"Trump 2.0 Plays : Agri & Food & Gas
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "พยายามตั้งฐาน" ต้าน 1473/1487 จุด รับ 1460/1450 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแรงรับประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ คือ Donald Trump (นโยบายเน้น American First ลดภาษี Corporate Tax ฯลฯ) และครองเสียงทั้งสภาบนและสภาล่าง ประเมินระยะสั้น Dollar ที่แข็ง, เงินบาทที่อ่อน, Bond Yields ที่ปรับขึ้นมา แต่มองระยะกลาง - ยาวมีโอกาสปรับลงมารับการปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งของ Fed ภายในปีนี้ (ประชุม Fed รู้ผลเช้าวันที่ 8 พ.ย.คาดจะลดดอกเบี้ย 25 bps) ผลกระทบต่อตลาดหุ้นกลุ่ม TIPs เด่น จากสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 2-3% ตอบรับ US Rally ในช่วงที่เหลือของปี ส่วนภายในยังมีสัญญาณบวกจากมุมมองดอกเบี้ยไทยเป็นแนวโน้มขาลง หลังรายงานเงินเฟ้อไทยเดือน ต.ค. ออกมาต่ำคาด และต่ำกว่ากรอบ 1-3% ของ ธปท. และกกร . ปรับเพิ่ม GDP Growth ปั 2024 2.6-2.8% (เดิม 2.2-2.7%) โดยรวมยังคงมุมมอง SET Index เดือน พ.ย. - ธ.ค. 2024 เดินหน้าแตะเป้าหมาย SET สิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด ประเมินหุ้นนำตลาดคือ กลุ่มพลังงาน, ธนาคาร ส่งออก(ยาง +3% เงินบาทอ่อน) กลุ่มอิงภายในวันนี้แนะ TU , STA , PTT
Daily outlook: "พยายามตั้งฐาน" ต้าน 1473/1487 จุด รับ 1460/1450 จุด
What happened around the world ?
(+)US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ Dow jones +3.57%, S&P500 + 2.53%, Nasdaq +2.9% โดยดัชนีปรับขึ้นแรงทำระดับ All time high รับประธานาธิบสหรัฐท่านใหม่คือ Donald Trump นโยบายเน้น American First. โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นหลักๆคือ Sector Financials, Indistrial, Consumer discretionary, Energy ฯลฯ กลุ่มที่ปรับลง คือ Defensive อาทิ Utilities, Consumer Staples หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ หุ้นที่อิง Trump อาทิ Trump Media & Technology Group +5.9% และ TESLA +14.75% หลัง CEO เป็นกำลังสำคัญในการรณรงค์หาเสียงให้กับทีมงานของทรัมป์ หุ้น Tech อาทิ AMAZON +3.8%, Microsoft + 2.1% ฯลฯ
(*)US Election : ผลการเลือกตั้งสหรัฐประธานาธิบดีท่านใหม่ คือ Donald Trump (Republican) ได้คะแนนเสียงรวม 295 เสียง ชนะ Kamala Harris ได้ 226 เสียง ส่วนสภาบน(Senate) พรรค Republican ครองเสียงข้างมาก 52 เสียง > Democrat 44 เสียง และ สภาล่าง(House) Republican ครองเสียงข้างมาก 205 เสียง > Democrat 190 เสียง (จะต้องได้ที่นั่ง 218 ที่นั่ง ซึ่งคาดโอกาสชนะค่อนข้างมาก) ทำให้ค่อนข้างชัดว่าเป็น Red Wave (ครอง 2 สภา) Time line หลังจากนี้ คือ 17 ธ.ค. คณะผู้เลือกตั้ง ลงคะแนนเลือกประธานษธิบดี 6 ม.ค. วุฒิสภานับคะแนนเลือกตั้ง Electroral College 20 ม.ค. ประธานาธิบดีท่านใหม่เข้าพิธีสาบานตน โดยรวม KSS ประเมินผลกระทบระยะสั้น 1.) Dollar Index ที่แข็งค่ามาล่วงหน้ามาแตะ 105.3/105.85จุด จะเริ่มถูกขายทำกำไรและอ่อนค่าลง รับการปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งของ FED ภายในปีนี้ 2.) เงินบาทที่อ่อนค่ามาแตะ 34.15/34.4บาทต่อเหรียญฯ จะกลับมาแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบ 3.) Bond Yields 10ปี สหรัฐฯ จะติดแนวต้าน 4.5% แล้วมีแรงซื้อกลับ กด UST ลดระดับลง 4.) ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง EMs จะสลับกันขึ้น โดยมีกลุ่ม TIPs เด่น จากสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 2-3% ตอบรับ US Rally ในช่วงที่เหลือของปี กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ย. - ธ.ค. 2024 เดินหน้าแตะเป้าหมาย SET สิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด ได้เป็นอย่างน้อย แนะนำกลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จาก 1) Rate Cut Cycle (กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า, ต้นทุนทางการเงินลดลง, กลุ่มภาระหนี้สูง) 2)New Government Policy Supports (Digital Wallet, Entertainment Complex และ Infrastructure Technology) 3) The Return of Domestic Long Term Funds เน้นหุ้นเติบโตดี, Valuation อยู่ในโซนลงทุน, Yield สูงกว่าผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% รวมถึงกลุ่มที่อยู่ในดัชนี ThaiESG และยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์เดิมต่ำ 4) Trade wars mitigation โดยมีหุ้นเด่น 4Q24F : AOT, GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, KTB , ADVANC, HMPRO
(*) Fed Meeting : วันนี้ประชุม Fed วันที่ 2 ทราบผลเช้า 8 พ.ย. MUFG และตลาดคาด Fed จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25 bps เหลือ 4.5-4.75% โดยในช่วงที่เหลือของปี 2024 หากอิง Dot plot คาดจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งราว 25 bps อยู่ที่ 4.25 -4.5% โดยรวมมองแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐภายในการบริหารประเทศของ Donald Trump จะยังเป็นขาลง แต่สมมติฐานคือความเสี่ยงแรงกดดันต่อเงินเฟ้อที่ลดระดับช้าลง กระทบวงจรดอกเบี้ยขาลงที่น่าจะช้ากว่าที่ตลาดประเมินไว้เดิม
(*) To monitor ฝั่งจีน 7 พ.ย. ยอดส่งออก - นำเข้า ต.ค. 24 ไม่มีคาด prev. +2.4%y-y และ +0.3%y-y 7- 8 พย 2024 การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีนคาดจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการทางการคลังใหม่ให้มีขนาดที่เหมาะสม และน่าจะมุ่งเน้นไปที่แผนบรรเทาหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น 2-6 ล้านล้านหยวนKSS ประเมินบวกต่อหุ้น China Play IVL , AOT, SCGP , PTTGC
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับขึ้นรับทรัมป์เป็นประธานาธิบดี อายุ 2 ปี ปรับขึ้น +8 bps อยู่ที่ 4.26% ทำจุดสูงสุดในรอบ 4 เดือน และอายุ 10 ปี ปรับขึ้น 16 bps อยู่ที่ 4.43% ทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน ส่วน Dollar Index แข็งค่าแรงที่ 105.1 จุด ประเมินหนุนค่าเงินสกุลเอเซียมีแนวโน้มอ่อนค่า
(-) Oil : น้ำมันดิบชะลอการขึ้นแรง อิง Brent น้ำมันดิบ Brent -0.52%d-d ปิดที่ USD 75.14/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.42%d-d ปิดที่ USD 71.69/barrel แรงกดดันมาจาก Dollar ที่แข็งค่าแรง และ EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบดิบพุ่ง 2.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดเพิ่มขึ้นเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล
(+) Bitcoin : ราคาบิทคอย +9.83%d-d ปิดที่ 75959.32 USD ทำระดับ All time high หนุนจากข่าวทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง โดยทรัมป์มีนโยบายหาเสียงสนับสนุนอุตสาหกรรม Crypto currency ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นทำธุรกิจเชื่อมโยง crypto อาทิ JTS, BTC, XPG
What happened in Thailand?
