Today’s NEWS FEED

News Feed

วิจัยกรุงศรี เงินเฟ้อ ยังมีแนวโน้มทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าในระยะข้างหน้ายังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม

404


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(12 พฤศจิกายน 2567)--------เศรษฐกิจโลก
นโยบายทรัมป์สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก ด้านเศรษฐกิจจีนยังอ่อนไหวต่อความขัดแย้งทางการค้าที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น


นโยบายทรัมป์เพิ่มความเสี่ยงต่อการสูงขึ้นของเงินเฟ้อและอาจส่งผลให้เฟดลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน และมีแนวโน้มที่จะครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 6-7 พฤศจิกายน โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่งและเงินเฟ้อมีความคืบหน้าในการปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% นอกจากนี้ PMI ภาคบริการเดือนตุลาคมปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56 สูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565

การได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างบรรยากาศเชิงบวกต่อภาพรวมการลงทุนและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผ่านความคาดหวังเรื่องนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและการปรับลดภาษี การลดความช่วยเหลือยูเครนในการทำสงครามกับรัสเซีย รวมถึงลดอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม นโยบายการค้าที่ตั้งเป้าจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่ระดับ 60% และสินค้าจากประเทศอื่นที่ 10-20% อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมต้นน้ำที่มีการพึ่งพาจีนในระดับสูง นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลาง-ต่ำจากภาระต้นทุนราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าหากนโยบายดังกล่าวถูกนำมาใช้จริงจะกระทบต่อ GDP ของสหรัฐฯ -0.97% ขณะเดียวกัน ในกรณีฐาน วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป (ปรับลดไตรมาสละครั้งในปี 2568) แต่หากเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอาจกระทบเส้นทางการปรับดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้าที่อาจปรับลดน้อยหรือช้ากว่าตลาดคาดได้

 

 



ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในยูโรโซนที่มีแนวโน้มต่ำ 2% หนุน ECB เดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ในเดือนตุลาคม PMI ภาคการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 45 สู่ระดับ 46 แต่ยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 28 ส่วนภาคบริการอยู่ที่ 51.6 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1 และ 2 ที่ 53.1 และ 52.0 ตามลำดับ ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) ลดลง -3.4 % YoY และ -0.6% MoM ในเดือนตุลาคม จากเดือนก่อนที่ -2.3% และ +0.6% ตามลำดับ

เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงเผชิญกับข้อจำกัดในการฟื้นตัวจาก (i) การหดตัวของภาคการผลิตและแรงส่งจากภาคบริการที่อ่อนแอลง (ii) สินเชื่อที่เติบโตในระดับต่ำ และ (iii) แรงส่งจากมาตรการการคลังที่น้อยลง ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าจากตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จึงมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยคาดอยู่ที่ 3.00% ณ สิ้นปี 2567 และ 2.00% ภายในสิ้นปี 2568 ส่วนประเด็นความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการค้าโลกที่เพิ่มขึ้นหลังโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หากมีการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่ระดับ 60% และสินค้าจากประเทศอื่นที่ 10-20% ตามที่ประกาศไว้จริง วิจัยกรุงศรีประเมินว่าผลกระทบเชิงลบอาจเกิดกับประเทศที่พึ่งพาการส่งออก โดยการส่งออกของสหภาพยุโรปอาจลดลงจากกรณีฐาน
-1.66% และอาจส่งผลเชิงลบต่อการส่งออกเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้

 



แรงกดดันจากความขัดแย้งทางการค้าต่อเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ การเติบโตของมูลค่าการส่งออกในเดือนตุลาคมสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ 12.7% YoY จากเพียง 2.4% ในเดือนกันยายน โดยการส่งออกสินค้าไฮเทค และผลิตภัณฑ์ด้านเครื่องกลและไฟฟ้าขยายตัวสูงที่ 9.1% และ 13.7% ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเติบโตสูงถึง 8.1% และ 12.7% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกสินค้าในภาคการผลิตยังคงอยู่ในโซนการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ที่ 47.3 ในเดือนตุลาคม

การขยายตัวของการส่งออกล่าสุดที่สวนทางกับการหดตัวของดัชนีคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกอาจสะท้อนให้เห็นถึงการเร่งส่งออกสินค้าคงคลังเพื่อเลี่ยงผลเชิงลบหากสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าในระยะข้างหน้า วิจัยกรุงศรีประเมินว่าหากสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% การส่งออกของจีนจะลดลงจากกรณีฐาน -5.8% กลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ยางและพลาสติก สิ่งทอ เครื่องหนังและรองเท้า ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 35.4%, 11.8%, และ 3.9% ของการส่งออกทั้งหมดของจีนในปี 2566 ตามลำดับ โดยคาดว่าการส่งออกอาจลดลงจากกรณีฐานถึง -10.1%, -9.7%, และ -7.4% สำหรับกรณีที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากคู่ค้าอื่นที่ 20% และจีนตอบโต้ด้วยภาษีในอัตรา 60% การส่งออกในสินค้ากลุ่มดังกล่าวจะลดลง -9.9%, -10.4%, และ -9.8% ตามลำดับ ในกรณีนี้ การส่งออกโดยรวมของจีนจะลดลงมากกว่ากรณีฐานเป็น -7.2%

