Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

673

 


"Earning Plays + China Plays"

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1470/1476 จุด รับ 1455/1446 จุด วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐ Rebound นำโดย Tech และความเชื่อมั่นต่อดอกเบี้ยสหรัฐขาลง โดย MUFG และตลาดคาดประชุม Fed 6-7 พ.ย. จะลดดอกเบี้ย 25 bps สู่ 4.75% หลังจากตัวเลขตลาดแรงงาน Nonfarm payrolls +1.2 หมื่นราย ต่ำคาดมาก แม้เป็นผลชั่วคราวจากผลกระทบพายุเฮอริเคน ผสานฝั่งภาคผลิต PMI < 50 จุด สัปดาห์นี้ ปัจจัยหลักที่ต้องตามคือการเลือกตั้งสหรัฐคาดความผันผวนจะลดลง และลุ้นมาตรการกระตุ้นจกาประชุม NPC ของจีน ภายในปัจจัยเศรษฐกิจไทยชี้ไปทางบวกต่อตลาดหุ้น อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ 3 เดือนข้างหน้าปรับขึ้นสู่ 58.4 สูงสุดในรอบ 6 เดือน ผสาน BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน Data Center 2 โครงการใหญ่มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท และวันพรุ่งนี้รัฐบาลคาดจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฝั่งอสังหา(+บริโภค ท่องเที่ยว ลงทุน) โดยรวมประเมิน GDP Growth ไทยปี 2024 คาด 2.4%y-y มี Upside มองบวกต่อ SET ประเมินหุ้นนำหุ้นธีม Infra Tech, หุ้น Domestic, หุ้นงบ 3Q24 ดี หุ้นChina playวันนี้แนะ ADVANC, BBIK, IVL

 

 

Daily outlook: "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1470/1476 จุด รับ 1455/1446 จุด

What happened around the world ?

(+)US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ Rebound นำโดยหุ้นกลุ่ม Tech (หนุนจาก Intel และ Amazon) แม้ตัวเลขแรงงานสหรัฐ Nonfarm payrolls ออกมาต่ำคาด จากผลกระทบชั่วคราวจากพายุเฮอริเคน หนุนคาดการณ์ Fed ลดดอกเบี้ยฯ รอบ พ.ย. และตลาดยังรอดูสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้ง อิง Dow jones +0.69%, ดัชนี S&P500 +0.411% และดัชนี Nasdaq +0.8% โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ Consumer discretionary, IT, Health care, Industrials ส่วน Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ Utilities, Real estate, Energy ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ Chevron บริษัทน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ +3.45%รับรายงานงบดีกว่าคาด, Amazon +6.2%, รับรายงานรายได้ 3Q24 ออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะธุรกิจ Cloud +19%y-y, Intel +7.8%, Microstrategy -6.05% หลังจาก Bitcoin ปรับลงต่ำกว่า 7 หมื่นเหรียญฯอีกครั้ง NVDIA +1.99% แรงหนุนจากข่าวเตรียมเข้าดัชนี Dow jones แทนที่หุ้น " Intel" มีผล 8 พ.ย. ฯลฯ

(*) US Earning : สหรัฐรายงานผลประกอบการ 3Q24 ออกมาล่าสุดรวม 352 จาก 499 บริษัท โดยกำไรรวมดีกว่าคาด 6.67% จากวันก่อนที่ 7.26% และ เติบโต 8.3% จากวันก่อนที่ +9.6%y-y

(*)US Econ: ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนวันศุกร์ ผสมผสานแต่ยังชี้หนุนให้ Fed ลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบ พ.ย. 1.) Nonfarm payrolls เดือน ต.ค. + 1.2 หมื่นราย ต่ำตลาดคาด 1.2 แสนราย (จากผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนและการหยุดงานประท้วงของ Boeing) และมีการ revised down ตัวเลข 2 เดือนก่อนหน้ารวม 1.12 แสนราย ขณะที่อัตราการมีส่วนร่วมในภาคแรงงานลดลงมาอยู่ที่ 62.6% (ลดลงครั้งแรกตั้งแต่เดือน พ.ค.) อย่างไรก็ตามอัตราการว่างงาน เดือน ต.ค. 24 ทรงตัวตามคาดและเท่าเดือนก่อนอยู่ที่ 4.1% (ต่ำกว่าเป้าหมายที่ Fed คาดใน Dotplot ที่คาดสิ้นปี 2024 ที่ 4.4% และคาดปี 2025 ที่ 4.4%) ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง +0.4%m-m มากกว่าคาดที่ 0.3% 2.) S&P Global PMI ภาคการผลิต เดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 48.5 จุด prev. 47.8 จุด ( PMI < 50 จุดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4) 3.)ISM เผยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐเดือนต.ค. ปรับตัวลงสู่ระดับ 46.5 จุด (ต่ำสุดในรอบ 15 เดือน หรือต่ำสุด ก.ค.2566) (< 50 จุดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7)

