Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

544

 

 

 

"Domestic Plays"

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "พยายามสร้างฐาน" ต้าน 1455/1460 จุด รับ 1440/1432 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯฝั่งดัชนี S&P500 -0.3% จากปัจจัยเฉพาะตัว Super Micro Computer ดิ่ง -33% หลังผู้สอบบัญชี E&Y ประกาศขอยุติการให้บริการ และถ่วงจิตวิทยาหุ้นกลุ่มเทคฯ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตกำไร 3Q24 ของหุ้นหลัก AMD, Microsoft, META ดีกว่าคาดทั้งหมด ส่วนใหญ่หนุนธุรกิจเชื่อมโยงกับ Data Center ด้านรายงานเศรษฐกิจยังไปในทางผสมผสาน ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (ADP) ต.ค. 24 ดีกว่าคาด แต่ GDP งวด 3Q24 (ครั้งที่ 1) ลดลงเหลือ 2.8%q-q vs prev. 3% ทำให้ US Bond Yield 10 ปี จึงทรงๆ 4.3+/-% ภายในกำไรตลาด Real Sector 3Q24 รายงานแล้ว 26 บริษัท ต่ำกว่าคาด -6.6% กดดันจาก SCC วันนี้ติดตามการประชุมคลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ น่าจะทำให้ตลาดเริ่มตั้งฐาน โดยมีหุ้นเด่นกว่าตลาด คือ กลุ่มที่คาด 3Q24 ดี กลุ่ม Domestic ที่มีความ Defensive (สื่อสาร ค้าปลีก ร.พ.) และหุ้นในธีม Infra Tech (งบหุ้น Tech ต่างประเทศบ่งชี้ภาพบวก) หุ้นธนาคาร (Yield สหรัฐฯระยะสั้นทรงตัวสูง+กระแสลด FIDF) แนะ ADVANC, CPALL, BBIK

 

 

 

 

 

Daily outlook: "พยายามสร้างฐาน" ต้าน 1455/1460 จุด รับ 1440/1432 จุด

What happened around the world ?

US Stocks :ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงอีกครั้ง นำโดยกลุ่ม Semiconductor อิง Dow jones -0.22%, ดัชนี S&P500 -0.33% และดัชนี Nasdaq -0.49% โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นหลักๆคือ ICT, Financials, Real estate, Materials ส่วน Sector ปรับลง คือ IT, Consumer staples, Utilities ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ กลุ่ม Semiconductor นำโดย Super micro computer -32% แรงกดดันหลักจากข่าว สำนักตรวจสอบบัญชี EY แจ้งหยุดตรวจสอบบัญชีบริษัทโดย Audit ประกาศขอลาออกจากการตรวจสอบ AMD-10.6%(แม้จะรายงานผลประกอบการเด่น รายได้โต 18% และหนุนจากรายได้ฝั่ง Data center , NVDIA -1.3% ฯลฯ

(*) US Earning : สหรัฐรายงานผลประกอบการ 3Q24 ออกมาล่าสุดรวม 287 จาก 499 บริษัท (รายงานเพิ่มจากเมื่อวันก่อน 55 บริษัท) โดยกำไรรวมดีกว่าคาด 7.11% จากวันก่อนที่ 7.4% และ เติบโต 9.7% เร่งขึ้นจาก วันก่อนที่ +9.0%y-y โดยหุ้นที่กำไรดีกว่า(+) คาดหลักๆคือ Garmin, ebay, Meta platform , Microsoft หุ้นที่กำไรออกมาต่ำคาด คือ Starbuck

