ตามลำดับ
Gold Update(-) Comex Gold ธ.ค.-$11.40 อยู่ที่ $2,606.30 /ออนซ์ ถูกกดดันจาก Dollar Index แข็งค่า +0.45% อยู่ที่ 106.024 และ US Bond Yield 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.44% จากความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มสูงขึ้น
Fund Flow(-) Fund Flow ต่างชาติในตลาด TIP วานนี้ ขายสุทธิ -74.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นไทย +14.57 ล.ดอลลาร์สหรัฐ ขายหุ้นอินโดฯ -70.20 ล.ดอลลาร์สหรัฐ และขายหุ้นฟิลิปปินส์ -18.89 ล.ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ค่าเงินบาทเช้านีอ่อนค่าอยู่ที่ 34.84 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(0) ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.426 %
(+) ดัชนี BDI วานนี้ +76 จุด อยู่ที่ 1,634
(-) BitCoinเช้านี้ -0.71% อยู่ที่ 88,334 ดอลลาร์สหรัฐ
Economic Calendar
ในประเทศ
18 พ.ย. สภาพัฒน์ แถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 3/67
สัปดาห์ที3 ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม
สัปดาห์ที4 ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์
กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย
ต่างประเทศ
13 พ.ย. US ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ( ต.ค.)
14 พ.ย. US ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ( ต.ค.)
US จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
15 พ.ย. US ดัชนียอดขายปลีก (เดือนต่อเดือน) ( ต.ค.)
US คำกล่าวของนายพาวเวลล์ (Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐ
Theme Strategy
Theme หุ้นเด่น 2H67 คาดหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย ลุ้นมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่มเติม, การอนุมัติงบประมาณปี68, กลุ่มที่มี High Season ใน 3Q เช่น กลุ่มส่งออก, กลุ่มร.พ., กลุ่มที่มี High Season ใน 4Q เช่น กลุ่มท่องเที่ยว, คาดหวัง Flow ไหลกลับหลังธนาคารกลางหลักมีโอกาสเริ่มปรับลดดอกเบี้ย
(1) กลุ่มการอุปโภคบริโภค ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ CPALL, CPAXT*, CPN*, CRC, NSL* CBG*, AU*, KCG*,
(2) กลุ่มส่งออก ได้ประโยชน์จากตัวเลขส่งออกที่คาดฟื้นตัว AAI*, ITC*, TU, COCOCO*,
(3) กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน ขนส่ง สื่อนอกบ้าน ได้ประโยชน์จากมาตรการ Free Visa, traffic การเดินทางฟื้นตัว AOT*, ERW*, SPA*, BA, AAV, BEM*, PLANB*
(4) กลุ่ม Leasing ได้ประโยชน์จากการยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น MTC*, SAWAD*
(5) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, PR9*, WPH*
(6) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม/ EV ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต สงครามการค้า AMATA, WHA
(7) กลุ่มธนาคาร KBANK, SCB, BBL, KTB
(8) กลุ่มสินค้า IT ได้ประโยชน์จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆช่วงปลายปี/ การใช้งบที่เหลือของปี67 SYNEX*, ADVICE*, COM7*
**หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่อยู่ใน Coverage ของฝ่ายวิจัย
Asset Allocation: Equity 55% Fixed Income 30% Alternative Investment etc. Gold 10% Cash 5%
Today Fundamental Research: -
Monthly Portfolio November 2024: CPALL, WHA, SAV, SYNEX*, BDMS
Analysts
Apichai Raomanachai
Fundamental and Technical Investment Analysis ID No. 002939
Tel 02-829-6999 Ext 2200
Email : apichai.ra@kfsec.co.th
Nopporn Chaykaew
Fundamental Analysis ID No. 043964
Tel 02-829-6999 Ext 2203
Email : noppoen.ch@kfsec.co.th
Nattawat Poosunthornsri
Fundamental Analysis ID No. 087077
Tel 02-829-6999 Ext 2204
Email : nattawat.po@kfsec.co.th