SET ยังไม่ไป แต่ SELECTIVE BUY ยัง OK
ภาพใหญ่ของ SET INDEX ยังไม่เห็นแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจน ทั้งในมุมของปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานใหม่ๆ ที่มีน้ำหนัก และมุมของ FUND FLOW ที่ยังไม่ไหลเข้า แต่อย่างไรก็ตามยังมองเห็นประเด็นที่สามารถเข้าไปลงทุนได้ หลายกลุ่มอุตสาหกรรม อย่างเช่นกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ DIGITAL WALLET เฟส 2 ได้แก่กลุ่มค้าปลีก+สินค้า อุปโภค-บริโภค, มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อย่างกลุ่มโรงแรม-การเดินทาง , แนวนโยบายที่จะขยายอายุสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ยังอาจมีแรงซื้อ เก็งกำไรบางส่วนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน-โรงกลั่น จากราคาน้้ามันที่ปรับตัว เพิ่มขึ้น สำหรับผลประกอบการงวด 3Q67 คาดลดลงทั้ง YOY และ QOQ แต่ก็มีหุ้นที่ทำกำไรได้ดีสวนตลาด
แม้จะมีตัวเลือกการลงทุนที่หลายกลุ่มอุตสาหกรรม แต่น้ำหนักของกลุ่มดังกล่าวยังไม่มากพอที่จะขับเคลื่อน SET INDEX วันนี้คาดกรอบ 1440 – 1455 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก ADVANC, BCP และ GULF
เศรษฐกิจโลกอยู่ในโซนขยายตัว หนุน DEMAND ฟื้นตัว
วานนี้ มีรายงาน GDP GROWTH ใน 3Q67 ของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ดังนี้
สหรัฐฯ ขยายตัว +1.5%YOY และ +2.8%QOQ ซึ่งต่ำกว่าตลาดคาดและชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตามภาคการบริโภคในสหรัฐ ยังมีความแข็งแกร่ง และเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ช่วยผลัก GDP GROWTH
ยุโรป ขยายตัว +0.9%YOY และ +0.4%QOQ ซึ่งสูงกว่าตลาดคาดไว้ และดูดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
เยอรมนีหดตัว -0.2%YOY แต่พลิกกลับมาขยายตัว +0.2%QOQ ทำให้ หลักเลี่ยงภาวะ TECHNICAL RECESSION ไปได้ (GDP ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส)
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ – ยุโรป ใน 3Q67 จะขยายตัวน้อย และลงความร้อนแรงลง ด้วยผลกระทบของการส่งผ่านนโยบายการเงินเข้มงวดในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามไม่น่านำไปสู่การเกิด RECESSION เร็วๆ นี้เพิ่มความคาดหวังให้การชะลอตัว ลงของเศรษฐกิจเป็นไปแบบ SOFT LANDING
เศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ที่ยังอยู่ในโซนขยายตัว บวกกับความหวังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว หลังรัฐบาลออกมาตรกระตุ้นชุดใหญ่ไปเมื่อช่วงปลาย ก.ย. ที่ผ่านมา และอาจมีนโยบายเพิ่มเติมในการประชุม NPC วันที่ 4-8 ก.ย. นี้ ขณะที่ล่าสุดมีสัญญาณการฟื้นตัวของ PMI ภาคการผลิตจีนเดือน ต.ค. 67 อยู่ที่ 50.1 จุด พลิกกลับมายืนเหนือ 50 จุดได้อีกครั้งในรอบ 5 เดือน ถือเป็นแรงหนุนให้ DEMAND ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าว OPEC+ อาจเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิต 1.8 แสนบาร์เรล ออกไป 1เดือนหรือมากกว่า ล้วนเป็นปัจจัยผลักให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นในช่วงสั้นๆ ได้ มองเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นอิงราคาน้ำมัน อาทิ BCP, PTTEP, PTT, BSRC