(*)US Econ: ตัวเลขแรงงานสหรัฐเมื่อคืนการจ้างงานภาคเอกชน(ADP Employment) เดือน ต.ค. อยู่ที่ 2.33 แสนราย (สูงสุดในรอบกว่า 1 ปี และเป็นการปรับขึ้นติดต่อ 2 เดือน) ดีกว่าตลาดคาด 1.1 แสนราย KSS ประเมินตัวเลขแรงงานที่แข็งแกร่งหนุนมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft landing แต่อย่างไรก็ตามตลาดให้น้ำหนักกับรายงาน Non farm payrolls วันศุกร์นี้มากกว่า ลาดคาดตัวเลข 1.2 แสนราย ชะลอลงจากเดือนก่อน 2.5 แสนราย (ADP Employment ในอดีตไม่ได้ไปทางเดียวกับ Non farm payrolls) โดยรวมหากตัวเลขออกมาดีกว่าคาด ประเมินจะจำกัด Down side ในการปรับลงของตลาดหุ้นสหรัฐในต้นสัปดาห์ข้างหน้า

(*) EU Econ : รายงาน GDP หลายประเทศในยุโรปออกมาแกร่ง หลักๆคือ เยอรมัน GDP 3Q24 พลิกกลับมาบวก +0.2%q-q จากติดลบ 2 ไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าตลาดคาด -0.1% เช่นเดียวกับสเปน +0.8%q-q ดีกว่าคาดที่ 0.6%, ฝรั่งเศส GDP งวดเดียวกัน +0.4%q-q ดีกว่าตลาดคาด +0.3% KSS ประเมินโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจในยุโรปกลับมาแข็งแกร่งเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นในยุโรป และหนุนแนวโน้มค่าเงินยูโรมีโอกาสแข็งค่าต่อ โดยรวมมองบวกต่อหุ้นไทยที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงยุโรป อาทิ MINT, XO, IVL

(*)China Monitor : มุมมองต่อหุ้นกลุ่ม China plays ยังมองบวก โดยติดตาม 2 ประเด็นบวก คือ 1.) ตามตัวเลข PMI ภาคการผลิต เดือน ต.ค. ตลาดคาดจะเร่งขึ้นจาก 49.8 จุด มาอยู่ที่ 50.0 จุด (> 50 จุดสะท้อนภาคการผลิตขยายตัว เช่นเดียวกับ PMI ภาคบริการตลาดคาดจะเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 50.5 จุด Prev. 50.0 จุด 2.) การประชุมคณะกรรมาธิการสามัญของจีน (NPC) จะจัดขึ้นระหว่าง4 -8 พ.ย. ตลาดเริ่มคาดจะมีการออกอนุมัติพันธบัตรวงเงิน 10 ล้านล้านหยวน KSS ประเมินจะหนุนตลาดหุ้นจีนและบวกต่อหุ้น China Play นำโดย IVL , AOT, ส่วน SCGP , PTTGC ทยอยตั้งรับ

(*)EU – China Tension : กระแสการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหภาพยุโรป (EU) ต่อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผลิตในจีนยังมีต่อ ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ของจีนได้แถลงว่าไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับ และคาดกาณณ์จีนมีโอกาสจะเพิ่มความเข้มงวดในการตอบโต้ KSS ประเมินเป็นประเด็นเดิมที่เกิดขึ้น โดยประเมินเป็นบวกต่อไทยที่คาดจะได้อานิสงค์จากการย้ายฐานการผลิต หรือย้ายคำสั่งผลิตและส่งออกไปยุโรป มองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม AMATA, WHA และมองบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ KCE

(*)UK Wage : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักร(UK) ประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คือ อายุ 21 ปีขึ้นไปปรับขึ้น 6.7% เป็น 12.21 ปอนด์/ชั่วโมง (จาก 11.44 ปอนด์) ฯลฯ มีผลในเม.ย. 2025 และคาดแรงงาน 3 ล้านคนใน UK จะได้ผลบวก KSS ประเมินจะหนุนกำลังซื้อและการบริโภคในประเทศ และอีกฝั่งจะหนุนต่อคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2025 ทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของอังกฤษมีโอกาสไม่เร่งลงดอกเบี้ยเร็วจากเดิม