 


เศรษฐกิจไทย

เงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าในระยะข้างหน้ายังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคมทยอยปรับขึ้นอย่างช้าๆ คาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคมอยู่ที่ 0.83% YoY เพิ่มขึ้นจาก 0.61% ในเดือนกันยายน ปัจจัยสำคัญจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสดและผลไม้สด ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลและค่ากระแสไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้นเนื่องจากฐานราคาที่ต่ำในปีก่อน ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.77% ทรงตัวเท่ากับเดือนกันยายน สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี (มกราคม-ตุลาคม) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.26% และ 0.52% ตามลำดับ

อัตราเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีคาดว่ายังมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้นและกลับเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการที่ 1-3% ได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานของราคาน้ำมันดีเซลที่ต่ำในปีก่อนที่ 30 บาทต่อลิตร เทียบกับปัจจุบันที่กำหนดเพดานที่ 33 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ กิจกรรมท่องเที่ยวในช่วงปลายปีอาจหนุนให้ราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีมีแนวโน้มต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 0.5%

สำหรับมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย หลังจากที่กนง.สร้างความประหลาดใจด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 2.25% ในการประชุมรอบเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่วนในการประชุมที่เหลือในรอบสุดท้ายของปี ในวันที่ 18 ธันวาคม วิจัยกรุงศรีคาดว่ากนง.ยังมีแนวโน้มไม่รีบเร่งปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่อง โดยจะคงไว้ที่ระดับ 2.25% เพื่อรอดูสถานการณ์และประเมินทิศทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินในระยะต่อไป ผนวกกับรัฐบาลมีแผนเตรียมจะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี รวมถึงแนวทางในการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพื่อบรรเทาปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน

 

นโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลเชิงบวกต่อบางอุตสาหกรรม แต่ส่งผลเชิงลบต่อหลายอุตสาหกรรม จากนโยบายภาษีการค้าซึ่งนายทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ประกาศไว้ก่อนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งล่าสุด ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลต่อสงครามทางการค้าที่มีความเสี่ยงทวีความรุนแรงขึ้น วิจัยกรุงศรีได้ศึกษาโดยสร้างสถานการณ์จำลองเป็น 3 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการในอัตรา 60% อาจทำให้การส่งออก และ GDP ของไทย เพิ่มขึ้นจากกรณีฐาน +1.66% และ +0.05% ตามลำดับ ในกรณีนี้แม้ไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและการส่งออกทดแทนในบางอุตสาหกรรม อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ แต่การส่งออกในหลายอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลงจากกรณีฐานเนื่องจากอุปสงค์โลกโดยรวมชะลอลง

กรณีที่ 2 สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 60% และ 20% กับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ จะส่งผลเชิงลบต่อไทยโดยการส่งออก และ GDP ของไทย จะลดลงจากกรณีฐาน -1.09% และ -0.01% ตามลำดับ ผลกระทบจากความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของจีน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้จะมีการย้ายฐานการผลิตมายังไทยก็ตาม

กรณีที่ 3 จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีในอัตรา 60% กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ กรณีดังกล่าวแม้ไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตแต่ช่วยให้ GDP ไทยเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานเพียง +0.01% ขณะเดียวกันการส่งออกของไทยจะลดลงสุทธิจากกรณีฐาน -0.77% โดยเป็นการลดลงของการส่งออกในหลายกลุ่มสินค้า อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม ยางพาราและพลาสติก เนื่องจากความต้องการสินค้าอื่นๆจากเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯ จีนและโลกได้รับผลกระทบหนักจากการตอบโต้ทางการค้า

ในระยะข้างหน้าอาจต้องติดตามว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายการค้าในรูปแบบใด ซึ่งนับว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยท้าทายของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าไทยอาจได้รับประโยชน์บางส่วนจากการย้ายฐานการผลิตและการส่งออกทดแทนในบางอุตสาหกรรม แต่การส่งออกในหลายอุตสาหกรรมยังคงมีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลกและความผันผวนทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้าโดยเฉพาะในกรณีที่ 2 และ 3 ที่สหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าจากไทย และจีนตอบโต้สหรัฐฯด้วยการเก็บภาษี ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยมีผลสุทธิเป็นลบ การพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

ตะวันออกกลาง คลี่คลาย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ สถานการณ์ตะวันออกกลาง คลี่คลาย ตลาดหุ้นต่างประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยเช่นกัน..

NAM ผนึกกลุ่ม PRINC ลุยขยายธุรกิจ Serviso ทั่วประเทศ

NAM ผนึกกลุ่ม PRINC ลุยขยายธุรกิจ Serviso ทั่วประเทศ

บมจ.แมสเทค ลิ้งค์ หรือ MASTEC จัดเต็มโรดโชว์ จ.นครปฐม เดินหน้าเข้าเทรดใน SET ปีนี้ เตรียมเสนอขายหุ้น 79 ล้านหุ้น

บมจ.แมสเทค ลิ้งค์ หรือ MASTEC จัดเต็มโรดโชว์ จ.นครปฐม เดินหน้าเข้าเทรดใน SET ปีนี้ เตรียมเสนอขายหุ้น 79 ล้านหุ้น

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้