รมว.คลัง หวัง GDP ปี 68 โต 3.5% จากหลายมาตรการของภาครัฐฯ
1H67 เศรษฐกิจไทยขยายตัว +1.9%YOY ส่วนระยะถัดไปคาดหวังเศรษฐกิจไทยเติบโตแบบขั้นบันได ตามการสนับสนุนจากการเร่งดำเนินการงบประมาณและการ ส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน โดย BLOOMBERG คาดการณ์ GDP GROWTH ใน 3Q67 +2.7%YOY, 4Q67 +3.6%YOY โดยตลอดปี 2567 BLOOMBERG คาดการณ์ GDP GROWTH อยู่ที่ +2.5%YOY ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของหลายสำนักเศรษฐกิจที่ประมาณการไว้ซึ่งมีค่าเฉลี่ย GDP GROWTH อยู่ที่ +2.6%YOY
ซึ่งปัจจัยหนุนมาจากการมีเม็ดเงินที่สามารถนำมากระตุ้นช่วยเศรษฐกิจได้ทันที จาก เม็ดเงินคงเหลือของงบประมาณปี 2567 + เม็ดเงินใหม่จากการอนุมัติงบประมาณปี 2568 เพื่อทยอยขับเคลื่อน GDP GROWTH ไทยในช่วง 4Q67-2568 ซึ่งล่าสุด รมว. คลัง หวัง GDP ปี 68 โต 3.5% จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมไว้ อาทิ แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2, กระตุ้นการท่องเที่ยว ผ่านโครงการใหม่ๆ, หนุนต่างชาติ เช่าที่ดิน 99 ปี, เก็บภาษี GLOBAL MINIMUM TAX 15% และ มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน เป็นต้น
ส่วนหุ้นที่น่าทยอยสะสมหลังจากนี้ คือ หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางตรงจากนโยบาย ต่างๆ อาทิ
กลุ่มเกษตร-อาหาร TU CPF CBG SAPPE SNNP ICHI NSL M
กลุ่มค้าปลีก CPALL CRC BJC HMPRO COM7
กลุ่มเช่าซื้อ MTC SAWAD TIDLOR BAM
กลุ่มอสังหาฯ LH AP SC SPALI
กำไรงวด 3Q67 ของบริษัทจดทะเบียน ชะลอ
เดือน ต.ค. เริ่มที่การรายงานกำไรงวด 3Q67 ของกลุ่มธ.พ. และกลุ่ม REAL SECTOR บางบริษัท พบว่า ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดราว -6% ผิดกับตลาดหุ้นสหรัฐที่ออกมาดีกว่าคาด +7%
ส่วนเดือน พ.ย. เข้าสู่ฤดูกาลประกาศกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 3Q67 โดยเบื้องต้น ข้อมูลการทำ EARING PREVIEW จาก BLOOMBERG CONSENSUS ณ 29 ต.ค. 67 มีการทำ EARNING PREVIEW 132 บริษัท (คิดเป็นสัดส่วน MARKET CAP 75%) พบว่า กำไร 3Q67 ลดลง -11%QOQ และลดลง -14.5%YOY เปรียบเทียบได้ กับกำไร 3Q67 บริเวณ 2.2 –2.3 แสนล้านบาท
ถ้าแบ่งออกเป็นราย SECTOR พบว่า มีกลุ่มหุ้นที่ OUTPERFORM คือ CON, ICT, HELTH, PROP, AGRI ที่คาดว่ากำไรงวด 3Q67 จะเติบโตทั้ง QOQ และ YOY
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ยังคัดกรอง 15 หุ้นที่มีโอกาสกำไรเติบโตทั้ง QOQ และ YOY ในช่วงไตรมาสที่ 3 คือ IVL, CKP, TASCO, AMATA, EGCO, BCH, CK, PR9, SPALI, BH, TU, CBG, BEM, MTC, PLANB เป็นต้น
สรุป กำไรบริษัทจดทะเบียน 3Q67 ที่มีเริ่มต่ำคาด และมีแนวโน้มชะลอตัวลง น่าจะเป็นหนึ่งประเด็นสำคัญที่ SET INDEX ต้องแผชิญในเดือน พ.ย.