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 1 พ.ย. ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตร ต.ค. 24 คาด 1.2 แสนราย vs prev. 2.5 แสนตำแหน่ง, อัตราการว่างงาน ต.ค. 24 คาด 4.1% เท่า prev. 1 พ.ย. PMI ภาคผลิต (ISM) ต.ค. 24 คาด 47.6 จุด vs prev. 47.2 จุด y ฝั่งจีน 31 ต.ค. PMI ภาคผลิตและนอกภาคผลิต (ทางการ) ต.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 49.8 และ 50 จุด 1 ต.ค. PMI ภาคผลิต (Caixin) ไม่มีคาด

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับขึ้นแรง อายุ 2 ปีปรับขึ้น 7 bps อยู่ที่ 4.17%(ทำจุดสูงสุดในรอบ 4 เดือน) และอายุ 10 ปี ปรับขึ้น +4 bps อยู่ที่ 4.297% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB กลุ่มประกันชีวิต BLA, TLI ส่วน Dollar Index แกว่งตัวออกข้างอยู่ที่ 104.0 จุด

(*/+)Oil : น้ำมันดิบ Brent +2.01%d-d ปิดที่ USD 72.55/barrel น้ำมันดิบ West Texas +2.08%d-d ปิดที่ USD 68.61/barrel แรงหนุนจากข่าว Supply ลดลง 1.) คาดการณ์ OPEC+ อาจเลื่อนแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีกอย่างน้อย 1 เดือน (เดิมมีแผนปรับเพิ่มกำลังการผลิต 1.8 แสนบาร์เรล/วันในเดือน ธ.ค.24) 2.)สต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินรายงานโดย EIA ประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ ปรับตัวลง อิงสต็อกน้ำมันดิบ -5.15 แสนบาร์เรล มากกว่าตลาดคาด จะเพิ่ม 1.5 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนชิน - 2.7 ล้านบาร์เรล สวนทางตลาดคาดจะเพิ่ม 6 แสนบาร์เรล ระยะสั้นราคาน้ำมันดิบที่ Rebound มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTTEP, PTT มอง Trading

 

What happened in Thailand ?

(*/-) SET : SET วันทำการล่าสุดปรับตัวลดลง -3.96 จุด หรือ -0.27% ปิดที่ระดับ 1447.2 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) จิตวิทยาบวก Google รายงานกำไร 3Q24 ดีกว่าคาด โดยมีธุรกิจ Cloud เด่น บ่งชี้ความต้องการ Data Center ยังเติบโตสูงระยะถัดไป ผสาน Equinix ยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการ Data Center สหรัฐฯ ประกาศลงทุนในไทย กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) ฟื้นตัวรับภาพอุตสาหกรรมที่ยังเป็น Upcycle หลังปรับฐานช่วงต้นสัปดาห์ กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) ตอบรับภาพราคาน้ำมันเป็นแนวโน้มขาลง กลุ่มธนาคาร (SCB, BBL) ภาพดอกเบี้ยขาลงยังกดดัน Sentiment และผลประกอบการ นักวิเคราะห์ของเราประเมินทุกๆ 0.25% ของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะกดดันกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารเฉลี่ย 5% ผสานกับตลาดเริ่มกังวลต่อแนวโน้ม GDP ของปีนี้อาจจะมี downside จากผลลบของปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นปลาย 3Q24

(-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -4.3 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -126.7 ล้านเหรียญฯ TFEX Net short -16,133 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยสู่ 33.77 +/- บาท

(*/+) Government Stimulus: รมว.คลัง ร่วมงาน Thailand 2025 Opportunities, Challenges and Futures ประเมิน

1.) GDP ไทยปี 2024 น่าจะเติบโตได้ราว 2.7% และตั้งเป้าหมายปี 2025 ที่ 3.5% อิง GDP งวด 1H24 ที่ 2.0% บ่งชี้ภาพ 2H24 เร่งขึ้นสู่ ระดับ 3.4% เรามองยังเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย สอดคล้องกับตลาดมองในปัจจุบัน ส่วนปี 2025 เป็นระดับที่สูงกว่าตลาดประเมิน