(-) SET : SET Index ร่วง 14.25 จุด (-0.96%) ปิดที่ระดับ 1,467 จุด ปรับลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังทราบผลเลือกตั้งสหรัฐ โดนัล ทรัมป์ มีโอกาสได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ เป็นบวกต่อการลงทุนในสหรัฐจากนโยบาย American First และ Tax Cut แต่จะเป็นลบกับตลาดอื่นๆ จาก Fund flow ไหลออก และกังวลผลกระทบที่จะตามมาจากนโยบายกีดกันการค้า (Trade war) หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า(บาทอ่อน), US Bond yield เร่งตัวขึ้นกดดัชนี นำลงโดย กลุ่มน้ำมัน, โรงกลั่น และ ปิโตรฯ PTTEP(-2.67%), TOP(-2.81%), IVL(-3.81%), กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF(-2.64%), BGRIM(-3.15%), GPSC(-1.74%) และ กลุ่มไฟแนนซ์ MTC(-4.43%), SAWAD(-4.14%), TIDLOR(-7.02%)
(-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด (6 พ.ย.2024) ไหลออก ขายหุ้น -52.18 ล้านเหรียญ, ขายพันธบัตร -103.1 ล้านเหรียญฯ แต่ TFEX Net Long 3,185 สัญญา, เงินบาทอ่อนค่าสู่ระดับ 34.15 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่ามากสุดในรอบ 2 เดือน
(*/+) TH Inflation: ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ต.ค. เงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ปรับขึ้นสู่ระดับ 0.83% จาก 0.61% ในเดือน ก.ย. แต่ต่ำกว่า Consensus คาดไว้ที่ 0.94% และต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบงก์ชาติที่ 1%-3% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นบวก 18 เดือนติดต่อกัน เปิดโอกาสให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยลงในอนาคต ทีมกลยุทธ์คง Downside Risk ของการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าอีก 1 ครั้ง (หากอิงตามกลไกของ Equity Risk Premium การปรับลดดอกเบี้ยลงทุกๆ -25 bps จะหนุน SET Index ขึ้นราว 50-60 จุด) เชิงกลยุทธ์ เงินเฟ้อปรับขึ้นต่ำคาดเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มการเงิน (MTC, SAWAD) กลุ่มโรงไฟฟ้าเน้น (GULF) กลุ่มหนี้สูง (CPAXT, MINT) อย่างไรก็ตามผลบวกกับประเด็นดังกล่าวยังจำกัด เนื่องจากผลเลือกตั้งในสหรัฐที่ โดนัล ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งจะสร้างความกังวลให้กับตลาดต่อนโยบายสงครามการค้าและการขาดดุลงบประมาณจำนวนมากของสหรัฐกดดันให้เงินเฟ้อและดอกเบี้ยลงช้า
(+) TH Econ: คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของไทยปีนี้เป็นขยายตัว 2.6-2.8% (เดิม 2.2-2.7%) จากมุมมองที่เป็นบวกต่อภาคการส่งออก, ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และ เร่งออกมาตรการกำลังซื้อ โดยปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดส่งออกเป็นขยายตัว 2.5-2.9% (เดิมขยายตัว 1.5-2.5%)
(*) TH 3Q24 Earnings: อิง Bloomberg ปัจจุบัน บจ. รายงานกำไรแล้วทั้งสิ้น 61 บริษัท กำไรต่ำกว่าคาด -22.2% และหดตัว -28.7%y-y โดยวานนี้ กลุ่มที่รายงานกำไร
ดีกว่าคาด ได้แก่ PTTGC
ตามคาด ได้แก่ TU
วันนี้บริษัทที่จะประกาศงบ 3Q24 BCP, BH, BJC, CPAXT, GPSC, OR, NER และ TACC