มุมมองต่อทิศทางกำไรกลุ่มปิโตรเลียม-ปิโตรเคมีและ เครื่องดื่ม
กลุ่มปิโตรเลียม-ปิโตรเคมี : ทิศทางผลการด้าเนินงานกลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีใน งวด 3Q67 ปรับตัวลดลงทั้ง QOQ และ YOY ทั้งในส่วนของผลการดำเนินงานสุทธิ และผลการดำเนินงานปกติ โดยในส่วนของกลุ่มปิโตรเลียมนั้นได้มีการประกาศงบแล้ว สำหรับ PTTEP ซึ่งกำไรสุทธิ 3Q67 เท่ากับ 1.79 หมื่นล้านบาท ลดลง 25.5%QOQ ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ กดดันหลักจากกำไรปกติที่ลดลง 25.8%QOQ มาอยู่ที่ 1.82 หมื่นล้านบาท จากปริมาณขายลด และต้นทุนที่เพิ่ม สำหรับในส่วนของกลุ่มโรง กลั่นนั้น ภาพรวมแนวโน้มผลการดำเนินงานสุทธิของทุกบริษัทในกลุ่มจะเผชิญกับผลขาดทุนในงวด 3Q67 ทั้ง TOP, PTTGC, IRPC, BCP, SPRC ถูกกดดันหลักจากรายการพิเศษบันทึกกลับเป็นขาดทุนสต๊อกน้ำมันรวม NRV รวมถึงบางบริษัทมีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ เช่น PTTGC มีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ VENCOREX และ PTT ASAHI รวม 2.0 หมื่นล้านบาท ยิ่งเป็นแรงกดดดัน อีกทั้งผลการดำเนินงานปกติ ของกลุ่มโรงกลั่นคาดจะปรับตัวลดลง QOQ จากค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย QOQ และหากเป็นบริษัทที่มีทั้งธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมี ในงวด 3Q67 คาดจะได้รับผลกระทบจากผลการดำเนินงานของปิโตรเคมีที่ยังไม่สดใสทั้งสายอะโรเมติกส์ และโอเลฟินส์ ตาม SPREAD ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ จากความต้องการใช้ที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยฉพาะจากผู้บริโภคหลักของภูมิภาคเช่นจีน ขณะที่ SPREAD กลุ่ม PET ของ IVL เห็นการขยับตัวขึ้นบ้างแต่ถือว่ายังน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม OUTLOOK ในงวด 4Q67 คาดผลการดำเนินงานปกติของกลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีจะเห็นการฟื้นตัว QOQ จากด้วยความหวังจากช่วงฤดูกาลปลายปี เทศกาลคริสมาสต์ปีใหม่ ที่จะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปกลุ่ม MIDDLE DISTILLATE ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นบวกต่อค่าการกลั่น ส่วนทิศทางราคาน้ำมันหากอ้างอิงราคาในปัจจุบัน พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบยังแกว่งตัวในกรอบ 75-80 เหรียญฯต่อบาร์เรล คาดช่วงฤดูกาลจะมาช่วยหนุนราคาน้ำมันให้ประคองตัวได้ ขณะที่ SPREAD ปิโตรเคมี น่าจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวมากนักตามเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ประกอบกับในสถานการณ์ปกติไตรมาส 4 จะเป็น LOW SEASON ของธุรกิจปิโตรเคมี
กลุ่มเครื่องดื่ม : ฝ่ายวิจัยคาดภาพรวมกำไรปกติงวด 3Q67 ของหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มที่ฝ่ายวิจัยศึกษาจะลดลง 14%QOQ จากผลเชิงลบของฤดูกาล แต่ยังเติบโตได้ดี 10%YOY โดยหุ้นที่คาดมีกำไรปกติสูงขึ้นทั้ง QOQ และYOY คือ CBG และ ICHI ซึ่งตรงกันข้ามกับ OSP และ SNNP ที่คาดกำไรปกติลดลงทั้ง QOQ และYOY หากพิจารณาหุ้นที่กำไรโดดเด่นมากที่สุดในกลุ่ม คือ CBG โดยคาดมีกำไรปกติเติบโตเด่นทั้ง QOQ และ YOY จากคาดยอดขายเติบโตเพราะได้แรงหนุนจากการจัดโปรโมชั่น 2 ขวด 18 บาท หนุนส่วนแบ่งทางการตลาดเชิงปริมาณทำจุดสูงสุดที่ 24.6% สำหรับหุ้นที่คาดกำไรปกติแย่สุดในกลุ่มคือ OSP โดยคาดถูกฉุดจากยอดขายที่ลดลงเนื่องด้วยพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบปัญหาน้ำท่วม ส่งผลให้ยอดขายในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (60%ของช่องทางการจำหน่าย) ลดลงไปด้วย
แม้ทิศทางกำไรปกติของกลุ่มช่วง 3Q67จะทำจุดต่ำสุดของปี แต่คาดหวังกำไรปกติใน 4Q67 ฟื้นตัวได้ดี QOQ และโตต่อ YOY เพราะไม่มีปัจจัยลบจากฤดูกาล อีกทั้ง คาดหวังกำลังซื้อดีขึ้นจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ของภาครัฐที่เริ่มใช้ ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา เราเลือก CBG เป็นหุ้น TOP PICK ของ กลุ่มเพราะคาดกำไรปกติช่วง 3Q67 เติบโตเด่นสุดทั้ง QOQ และYOY อีกทั้งยังมี แนวโน้มสดใสต่อเนื่องไปใน 4Q67
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์