2.) กรอบเงินเฟ้อที่เหมาะสมประเมิน 2.0% หากยังไม่ถึงเป้าหมาย ประเมินควรพิจารณามาตรการขับเคลื่อนเพิ่มเติมทั้งการเงินและการคลัง เรามองในเชิงนโยบายการเงินเป็น รมว. คลังมองควรปรับลดดอกเบี้ยลงอีก หลังเงินเฟ้อยังต่ำกว่าระดับเหมาะสมที่มองไว้ ส่วนการคลังน่าจะเห็นการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมต่อเนื่อง บวกต่อหุ้นดอกเบี้ยลดลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ หนี้สูง High Yield) และหุ้น Domestic (ค้าปลีก เน้น CPALL สื่อสาร เน้น ADVANC, TRUE ท่องเที่ยว ธนาคาร)

3.) มองระดับหนึ้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ลดลงเหลือ 89% ในปัจจุบันจากที่เกิน 90% ในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากฐาน GDP ที่ขยายตัวขึ้น ทำให้ต้องวางแนวทางแก้ไขหนี้ครัวเรือนต่อเนื่อง คาดมีความชัดเจนเร็วๆนี้ อิงข่าวหุ้นรายงานภาคธนาคารเริ่มเสนอขอลดเงินนำส่ง FIDF แล้ว เรามองจิตวิทยาบวกกลุ่มธนาคาร กรณีลดเงินจ่าย FIDF ลงครึ่งนึง (ปัจจัยอื่นๆคงที่) เบื้องต้นน่าจะบวกต่อกำไรกลุ่มธนาคารในกรอบ 5-10%

4.) ประเมินเม็ดเงินลงทุน FDI ที่แม้จะอยู่ในเกณฑ์ดีในปัจจุบัน แต่มองหากต้องการลงทุนในระยะยาวมากขึ้น ซึ่งการเข้ามาปักฐานการลงทุนในไทย หากมีสัญญาเช่าที่ดินที่นาน เช่น 99 ปี ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดี แต่หากไม่มีสัญญาเช่าที่ดินระยะเวลาที่นานเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้การเข้ามาลงทุนของต่างชาติเกิดยากขึ้น เรามองการผ่อนคลายเงื่อนไขการเช่าน่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องหลักที่รัฐบาลปัจจุบันผลักดันต่อ จิตวิทยาบวกต่อกลุ่มนิคมและอสังหาฯ

(*/+) Digital Ads Spending: สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลปี 2024 เติบโต 16%y-y เร่งขึ้นจากปี 2023 ที่ +4% โดยมากกว่าที่ DAAT ประเมินต้นปีที่ +8% ขณะที่เม็ดเงินส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 2H24 คาด 1.79 หมื่นล้านบาท (vs 1H24 ที่ 1.59 หมื่นล้านบาท) เรามองสะท้อนสัญญาณ Digital Adoption ของไทยที่เร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง และน่าจะนำมาสู่ปริมาณงานที่ปรึกษาการใช้โฆษณาดิจิทัลให้ตรงเป้าหมาย บวกต่อหุ้น Digital Tech เน้น BBIK

นอกจากนี้ หากมองรายอุตสาหกรรมที่ใช้เม็ดเงิน พบว่า อุตสาหกรรมที่ใช้เม็ดเงินสูง คือ สกินแคร์ 5.0 พันล้านบาท (+46%) ยานยนต์ 3.9 พันล้านบาท (+30%) เครื่องดื่มไม่มีแอลกฮอล์ 2.8 พันล้านบาท (+19%y-y) ทั้งนี้ ขณะที่อุตสาหกรรมที่ใช้เม็ดเงินลดลง คือ สื่อสาร (-22%) สะท้อนภาพการแข่งขันที่บรรเทาลง ในส่วนดังกล่าวเรามองจิตวิทยาลบกลุ่มเครื่องดื่มที่สะท้อนการแข่งขันเข้มข้นที่ขึ้น แต่มองบวกกลุ่มสื่อสารที่ผลบวกการแข่งขันลดลง หนุนทั้งรายได้และต้นทุน เน้น ADVANC, TRUE