(+) MSCI Rebalance : MSCI ประกาศผลการ Rebalance หุ้นเข้า – ออก (การ Rebalance จะมีผลราคาปิดวันที่ 25 พ.ย.) MSCI Global Standard
▪️หุ้นเข้า : ไม่มี (ตามคาด)
▪️หุ้นออก SCGP (ตามคาด)
MSCI Global Small Cap
▪️หุ้นเข้า : CCET
▪️หุ้นออก : TQM
กลยุทธ์ แนะประเมินหุ้น CCET มีจิตวิทยาบวกหนุนจากเข้า MSCI Global Small cap แนะนำ Trading ส่วนหุ้นออกจาก MSCI อาทิ SCGP และ TQM ชะลอลงทุน
Daily Strategy : TU , STA , PTT เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "พยายามสร้างฐาน" ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแรงรับประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ คือ Donald Trump (นโยบายเน้น American First ลดภาษี Corporate Tax ฯลฯ) และครองเสียงทั้งสภาบนและสภาล่าง ประเมินระยะสั้น Dollar ที่แข็ง, เงินบาทที่อ่อน, Bond Yields ที่ปรับขึ้นมา แต่มองระยะกลาง - ยาวมีโอกาสปรับลงมารับการปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งของ Fed ภายในปีนี้ (ประชุม Fed รู้ผลเช้าวันที่ 8 พ.ย.คาดจะลดดอกเบี้ย 25 bps) ผลกระทบต่อตลาดหุ้นกลุ่ม TIPs เด่น จากสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 2-3% ตอบรับ US Rally ในช่วงที่เหลือของปี ส่วนภายในยังมีสัญญาณบวกจากมุมมองดอกเบี้ยไทยเป็นแนวโน้มขาลง หลังรายงานเงินเฟ้อไทยเดือน ต.ค. ออกมาต่ำคาด และต่ำกว่ากรอบ 1-3% ของ ธปท. และกกร . ปรับเพิ่ม GDP Growth ปั 2024 2.6-2.8% (เดิม 2.2-2.7%) โดยรวมยังคงมุมมอง SET Index เดือน พ.ย. - ธ.ค. 2024 เดินหน้าแตะเป้าหมาย SET สิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด ประเมินหุ้นนำตลาดคือ กลุ่มพลังงาน, ธนาคาร ส่งออก(ยาง +3% เงินบาทอ่อน) กลุ่มอิงภายใน
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อความเสี่ยงผลการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ (KTB, GPSC, GULF, ADVANC, CPALL, BDMS, WHA)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AAV, BA, AU)
กลุ่มคาดกำไร 3Q24F จะออกมาดี (IVL, ADVANC, CPALL, TRUE, AWC และ MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, CPAXT)
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
•• Strategy Update : 3Q24F Earnings Plays
ช่วงต้นเดือน ต.ค. - กลางเดือน พ.ย.2024 เป็นช่วงรายงานผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนไทยงวด 3Q24 หลังจากผ่านช่วงรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารแล้ว จะเข้าสู่ช่วงการรายงานผลประกอบฝั่ง Real Sector โดยก่อนรายงานมักมีกระแสการเก็งกำไรเข้าซื้อในหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี เติบโต y-y, q-q หรือ หุ้นที่มีสัญญาณผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด (เริ่มฟื้นตัว q-q)
ทีมกลยุทธ์ KSS รวบรวมข้อมูลคาดการณ์งบงวด 3Q24 ทีมีการประมาณการณ์ อิงจาก Bloomberg รวมทั้งหมด 96 บริษัท เพื่อค้นหาหุ้นที่มีความน่าสนใจต่อการเข้าเก็งกำไร
กลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่คาดจะรายงานงบ 3Q2024 ออกมาเด่น y-y , q-q และอยู่ในธีมหลักในการลงทุนที่ เรามองจะเด่นในปัจจุบัน ประกอบด้วย