.(*/+)China Econ : Caixin PMI ภาคผลิตจีน เดือน ต.ค. เร่งขึ้นมาที่ 50.3 จุด ดีกว่าคาดที่ 49.7 จุด vs prev.49.3 จุด (> 50 จุดสะท้อนภาคธุรกิจขนาดเล็กขยายตัว) สอดคล้องกับ PMI ภาคผลิต ของธุรกิจขนาดใหญ่ > 50 จุด) Key Focus คือ 4-8 พย 2024 การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีนคาดจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการทางการคลังใหม่ให้มีขนาดที่เหมาะสม และน่าจะมุ่งเน้นไปที่แผนบรรเทาหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น 2-6 ล้านล้านหยวน เพื่อกระตุ้นการบริโภคให้ทั่วถึง KSS ประเมินบวกต่อหุ้น China Play IVL , AOT, SCGP , PTTGC

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ : 5 พ.ย. ติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯ คาดว่าจะทราบอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 6 พ.ย. ของไทย 6-7 พ.ย. Fed Meeting:(ไทยทราบผลเช้า 8 พ.ย.) ติดตามประชุม Fed MUFG คาด Fed จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25 bps เหลือ 4.5-4.75% สอดคล้องกับมุมมองของตลาด ฝั่งจีน 7 พ.ย. ยอดส่งออก - นำเข้า ต.ค. 24 ไม่มีคาด prev. +2.4%y-y และ +0.3%y-y

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อายุ 2 ปี แกว่งตัวผันผวน โดยยังขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 4 เดือน +4 bps อยู่ที่ 4.21% และอายุ 10 ปี ปรับขึ้น 10 bps อยู่ที่ 4.38% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) มองเป็นจิตวิทยาบวกหนุนต่อกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB กลุ่มประกันชีวิต BLA, TLI ส่วน Dollar Index ผันผวนสูง อ่อนค่าแรงช่วงต้นตลาดแต่พลิกกลับมาแข็งค่าแรงอยู่ที่ 104.2 จุด

(*/+) Oil : น้ำมันดิบผันผวนเปิดสูงแต่โดย Take profit แต่ยังปิดบวก Brent +0.44%d-d ปิดที่ USD 73.1/barrel, น้ำมันดิบ West Texas +0.33%d-d ปิดที่ USD 69.4/barrel แรงหนุนระยะสั้นมาจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง Axios รายงานว่าหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลเชื่อว่าอิหร่านกำลังเตรียมทำการโจมตีอิสราเอลจากดินแดนอิรักในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยอาจเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. และความคาดหวังว่ากลุ่ม OPEC+ อาจเลื่อนการเพิ่มการผลิตน้ำมันที่วางแผนไว้ในเดือน ธ.ค. ออกไป 1 เดือน โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP

What happened in Thailand ?

(-) SET : SET Index -1.87 จุด (-0.13%) ปิดที่ระดับ 1,464 จุด มูลค่าการซื้อขาย 3.28 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับลง 284 บริษัท, หุ้นปรับขึ้น 162 บริษัท) นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายเพื่อรอดูตัวเลข Nonfarm payrolls ของสหรัฐและรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในสัปดาห์หน้า Sector ที่ปรับลงกดดัชนี คือ กลุ่ม ICT (ADVANC, TRUE, INTUCH) กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, TIDLOR) ขายลดความเสี่ยงก่อนเลือกตั้งสหรัฐหลังโพลบ่งชี้ ทรัมป์ มีโอกาสได้กลเป็นประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ดันให้เงินเฟ้อ และบอนยิลด์เร่งตัวเป็นจิตวิทยาลบกับกลุ่มไฟแนนซ์ ส่วน Sector ที่ปรับขึ้นช่วยพยุงดัชนีคือ กลุ่มขนส่ง (AOT), กลุ่มท่องเที่ยว (MINT, ERW, AWC) รับ High season ของภาคท่องเที่ยวและ ภาครัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อาทิ มาตรการแอ่วเหนือ เปิดให้ลงทะเบียน และกลุ่ม อสังหาฯ (SPALI, AP, SIRI) เก็งกำไรคาดหวังภาครัฐนำมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ผ่านมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ . ปลดล็อก LTV

(-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุด (1 พ.ย.2024) ไหลออก ขายหุ้น -71.97 ล้านเหรียญ, ขายพันธบัตร -85.26 ล้านเหรียญฯ และ TFEX Net Short 12,129 สัญญา, เงินบาทอ่อนค่าสู่ระดับ 33.9 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่ามากสุดในรอบ 1 เดือนครึ่ง

(+) TH Econ: BOT รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) ต.ค. ปรับขึ้นสู่ระดับ 47 จาก 45.7 ในเดือน ก.ย. สวนทางกับ Consensus คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 45.4, ความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าปรับขึ้นสู่ระดับ 58.4 จาก 56.7 ในเดือน ก.ย. นับเป็นการปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน KSS มีมุมมองบวกกับตัวเลขดังกล่าว ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่สูงขึ้นในเดือน ต.ค. และ เร่งตัวขึ้นอีกในช่วง 3 เดือน ข้างหน้าสะท้อนกิจกรรมเศรษฐกิจของประเทศกลับมาขยายตัวสอดคล้องกับมุมมองคาดการณ์ GDP ของ BOT คาดขยายตัว 3% ใน 3Q24 เร่งตัวขึ้นจาก 2.3% ใน 2Q24 จากผลของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐผสานกับมาตรการแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบาง เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic play อาทิ กลุ่มนิคมฯ, กลุ่มค้าปลีก และ วัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงกลุ่มธนาคาร

(+) Infra Tech: BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน Data Center 2 โครงการใหญ่ของบริษัทในเครือ Google และ GDS จากประเทศจีนมูลค่ารวม 6 หมื่นล้านบาท (Google 3.27 หมื่นล้านบาท, GDS 2.8 หมื่นล้านบาท) KSS มองบวกตอกย้ำมุมมองธุรกิจ Data Center เข้าสู่ Upcycle เราประเมินการลงทุนและกำลังการให้บริการ Data Center ของไทยจะขยายตัวเร่งตัวขึ้นเฉลี่ย 45-50% ในช่วง 4-5 ปี ข้างหน้า มากกว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกคาดว่าจะขยายตัวเพียง 8-10% ต่อปี เป็นบวกต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น เน้นกลุ่มอุตสาหกรรม ต้น – กลางน้ำ ซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์ในระยะแรก อาทิ กลุ่มนิคมฯ (AMATA, WHA), รับเหมาฯ (STECON, INSET), กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF GPSC), กลุ่ม Infra Tech (BBIK) และ กลุ่ม ICT Operator (ADVANC TRUE)

(*/+) Government Stimulus: อังคารนี้ รมว. คลังเตรียมเสนอ ครม. อนุมัติมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ "ซื้อ - แต่ง - ซ่อม และ สร้างบ้าน" มูลค่ารวม 5.5 หมื่นล้านบาท และเตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อออกมาตรการเพิ่มเติม อาทิ ขยายอายุมาตรการ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง ทำกำลังจะหมดอายุโครงการ ณ สิ้นปีนี้ หารือแบงก์ชาติ ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ฝ่ายวิจัย KSS ประเมินมาตรการดังกล่าวจะเป็นบวกต่อ 3 กลุ่มธุรกิจ คือ 1) อสังหา (AP, SIRI), 2) กลุ่มธนาคารที่มีสินเชื่ออสังหาฯสูง SCB 32% ของยอดสินเชื่อ, TTB 25%, KTB 19%, KBANK 17% และ 3)กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง (HMPRO, ILM, DOHOME, GLOBAL) โดยเลือก SIRI, AP, KTB, KBANK และ HMPRO เป็น Top Pick

(*/+) Smart phone play : LINE ประเทศไทย ประกาศแจ้งเตือน ผู้ใช้งานมือถือระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชัน 13.7.0 และ Android เวอร์ชัน 6.0.1 หรือเวอร์ชันก่อนหน้า จะไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน LINE ได้ ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2024 เป็นต้นไป KSS ประเมินคาดจะส่งผลทางจิตวิทยาทำให้มีการเปลี่ยนมือถือยกระดับในรุ่นที่ดีขึ้น มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นขายมือถือ อาทิ COM7 (แรงหนุนจากเข้า SET50), JMART, ADVICE, SPVI, CPW

(+) MSCI Rebalance: 6 พ.ย. MSCI จะประกาศน้ำหนัก รวมถึงผลคัดเลือกหุ้น เข้า/ออก ดัชนีรอบใหม่ (MSCI Rebalance) มีผลบังคับ โดย ใช้ราคาปิด ณ วันที่ 25 พ.ย. 2024 เบื้องต้นเราคาดว่าจะไม่มีหุ้นไทยได้ปรับ เข้า/ออก จากคำนวณในดัชนีรอบนี้ อย่างไรก็ตามเราคาดว่าจะมีหุ้น Big Cap ของไทยในหลายบริษัทมีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุน อาทิ GULF, KTC, TRUE, KTB, CPAXT, AOT, KBANK, CPALL, และ ADVANC เป็นจิตวิทยาบวกกับหุ้นดังกล่าว

(*) To monitor: ปัจจัยที่ต้องติดตามในประเทศสัปดาห์นี้ 4 พ.ย. BoT ประชุมเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ, 5 พ.ย. ก.พาณิชย์รายงานเงินเฟ้อ (CPI) ต.ค. 24 Consensus คาด ทรงตัว m-m, +0.93%y-y vs prev. -0.1%m-m, +0.61%y-y, 8 พ.ย. ม.หอการค้าฯ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค. ส่วนบริษัทจดทะเบียนประกาศงบ 3Q24 วันจันทร์ PLS, อังคาร DOHOME,IRPC พุธ PTTGC, QH, ITC, TU, พฤหัสบดี BCP, BH, BJC, CPAXT, GPSC, OR, NER, TACC, และวันศุกร์ CBG, INTUCH, JMT, STA, STGT, TOP, WHA, WHAUP หุ้นที่คาดกำไรดี คือ TU, BH, CPAXT, CBG, WHA, INTUCH

Daily Strategy : ADVANC, BBIK, IVL เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "แกว่งในกรอบ" ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์ Rebound หนุนจากหุ้น Tech และมุมมองดอกเบี้ยสหรัฐเข้าสู่ขาลง MUFG และตลาดคาดประชุม Fed 6-7 พ.ย. จะลดดอกเบี้ย 25 bps สู่ 4.75% หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อวันศุกร์หนุนทั้งตลาดแรงงาน Nonfarm payrolls +1.2 หมื่นราย ต่ำคาดมากผลจากผลกระทบพายุเฮอริเคน (แต่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ 4.1% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ Fed คาดสิ้นปี 2024 ที่ 4.4%) ผสานฝั่งภาคผลิต PMI < 50 จุดติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7) สัปดาห์นี้ Key หลักๆที่ต้องตามคือกลางสัปดาห์ผลการเลือกตั้งสหรัฐ คาดความผันผวนจะลดลง ภายใน ปัจจัยเศรษฐกิจไทยชี้ไปทางบวกต่อตลาดหุ้น อาทิ BOT รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) 3 เดือนข้างหน้าปรับขึ้นสู่ 58.4 สูงสุดในรอบ 6 เดือน ผสาน BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุน Data Center 2 โครงการใหญ่ของบริษัทในเครือ Google และ GDS จากประเทศจีนมูลค่ารวม 6 หมื่นล้านบาท และ วันพรุ่งนี้รัฐบาลคาดจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฝั่งอสังหา(+บริโภค ท่องเที่ยว ลงทุน แก้หนี้) โดยรวมทำให้ GDP Growth ไทยปี 2024 คาด 2.4%y-y มี Upside มองบวกต่อ SET ประเมินหุ้นนำ หุ้นในธีม Infra Tech, กลุ่มนิคม หุ้น Domestic และหุ้นจะรายงานกำไร 3Q24F ดี

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อความเสี่ยงผลการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ (KTB, GPSC, GULF, ADVANC, CPALL, BDMS, WHA)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AAV, BA, AU)
กลุ่มคาดกำไร 3Q24F จะออกมาดี (IVL, ADVANC, CPALL, TRUE, AWC และ MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, CPAXT)

• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election 2024 and Global Market Impact

ทีมกลยุทธ์ออกรายงานกลยุทธ์ลงทุนก่อนเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ ระยะสั้นเรามองสินทรัพย์เสี่ยงก่อนการเลือกตั้ง 1-2 สัปดาห์ น่าจะแกว่งออกข้างเป็นหลัก รอความชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง นักลงทุนควรเตรียมตัวปรับพอร์ตตามสถานะการณ์ดังที่ KSS ประเมินไว้ 4 กรณี ในระยะนี้ เบื้องต้น KSS คงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index หลังเลือกตั้ง น่าจะตอบรับช่วง Honeymoon Period รับผล US Election ไปก่อน อย่างไรก็ดี ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า แนะนำ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)

KSS ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 กรณี

1) กรณี Red Wave (พรรค Republican ครองสภาบนและสภาล่าง)

• มองแนวนโยบาย American First อาทิ การลดภาษีนิติบุคคล และการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้า จะส่งผลบวกต่อการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากสมมติฐานหลัก ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงแรงกดดันต่อเงินเฟ้อที่ลดระดับช้าลง กระทบวงจรดอกเบี้ยขาลงที่น่าจะช้ากว่าที่ตลาดประเมินไว้เดิม

• กรณีนี้สร้างความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลกในช่วงปลายปี 2024 - ต้นปี 2025 โดย EM Assets จะผันผวนจาก Dollar Index ที่พลิกแข็งค่าขึ้นไว แต่อย่างไรก็ดี KSS ประเมินกลุ่ม TIPs จะผันผวนน้อยกว่า จากตลาดหุ้นกลุ่มนี้ มีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 10% น้อยกว่า EM อื่นๆ ผสานนโยบายการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลาง และตลาดหุ้นยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งยัง Laggard ภายใต้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเร่งขึ้น

• ทางเลือกการลงทุนหุ้น คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคมและกลุ่มส่งออกอาหาร รวมถึงหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร

• ทั้งนี้ เรามอง Red Wave จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อจากสงครามการค้า และส่งผลเชิงลบต่อการลงทุนในตราสารหนี้ ในระยะสั้น-กลาง

2) กรณี Blue Wave (พรรค Democrat ครองสภาบนและสภาล่าง)

• นโยบายที่ตรงข้ามกับ Republican อาทิ ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและบริษัทเป็นปกติที่ 28% (เดิม 21%) ผสาน การผลักดันนโยบาย Green Energy และรวมถึงใช้มาตรการกีดกันทางการค้าระดับใกล้เคียงปัจจุบัน จะช่วยให้ภาพวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาลงเดินหน้าต่อ Dollar จะอ่อนค่า

• เร่งปรากฏการณ์ Search for Yield หนุน Fund Flow มายัง EM Asia รวมถึงไทยต่อเนื่อง หุ้นอิง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)

• นอกจากนี้ ภาพ Blue Wave ยังเป็นบวกต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารหนี้โลก

3) กรณี Republican President + Democratic Congress :

• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Republican ที่จะถูกผลักดันจำกัดกว่ากรณี Red Wave ทั้งนี้ ในกรณีนี้เรามองค่อนข้างบวกต่อหุ้นสหรัฐ เนื่องจากทิศทางหลักเป็นนโยบายลักษณะ American First และการลดภาษี แม้จะทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับกรณี Red Wave

• ตลาดหุ้นอื่นๆ จะเริ่มผันผวนต้นปี 2025 แต่ภาพ EM Asia จะผันผวนน้อยกว่ากรณี Red Wave โดยเฉพาะ TIPs ที่มีการปรับโครงสร้างการค้า และภาคการผลิตมาตั้งแต่ปี 2018-ปัจจุบัน และตลาดหุ้น TIPs ยังมีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากสหรัฐฯและจีนต่ำ

• แนะนำ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคม หุ้นส่งออกอาหาร และหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร

• ในกรณีนี้เรามองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะยังแกว่งตัวในกรอบ โดยมีโอกาสปรับขึ้นก่อนแกว่งตัวลง ให้รอจังหวะ ก่อนลงทุนรับวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยโลกขาลงแบบค่อยเป็นค่อยไปหลังจากนั้น มองเป็นกลางถึงบวกอ่อนๆต่อการลงทุนในพันธบัตร

4) กรณี Democratic President + Republican Congress :

• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Democrat จะถูกคัดค้านอย่างต่อเนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาบน ที่มาจากขั้วตรงข้าม ส่งผลให้การผลักดันนโยบายเป็นไปได้อย่างจำกัดใน กรณีนี้เรามองเป็นกลางต่อหุ้นสหรัฐ แต่ Upside จำกัดจากระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความเสี่ยงเศรษฐกิจอ่อนลงที่รออยู่

• มอง Fund Flow จะทยอยไหลเข้า EM Asia รายประเทศ ขึ้นกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในกรณีนี้เรามองหุ้นไทยยังมีโอกาส "outperform" ได้ แต่จะต้อง Selective ตามปัจจัยกระทบที่ค่อนข้างสูง

• หุ้นเด่นเรามอง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)

Strategy: ในระยะนี้ ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า ให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election หุ้นได้ประโยชน์การเลือกตั้ง + กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ผสาน หุ้น Domestic ที่หลบเลี่ยงผลกระทบได้ดี ดังนี้ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)

• Strategy Update : 3Q24F Earnings Plays

ช่วงต้นเดือน ต.ค. - กลางเดือน พ.ย.2024 เป็นช่วงรายงานผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนไทยงวด 3Q24 หลังจากผ่านช่วงรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารแล้ว จะเข้าสู่ช่วงการรายงานผลประกอบฝั่ง Real Sector โดยก่อนรายงานมักมีกระแสการเก็งกำไรเข้าซื้อในหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี เติบโต y-y, q-q หรือ หุ้นที่มีสัญญาณผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด (เริ่มฟื้นตัว q-q)

ทีมกลยุทธ์ KSS รวบรวมข้อมูลคาดการณ์งบงวด 3Q24 ทีมีการประมาณการณ์ อิงจาก Bloomberg รวมทั้งหมด 96 บริษัท เพื่อค้นหาหุ้นที่มีความน่าสนใจต่อการเข้าเก็งกำไร

กลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่คาดจะรายงานงบ 3Q2024 ออกมาเด่น y-y , q-q และอยู่ในธีมหลักในการลงทุนที่ เรามองจะเด่นในปัจจุบัน ประกอบด้วย

o หุ้น China play IVL, AU

o หุ้นกลุ่มวงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงหนุน TRUE, MTC, GPSC, ADVANC, CPALL, CPF

o หุ้นได้ประโยชน์ธีม US Election หรือ ทนต่อความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากผลการเลือกตั้ง AMATA, WHA, BDMS

o หุ้น Mid small -Cap เน้น MOSHI

〽️Best Picks : เราเลือกหุ้นเด่น 5 บริษัทใน Theme 3Q24F Earnings Plays คือ IVL, ADVANC, CPALL, TRUE และ MOSHI

• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF

• Strategy Update : Data Center

กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP

มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)

Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE

 

• Soft Commodity(Neutral) ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่ม +4.8%w-w จากฤดูกาลผลผลิตน้อยและสต๊อกในมาเลเซียและอินโดนีเซียลดลง ส่วนราคายางพาราลดลง -1.6%w-w เพราะผลผลิตยางเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปสงค์ชะลอ ราคาถั่วเหลืองลดลง -0.9%w-w จากผู้ผลิตในอเมริกาและบราซิลเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก. ราคาไก่ลดลง -2.1%w-w อยู่ที่ 35.50 บาท (ต้นทุน 37-38 บาท) เพราะภาวะน้ำท่วมทำให้กำลังซื้ออ่อนตัว เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เรายังคงให้ Top pick CPF (TP25F 31) จากราคาสุกรจีน-เวียดนามเฉลี่ยเพิ่มขึ้น y-y ขณะที่ต้นทุนถั่วเหลืองลดลง โดยคาดกำไรสุทธิ 3Q24F จะเป็นจุดสูงสุดของปี

ADVANC(Buy, TP-305) We still Buy ADVANC with higher TP Bt305 (from Bt300) to reflect our earnings upgrade. Higher revenue growth from mobile and FBB coupled with better cost control particularly on the network opex are the major areas of EPS upgrade. We don't feel bearish on recent rise in SG&A expense as the jump from better key matrics, revenue and costs. Our earnings upcycle of 20% yoy in FY24F and another 6.5% yoy in FY25F with 4% dividend yield makes us Buy on the counter.

BBIK (Buy, TP-47.0) We expect BBIK to report a strong earnings growth in 3Q24 to Bt79m (+5% yoy, +73% qoq) thanks to the expectation that its revenue could reach its all-time high and an improvement on its GPM. BBIK is expected to post the strongest earnings improvement in the sector during this quarter. However, we trim our earnings forecast in 24/25 slightly by 6%/8% to reflect the slowdown performance during 1H24. Maintain BUY with the new FY25 TP of Bt47. BBIK remains our top pick in the sector.

 

 

4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point

Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO

Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

อ่อนตัว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ พรุ่งนี้ ประเทศไทย เข้าสู่ฤดูฝน ตอนนี้แถว รัชดาฯฝนตก อากาศเย็นสบาย นั่งมองหุ้นหลาย....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้