(*/+) Entertainment Complex: Impact เป็นผู้ประกอบการรายล่าสุดที่ให้ข่าวมีความสนใจลงทุนโครงการ Entertainment Complex กระแสความสนใจจากผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น เรามองจิตวิทยาบวกต่อโอกาสที่โครงการดังกล่าวจะประสบสำเร็จ หนุน S Curve ภาคบริการรอบใหม่ของไทย มองน่าทยอยสะสม AOT, BA, AAV, AWC, ERW, CPALL

(*/+) TH Tourism + LISA x Countdown: ความเคลื่อนไหวภาคท่องเที่ยวล่าสุด มองจิตวิทยาบวกอ่อนๆ 1.) การฟื้นฟูท่องเที่ยวภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบอุทกภัยรุนแรงในปีนี้ ททท. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จัดแคมเปญ "แอ่วเหนือคนละครึ่ง" เช่น โรงแรม/ที่พัก ร้านกาแฟ ร้านอาหาร กิจกรรม DIY แหล่งท่องเที่ยว ร้านของที่ระลึก ฯลฯ ด้วยการมอบส่วนลด 50% รวมมูลค่าไม่เกิน 400 บาท จำนวน 10,000 สิทธิ์ (1 คน/1 สิทธิ์) ให้แก่นักท่องเที่ยว เริ่มลงทะเบียน 1 พ.ย. มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นโรงแรมที่มีกำลังให้บริการในพื้นที่ อาทิ AWC (6%) ERW (3%) 2.) ไอคอนสยาม ประกาศสร้างปรากฏการณ์เคานต์ดาวน์สะกดโลก "Amazing Thailand Countdown 2025" จัดงาน 3 วัน 3 คืน คอนเฟิร์ม "ลิซ่า ลลิษา มโนบาล" ร่วมเฉลิมฉลอง มองจิตวิทยาสร้างความสนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมงานช่วงสิ้นปี 2024 จิตวิทยาบวกต่อหุ้นภาคบริการ AOT BA AAV AWC ERW

(*/-) MPI: ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ก.ย.67 อยู่ที่ระดับ 92.44 หดตัว 3.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.67) หดตัวเฉลี่ย 1.75% ภาพ 9M24 แรงกดดันหลักมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลง 14 เดือน ส่วนงวด ก.ย. 24 กลุ่มที่หนุน คือ สินค้าที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม +7.5%y-y จากฐานปีก่อนมีผู้ผลิตบางรายหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น นอกจากนี้ สัตว์น้ำบรรจุกระป๋อง +49.9%y-y เป็นคำสั่งซื้อทูน่ากระป๋องรองรับความต้องการในอเมริกาเหนือปลายปี และเครื่องจักรอื่นๆ +16.7% รองรับการผลิตเครื่องปรับอากาศ โดยรวมเรามองจิตวิทยาบวกต่อหุ้น TU

(*/-) TH 3Q24 Earnings: อิง Bloomberg ปัจจุบัน บจ. รายงานกำไรแล้วทั้งสิ้น 26 บริษัท กำไรต่ำกว่าคาด -6.6% แต่ยังเติบโตได้ 2.5%y-y vs วานนี้ บจ. ใน SET รายงานกำไรแล้วทั้งสิ้น 25 บริษัท กำไรต่ำกว่าคาด -5.9% แต่ยังเติบโตได้ 4.5%y-y โดยวานนี้ กลุ่มที่รายงานกำไร

ดีกว่าคาด ได้แก่

ตามคาด ได้แก่ –

ต่ำกว่าคาด ได้แก่ SCC (-71%y-y, -81%q-q)

ส่วนช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้ ติดตามรายงานกำไร ADVANC (ตลาดคาด 4.3%y-y, -1.0%q-q)

 

Daily Strategy : ADVANC, CPALL, BBIK เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "พยายามสร้างฐาน" ตลาดหุ้นสหรัฐ ซึมๆ กดดันจากปัจจัยเฉพาะตัว Super Micro Computer ผสาน การรอรายงานภาคแรงงานและผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่มีภาพบวกหุ้นเทคฯหลักๆ รายงานกำไรออกมาดี จากแรงหนุนธุรกิจเชื่อมโยง Data Center นอกจากนี้ วันนี้ติดตามรายงานเศรษฐกิจจีนคาดเริ่มฟื้นตัวได้บ้าง ส่วนภายใน ตลาดน่าจะให้น้ำหนักความคืบหน้ากระบวนการพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (วันนี้ประชุมภายในกระทรวงการคลัง) หุ้นเด่นกว่าตลาด คือ กลุ่มที่คาด 3Q24 ออกมาดี กลุ่ม Domestic ที่มีความ Defensive (สื่อสาร ค้าปลีก ร.พ.) และหุ้นในธีม Infra Tech (งบหุ้น Tech ต่างประเทศบ่งชี้ภาพบวก) หุ้นธนาคาร (Yield สหรัฐฯระยะสั้นทรงตัวสูง+กระแสลด FIDF)

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อความเสี่ยงผลการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ (KTB, GPSC, GULF, ADVANC, CPALL, BDMS, WHA)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AAV, BA, AU)
กลุ่มคาดกำไร 3Q24F จะออกมาดี (IVL, ADVANC, CPALL, TRUE, AWC และ MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, CPAXT)

• OCT24 Best Picks: ADVANC, CPALL, MTC, GPSC, BJC, AOT, IVL

• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election 2024 and Global Market Impact

ทีมกลยุทธ์ออกรายงานกลยุทธ์ลงทุนก่อนเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ ระยะสั้นเรามองสินทรัพย์เสี่ยงก่อนการเลือกตั้ง 1-2 สัปดาห์ น่าจะแกว่งออกข้างเป็นหลัก รอความชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง นักลงทุนควรเตรียมตัวปรับพอร์ตตามสถานะการณ์ดังที่ KSS ประเมินไว้ 4 กรณี ในระยะนี้ เบื้องต้น KSS คงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index หลังเลือกตั้ง น่าจะตอบรับช่วง Honeymoon Period รับผล US Election ไปก่อน อย่างไรก็ดี ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า แนะนำ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)

KSS ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 กรณี

1) กรณี Red Wave (พรรค Republican ครองสภาบนและสภาล่าง)

• มองแนวนโยบาย American First อาทิ การลดภาษีนิติบุคคล และการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้า จะส่งผลบวกต่อการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากสมมติฐานหลัก ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงแรงกดดันต่อเงินเฟ้อที่ลดระดับช้าลง กระทบวงจรดอกเบี้ยขาลงที่น่าจะช้ากว่าที่ตลาดประเมินไว้เดิม

• กรณีนี้สร้างความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลกในช่วงปลายปี 2024 - ต้นปี 2025 โดย EM Assets จะผันผวนจาก Dollar Index ที่พลิกแข็งค่าขึ้นไว แต่อย่างไรก็ดี KSS ประเมินกลุ่ม TIPs จะผันผวนน้อยกว่า จากตลาดหุ้นกลุ่มนี้ มีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 10% น้อยกว่า EM อื่นๆ ผสานนโยบายการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลาง และตลาดหุ้นยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งยัง Laggard ภายใต้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเร่งขึ้น

• ทางเลือกการลงทุนหุ้น คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคมและกลุ่มส่งออกอาหาร รวมถึงหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร

• ทั้งนี้ เรามอง Red Wave จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อจากสงครามการค้า และส่งผลเชิงลบต่อการลงทุนในตราสารหนี้ ในระยะสั้น-กลาง

2) กรณี Blue Wave (พรรค Democrat ครองสภาบนและสภาล่าง)

• นโยบายที่ตรงข้ามกับ Republican อาทิ ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและบริษัทเป็นปกติที่ 28% (เดิม 21%) ผสาน การผลักดันนโยบาย Green Energy และรวมถึงใช้มาตรการกีดกันทางการค้าระดับใกล้เคียงปัจจุบัน จะช่วยให้ภาพวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาลงเดินหน้าต่อ Dollar จะอ่อนค่า

• เร่งปรากฏการณ์ Search for Yield หนุน Fund Flow มายัง EM Asia รวมถึงไทยต่อเนื่อง หุ้นอิง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)

• นอกจากนี้ ภาพ Blue Wave ยังเป็นบวกต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารหนี้โลก

3) กรณี Republican President + Democratic Congress :

• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Republican ที่จะถูกผลักดันจำกัดกว่ากรณี Red Wave ทั้งนี้ ในกรณีนี้เรามองค่อนข้างบวกต่อหุ้นสหรัฐ เนื่องจากทิศทางหลักเป็นนโยบายลักษณะ American First และการลดภาษี แม้จะทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับกรณี Red Wave

• ตลาดหุ้นอื่นๆ จะเริ่มผันผวนต้นปี 2025 แต่ภาพ EM Asia จะผันผวนน้อยกว่ากรณี Red Wave โดยเฉพาะ TIPs ที่มีการปรับโครงสร้างการค้า และภาคการผลิตมาตั้งแต่ปี 2018-ปัจจุบัน และตลาดหุ้น TIPs ยังมีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากสหรัฐฯและจีนต่ำ

• แนะนำ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคม หุ้นส่งออกอาหาร และหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร

• ในกรณีนี้เรามองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะยังแกว่งตัวในกรอบ โดยมีโอกาสปรับขึ้นก่อนแกว่งตัวลง ให้รอจังหวะ ก่อนลงทุนรับวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยโลกขาลงแบบค่อยเป็นค่อยไปหลังจากนั้น มองเป็นกลางถึงบวกอ่อนๆต่อการลงทุนในพันธบัตร

4) กรณี Democratic President + Republican Congress :

• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Democrat จะถูกคัดค้านอย่างต่อเนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาบน ที่มาจากขั้วตรงข้าม ส่งผลให้การผลักดันนโยบายเป็นไปได้อย่างจำกัดใน กรณีนี้เรามองเป็นกลางต่อหุ้นสหรัฐ แต่ Upside จำกัดจากระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความเสี่ยงเศรษฐกิจอ่อนลงที่รออยู่

• มอง Fund Flow จะทยอยไหลเข้า EM Asia รายประเทศ ขึ้นกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในกรณีนี้เรามองหุ้นไทยยังมีโอกาส "outperform" ได้ แต่จะต้อง Selective ตามปัจจัยกระทบที่ค่อนข้างสูง

• หุ้นเด่นเรามอง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)

Strategy: ในระยะนี้ ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า ให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election หุ้นได้ประโยชน์การเลือกตั้ง + กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ผสาน หุ้น Domestic ที่หลบเลี่ยงผลกระทบได้ดี ดังนี้ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)

• Strategy Update : 3Q24F Earnings Plays

ช่วงต้นเดือน ต.ค. - กลางเดือน พ.ย.2024 เป็นช่วงรายงานผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนไทยงวด 3Q24 หลังจากผ่านช่วงรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารแล้ว จะเข้าสู่ช่วงการรายงานผลประกอบฝั่ง Real Sector โดยก่อนรายงานมักมีกระแสการเก็งกำไรเข้าซื้อในหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี เติบโต y-y, q-q หรือ หุ้นที่มีสัญญาณผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด (เริ่มฟื้นตัว q-q)

ทีมกลยุทธ์ KSS รวบรวมข้อมูลคาดการณ์งบงวด 3Q24 ทีมีการประมาณการณ์ อิงจาก Bloomberg รวมทั้งหมด 96 บริษัท เพื่อค้นหาหุ้นที่มีความน่าสนใจต่อการเข้าเก็งกำไร

กลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่คาดจะรายงานงบ 3Q2024 ออกมาเด่น y-y , q-q และอยู่ในธีมหลักในการลงทุนที่ เรามองจะเด่นในปัจจุบัน ประกอบด้วย

o หุ้น China play IVL, AU

o หุ้นกลุ่มวงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงหนุน TRUE, MTC, GPSC, ADVANC, CPALL, CPF

o หุ้นได้ประโยชน์ธีม US Election หรือ ทนต่อความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากผลการเลือกตั้ง AMATA, WHA, BDMS

o หุ้น Mid small -Cap เน้น MOSHI

〽️Best Picks : เราเลือกหุ้นเด่น 5 บริษัทใน Theme 3Q24F Earnings Plays คือ IVL, ADVANC, CPALL, TRUE และ MOSHI

• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF

• Strategy Update : Data Center

กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP

มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)

Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE

 

• SCC (Neutral, TP-220) : เรามอง Negative ต่อรายงานขาดทุนปกติ -142 ลบ. แย่กว่าคาด ค่าใช้จ่ายของธุรกิจปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์สูงกว่าคาด โดยการพลิกขาดทุน y-y q-q ฉุดจากทุกธุรกิจ ฝั่งซีเมนต์ฯ demand ได้รับผลกระทบน้ำท่วม, ฝั่งปิโตรเคมียังเผชิญ oversupply ฉุดอัตรากำไร และฝั่งบรรจุภัณฑ์ การแข่งขันสูงและต้นทุนเพิ่ม ทั้งนี้ demand เม็ดพลาสติกฟื้นช้ากว่าคาด ส่งให้ เราปรับลดประมาณการกำไร และปรับ TP25F ลงเป็น 220.0 บาท ปรับคำแนะนำลงเป็น Neutral รอ PE/PP spread ฟื้นเหนือ 400 $/ton (คาด 2H25F) ค่อยเป็นจุดกลับมาซื้อ

• BCH (Neutral, TP-20): เรามอง Slightly negative ต่อ 3Q24F กำไรสุทธิ 452 ลบ. (+2%y-y +63%q-q) หากหักผลอัตราแลกเปลี่ยน คาดธุรกิจปกติมีกำไร 465 ลบ. (-6%y-y +60%q-q) ลดลง y-y แต่เติบโตสูง q-q ตามทิศทางรายได้ (+5%y-y +17%q-q) เติบโตจาก OPD และประกันสังคมรับรู้ภาระเสี่ยงฯ เพิ่มเติม รวมทั้งคาดมี Gross margin 30.2% ลดลง y-y แต่ดีขึ้น q-q แนวโน้ม 4Q24F คาดกำไรสุทธิลดลง y-y q-q ตามทิศทางรายได้ และคาด Gross margin ทั้งนี้โทน 2H24F แย่กว่าคาดเดิม ทำให้กำไรสุทธิปี 24F จะมี downside ราว -5% จาก 1,430 ลบ. ประกอบกับอาจมีความเสี่ยงต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายสำรองนี้จากรายได้ COVID ค้างรับ ปรับคำ แนะนำเป็น Neutral (เดิม Trading Buy) สำหรับ BCH (TP25F 20.00 บาท)

• KCE (Buy, TP-52): KCE's share price fell by 8% within just two days and reach its 4-years low. We believe there are some concerns on KCE's outlook includes 1) the new investment on ICL over Bt1b, 2) downside risk of a weaker-than-expected earnings in 3Q24F, and 3) concern on its future outlook due to an expectation on economic in Europe that may continue to be weak. We suggest investor to avoid KCE in short-term after we see the actual earnings in 3Q24 and more update from management in mid Nov. However, we see its downside is limited.

 

 

 

4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point


Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO


Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

บทความล่าสุด

รายย่อย ขาย By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็น นักลงทุนรายย่อย ขาย หลังจากสะสมหุ้นมานาน เมื่อSET บวกแรง ต่างชาติ ลุยซื้อ สถาบันในประเทศ ...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้