o หุ้น China play IVL, AU
o หุ้นกลุ่มวงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงหนุน TRUE, MTC, GPSC, ADVANC, CPALL, CPF
o หุ้นได้ประโยชน์ธีม US Election หรือ ทนต่อความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากผลการเลือกตั้ง AMATA, WHA, BDMS
o หุ้น Mid small -Cap เน้น MOSHI
〽️Best Picks : เราเลือกหุ้นเด่น 5 บริษัทใน Theme 3Q24F Earnings Plays คือ IVL, ADVANC, CPALL, TRUE และ MOSHI
• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7
ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• PTTGC (Trading-Buy TP-30.0) แม้ขาดทุนสุทธิ 3Q24 ที่ -19,312 ลบ. พลิกขาดทุน y-y, q-q แย่กว่าเราและตลาดคาด แต่อาจไม่ได้กดดันราคาหุ้น เพราะ บริษัทเลือกตั้งด้อยค่าฯทั้งหมดในไตรมาสเดียว (ส่วนใหญ่ non-cash) ซึ่งเรามองเป็นจุด bottom out ของปี มอง 4Q24F จะขาดทุนน้อยลง q-q และพลิกมีกำไรใน 2025F ฟื้นจากฝั่งปิโตรเคมี ที่ค่าใช้จ่ายคงที่ลดลง หลัง optimize asset, การปิดซ่อมของโอเลฟินส์ลดลง, allnex ฟื้นต่อเนื่องตาม demand ของ EU รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายลดจากการทยอยคืนหนี้ เรามองราคาหุ้นที่ YTD -31% สะท้อนด้อยค่าฯที่ฉุดให้มีขาดทุนก้อนใหญ่ใน 2024F รวมถึงการฟื้นตัวช้าของปิโตรเคมี ไปแล้ว เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น Trading Buy ที่ TP25F = 30.0
• BSRC (Trading-Buy TP-7.5) มอง slightly positive ต่อขาดทุนสุทธิ 3Q24 ที่ -1,735 ลบ. ดีกว่าเราและตลาดคาด ดีกว่าเราคาด เพราะ stock loss น้อยกว่าคาด การพลิกขาดทุน y-y q-q เพราะ stock loss -2,473 ลบ. และมีลดกำลังการผลิตเพื่ออัพเกรดหน่วยผลิตส่งให้ economies of scale ลดลง รวมถึง supply ที่มากขึ้นฉุดค่าการกลั่น -81% y-y, -41% q-q ทั้งนี้แนวโน้มจะดีขึ้นใน 4Q24F พลิกกลับมามีกำไร จาก stock loss ที่ลดลง, การผลิตกลับเป็นปกติ และ product spread ฟื้นจากฤดูท่องเที่ยว และ winter season มองภาพปี 2024F ที่ลดลง y-y ราคาหุ้นน่าจะตอบรับไปแล้ว มองเป็นโอกาสเก็งกำไรการฟื้นตัวใน 4Q24-2025F ปรับคำแนะนำเป็น Trading Buy คง TP25F ที่ 7.5 บาท/หุ้น
• AGRI Sector: เราคาดว่าหลังประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2025 จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อน เป็นผลดีต่อบริษัทที่เป็น net export ได้แก่ TU ITC STA STGT NER นอกจากนี้ TU ซึ่งมีบริษัทย่อยในสหรัฐคือ Chicken of the Sea จะได้ประโยชน์จากนโยบายของ Trump ในเรื่องการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 18% ถ้าพิจารณารายอุตสาหกรรม เราคาดนโยบาย Trump ในการขึ้นภาษีนำเข้าจะกดดันสินค้ายางพาราและถุงมือ ขณะที่สหรัฐอาจกดดันให้ไทยนำเข้าหมูจากสหรัฐ และกดดันจีน-เวียดนามให้นำเข้าหมู-ไก่จากสหรัฐมากขึ้น กระทบการแข่งขันไก่ส่งออกของไทย กดดันราคาหมูในจีน-เวียดนาม ดังนั้นผลกระทบจากเลือกตั้งสหรัฐ เรามองบวกต่อ TU เป็นหลัก แนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย 19.30 บาท
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA