AT THE OPEN (#ATO)
SET Index พักฐาน
Selective Buy หุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว
Market Strategy
SET Index วันนี้พักตามกรอบ 1455-1475 จุด สภาพแวดล้อมยังขาดปัจจัยที่มีน้ำหนักขับเคลื่อน โดยมาตรการกระตุ้นของจีนมีความชัดเจนขึ้นแต่ไม่ได้สร้าง Positive Surprise โดยเรายังคง GDP Growth ปี 67/68 จีนตามเดิมที่ 4.8%YoY/4.5%YoY ด้านปัจจัยในประเทศให้น้ำหนักไปที่การรายงานงบ 3Q67 ซึ่งไตรมาสนี้มีโอกาสต่ำกว่า Consensus คาดจึงเป็นความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรตลาดลง สำหรับวันนี้เลือก CPALL คาดกำไร 3Q67 ขยายตัวได้ดีและดีต่อใน 4Q67 และ CRC ที่เรามีการเริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำซื้อ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนหลังการประชุม NPC เมื่อวันศุกร์ที่แล้วมีการอนุมัติ Local Government Debt Swap Plan โดยรัฐบาลท้องถิ่นสามารถออกพันธบัตรพิเศษเพิ่มเติม 6 ล้านล้านหยวนใน 3 ปี และมีโควต้าออกพันธบัตรพิเศษเพิ่ม 4 ล้านล้านหยวนในระยะเวลา 5 ปี ซึ่ง รมว.คลังจีนเผยจะช่วยประหยัดดอกเบี้ยฯได้ 6 แสนล้านหยวน (คิดเป็น 0.5% GDP ของจีน) เพื่อช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่มาตรการการคลังอื่นๆอยู่ระหว่างการพิจารณาซึ่งคาดว่าจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมในการประชุม CEWC เดือน ธ.ค. ต่อไป
มาตรการข้างต้นที่ขนาดใกล้เคียงกับตลาดคาดประกอบกับการที่ไม่ได้มีมาตรการกระตุ้นภาคบริโภคเพิ่มเติมทำให้เรายังคงคาดการณ์ GDP 67 และ 68 ของจีนที่ 4.8% และ 4.5% ผลต่อตลาดหุ้นมองประเมินอาจเห็นแรง Sell on Fact กับหุ้นกลุ่มปิโตรฯ ที่ขึ้นมาเก็งกำไรไปก่อนหน้า
ปัจจัยในประเทศน้ำหนักอยู่ที่การรายงานผลประกอบการ 3Q67 ซึ่งหากอิงเฉพาะหุ้นที่ Bloomberg Consensus มีคาดการณ์ที่การรายงานงบ 3Q67แล้วคิดเป็น 48% Market Cap พบว่ากำไรต่ำกว่าตลาดคาดราว 16% จึงอาจเป็นปัจจัยที่เปิด Downside ในการปรับประมาณการกำไรบริษัทฯ ของตลาด
Market Summary
SET Index ติดลบ 5 จุด กลุ่มที่กดดันโดยหลัก เป็นการขายทำกำไรกลุ่มปรับขึ้นเด่นตอนต้นสัปดาห์ก่อน อย่างกลุ่มอิเล็ค DELTA -1.3% KCE -5.6% HANA -2.6% กลุ่ม ปิโตรฯ PTTGC -2.7% IVL -1.9% กลุ่ม ICT ส่วนกลุ่มที่ Outperform กลุ่มค้าปลีก นำโดย CPAXT +5.3% งบออกมาดีกว่าเราคาด กลุ่มไฟแนนซ์และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ได้ Sentiment บวกจาก U.S. Bond Yield ปรับลงหนุน SAK +3% SAWAD +1.3% GPSC+1.9% BGRIM +1%
ATO Daily Stock Picks
แนะนำ CPALL CRC
CRC
เริ่ม Initiate
ด้วยคำแนะนำซื้อ
ช่องทางการขายหลายรูปแบบและการขยายสาขาจะสนับสนุนการเติบโต โดยเราคาดว่า กำไรเติบโต 13.5% ในปี 68 กลุ่มธุรกิจแฟชั่นจะได้แรงหนุนจากการปรับปรุงสาขาเรือธงเสร็จสมบูรณ์และการเปิดสาขาใหม่ ขณะที่กลุ่มสินค้าฮาร์ดไลน์มีแนวโน้มเติบโตจากการเพิ่มสาขาไทวัสดุ 9 สาขาในปี 67 และ 8 สาขาในปี 68 นอกจากนั้น ธุรกิจอาหารเติบโตจากการขยายสาขา GO! ในเวียดนาม โดยเปิดสาขาใหม่ 3 สาขาต่อปีในปี 67-68
ปัจจัยหนุนระยะสั้นจะมาจากการฟื้นตัวของกำไร 4Q67 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาล และการกลับมาเปิดเต็มรูปแบบของเซ็นทรัล ชิดลม และ Rinascente Milan หลังปรับปรุงใหญ่
ขณะที่ valuation ถือว่าไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER68E ที่ 19.4 เท่า บนฐานการเติบโตของ EPS ที่ 13.5% เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มค้าปลีก P/E 22.1 เท่า และการเติบโต 12.2%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 40.00 บาท
CPALL
กำไรเติบโตเด่น
Valuation น่าสนใจ
คาดกำไรสุทธิ 3Q67 ที่ 5.48 พันล้านบาท (+24% YoY, -12% QoQ) หนุนจาก SSSG ตามเพิ่มขึ้น การขยายสาขาและ GPM คาดเพิ่มขึ้น 45bpsYoY จากการเพิ่มขึ้นของสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง
นอกจากนี้ เราเชื่อว่า CPALL ได้ประโยชน์จากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ที่ช่วยหนุนต่อ SSSG ในช่วง 4Q67 และมีโอกาสแรงหนุนเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นภาคบริโภคปลายปี เช่น Easy Receipt ซึ่งจะถือเป็น Upsideที่ยังไม่ได้รวมในประมาณการของเรา
ในด้าน Valuation CPALL ซื้อขายบน PER68E22.0 เท่าถูกกว่าเมื่อเทียบกับ CPAXT ที่ซื้อขายบน PER68E 29.6 เท่าหรือคิดเป็นการ Discount มากถึง 25% ซึ่งเราเทียบกับ ROE CPALL ที่ 18.5 เท่าเทียบกับ CPAXT ที่ 4.1% จึงมองว่าเป็นช่องว่างที่ต่างกันมากเกินไป (ทั้งนี้ CPALL ถือหุ้นอยู่คิดเป็นสัดส่วน 59.9%)
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 81.00 บาท
KEY FACTOR
ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาและต่อเนื่องในช่วงสุดสัปดาห์ ผ่านพ้นการประชุมสภาประชาชนจีน (NPC) โดยทางการจีนยังไม่มีชุดมาตรการกระตุ้นด้านการคลังตามที่ตลาดคาดหวัง เพียงมี แลกเปลี่ยนหนี้มูลค่า 10 ล้านล้านหยวน ($1.4 ล้านล้าน) เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น โดยไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจใหม่อย่างชัดเจน และเก็บกระสุนไว้เผื่อตอบโต้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจจะเกิดขึ้น (สหรัฐฯอาจเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60%) หลัง Donald Trump ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน ม.ค. ในขณะที่ตัวเลข CPI จีน +0.3% YoY (Consensus คาด +0.4% YoY) ส่วน PPI -2.9% YoY (Consensus คาด -2.5% YoY) ภาพรวมออกมาแย่กว่าคาด
ในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะให้น้ำหนักไปที่ 1) การรายงานงบ 3Q67 ที่เร่งตัวในช่วงโค้งสุดท้าย 2) การรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสำคัญของทั้งสหรัฐฯ และจีน ทั้งยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และถือเป็นช่วงที่ตลาดเริ่ม จับตาการส่งสัญญาณที่สะท้อนถึงนโยบายเศรษฐกิจระยะยาวของสหรัฐฯ ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล
EYES ON
ในสัปดาห์ การรายงานงบฯ 3Q67
13 พ.ย. CPI สหรัฐฯ
14 พ.ย. การ PPI สหรัฐฯ, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย, GDP3Q67 ของ Eurozone
15 พ.ย. ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ และจีน
นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