Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

451

 

 


ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดตตลาดหุ้นจีนเดือนพฤศจิกายน 2024
Key Takeaways:
PBoC ประกาศลดดอกเบี้ย LPR ในเดือนตุลาคมและส่งสัญญาณอาจลด RRR เพิ่มอีกก่อนสิ้นปี แต่ปัญหาในขณะนี้คือ ความต้องการสินเชื่อที่ชะลอตัว ไม่ใช่ต้นทุนดอกเบี้ย
ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เดือนกันยายนต่ำกว่าคาด ทำได้เพียง 1.59 ล้านล้านหยวน สะท้อนว่าการใช้นโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ จำเป็นต้องมีมาตรการการคลังขนาดใหญ่เสริม
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือการประชุมสภาประชาชนจีนช่วง 4-8 พฤศจิกายน โดยเฉพาะรายละเอียดมาตรการการคลัง ซึ่งคาดว่าจะมีการขยายการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้ามากพออาจทำให้ตลาดหุ้นจีนแรลลี่ได้อีกครั้ง


รายละเอียด:

ตลาดหุ้นจีนเคลื่อนไหวผันผวนในเดือนตุลาคม หลังจากปรับตัวขึ้นแรงในช่วงเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสำคัญทางด้านเศรษฐกิจสองเรื่องหลัก ได้แก่ เรื่องแรก ธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ Loan Prime Rate (LPR) ทั้งระยะ 1 ปี และ 5 ปี ลงอย่างละ 25 bps เหลือ 3.1% และ 3.6% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับลดที่มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 20 bps นอกจากนี้ ผู้ว่า PBoC นาย Pan Gongsheng ยังได้ส่งสัญญาณเชิงบวกในการประชุมที่ปักกิ่ง โดยบ่งชี้ว่าอาจมีการปรับลดอัตราส่วนกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เพิ่มเติมอีก 25-50 bps ก่อนสิ้นปี
อย่างไรก็ตามแม้ PBoC จะดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาหลักของจีนในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่ต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ หากแต่เป็นความต้องการสินเชื่อที่ชะลอตัวลงอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ดังจะเห็นได้จากยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่เดือนกันยายนที่ทำได้เพียง 1.59 ล้านล้านหยวน ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 1.9 ล้านล้านหยวน และยังเป็นตัวเลขต่ำสุดของเดือนกันยายนนับตั้งแต่ปี 2018 ด้วยเหตุนี้ การใช้นโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวจึงอาจไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีมาตรการทางการคลังขนาดใหญ่เข้ามาเสริมเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ตามเป้าหมาย 5% ในปี 2024

สำหรับเรื่องที่สอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่อยู่อาศัยและการพัฒนาเมืองและชนบทของจีนได้ประกาศในเดือนตุลาคมว่าจะขยาย Whitelist หรือรายชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล เพื่อให้โครงการเหล่านี้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น พร้อมกันนี้ยังมีแผนเร่งการปล่อยสินเชื่อสำหรับโครงการที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ โดยตั้งเป้าเพิ่มวงเงินจาก 2.23 ล้านล้านหยวนในปัจจุบัน เป็น 4 ล้านล้านหยวนภายในสิ้นปี 2024 แม้มาตรการนี้จะสะท้อนความพยายามของรัฐบาลจีนในการฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม แต่ด้วยจำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จถึง 48 ล้านหน่วย ทำให้เราคาดว่า การแก้ไขปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี
ส่วนประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในเดือนพฤศจิกายนนี้คือ การประชุมสภาประชาชนจีนระหว่างวันที่ 4-8 พฤศจิกายน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดของมาตรการทางการคลัง ที่ต้องจับตาว่า ขนาดของเม็ดเงินจะมีมากพอที่จะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ฟื้นตัวจากภาวะเงินฝืดได้หรือไม่ โดยเราคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะขยายขนาดการขาดดุลงบประมาณให้สูงขึ้นคล้ายกับการประชุมในไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่เพิ่มจาก 3% เป็น 3.8% ซึ่งหากครั้งนี้มีขนาดใหญ่มากพอที่ 5% ขึ้นไปก็น่าจะทำให้ตลาดหุ้นจีนแรลลี่ได้อีกครั้ง

สรุปภาพตลาดวานนี้
หุ้นไทยยัง Sideways ย่ำฐานใหม่ และพบว่า DELTA แม้ลงแรงเช้า แต่มีแรงซื้อกลับมาเกือบเสมอตัวในที่สุด แต่ก็ยังมี KCE ADVANC IVL SCGP GPSC ที่เจอแรงขาย กดดันตลาด ขณะที่ด้านบวกเหมือนสลับหน้าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน เช่น INTUCH TRUE SCC เป็นต้น ส่วนหุ้นมีการเก็งกำไรเข้ามาแรง เช่น NEX XPG JTS ZIGA (สังเกตุว่ากลุ่มบิทคอยน์ขึ้นมารับจากโพลล์ทรัมป์ขึ้นมา)

แนวโน้มตลาดวันนี้
QE จีนกำลังจะมา
เราคงคาด Downside หุ้นไทยรอบนี้ยังจำกัดอยู่ในโซน 1450 จุดบวกลบ ด้วยเหตุผล
1) พบราคาหุ้นที่ลงมารับงบแย่ๆ ไปแล้วเมื่องบออกจริง กลับมาแรงช้อนซื้อ (ต่างจากรอบก่อนๆ เช่น SCGP หากเป็นเมื่อ 8-9 เดือนก่อนเวลางบผิดคาดต้องมีโดนเทไม่ต่ำกว่า 8-9%)
2) ต้นเดือน พย. จีนกำลังจะออกพันธบัตรพิเศษ 10 ล้านล้านหยวน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
3) คลังเผย กองทุนวายุฯเพิ่งรับหุ้นไปแค่ 30%
4) ผลเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการปรับฐานตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่หุ้นไทยคาดกระทบจำกัด อยู่ในโหมด Status quo เราผ่านยุคมาตรการสุดโต่งของสหรัฐฯมาได้หมดแล้วในระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมา
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตาม และ เรามองว่าน่าจะเป็นตัวแปรเปลี่ยนโมเมนตั้มตลาดได้เมื่อราคาหุ้นลงมาได้ที่ คือ งบการเงิน 3Q24 ที่ดีกว่าคาด, การเมืองในประเทศยังมีเวลาให้รัฐบาลทำงานต่อแม้จะมีความไม่แน่นอนจากคำร้องต่างๆ

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว โฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้

วิเคราะห์ทางเทคนิค
ดัชนีปรับฐานต่อเนื่อง โดยล่าสุดหลุดเส้น EMA 25 กำลังทดสอบ Fibonacci retracement 23.6% บริเวณ 1,450 จุด จับตาหาก RSI ลงต่ำกว่า level 50 จะส่งสัญญาณภาวะความอ่อนแอด้านราคา…ขณะที่ Volume ชะลอตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 5.7 หมื่นล้านบาท/ วัน หากเข้าเงื่อนไขนี้ ดัชนีมีแนวโน้มปรับฐานเข้าสู่โซนแนวรับถัดไปที่ 1,425 (EMA 50 & Fibo 38.2%) แผนแก้เกมส์ หากหุ้นปรับตัวลงต่ำคาด ลงต่ำกว่าจุดคัทที่ให้ไว้ แนะขายปิดความเสี่ยง
Note: หุ้นสายการบินยังไปได้สวย ส่วนแผนแก้เกมส์หุ้นแบงค์ SCB & KKP สู้โซนรับได้ ไม่หลุดแนะถือต่อ

 

 

What to watch
รายงานงบการเงินหุ้นใหญ่สัปดาห์นี้ วันที่ 30 ต.ค. คาด SCC และ 1 พ.ย. คาด ADVANC (รายละเอียดใน Figure 1-3 รายงานกลยุทธ์ประจำสัปดาห์)
รมว.คลัง เตรียมพบปะหารือ ผู้ว่าแบงก์ชาติ รอบใหม่เพื่อ ถกครอบเงินเฟ้อปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะเห็นเงินเฟ้อไทยที่ออกมาในทางต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ที่ 1-3%
รมช.คลัง เผยยังไม่สามารถจะสรุปได้ว่า พรบ.สถานบันเทิงฯ จะเสนอ ครม.ทันในปีนี้ (พรบ. คาสิโน ล่าช้า ผิดจากก่อนหน้านี้ ที่เคยมีข่าวว่าเสนอทันใน เดือน ตค.)
MSCI รอบใหม่ประกาศ 6 พ.ย. และมีผล 26 พ.ย. 67 มีลุ้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย จับตา IVL-MTC
คาดหุ้นเข้า ออก จากการคำนวณ SET50-100 รอบใหม่ ได้แก่ SET50 เข้า COM7 BANPU SAWAD (ออก BCP EA TIDLOR) ส่วน SET100 เข้า CCET COCOCO JTS (ต้องผ่านเกณฑ์ทั้งหมดใน ต.ค.-พ.ย.) KAMART (ออก MBK TIPH RBF SKY)
ซาอุฯออกโรงปรามอิหร่าน เพราะไม่ต้องการเห็นความไม่สงบในตะวันออกกลางลุกลามบานปลาย ส่งผลราคาน้ำมันดิบดิ่งลงแรงทันทีเมื่อวาน
ผลกระทบจากวิกฤตอสังหาจีน กระทบครัวเรือนราว 18 ล้านล้านหยวน ซึ่งทางการจีนกำลังเร่งแก้ปัญหา เช่น การออกพันธบัตรพิเศษ 10 ล้านล้านหยวน เพิ่มเติมคาดมีความชัดเจนภายในต้นเดือน พ.ย. (ประชุม NPC 4-8 พย.นี้) โดยตลอดเดือน ตค.ได้มีการดำเนินการพันธบัตรพิเศษไปแล้ว 1 ล้านล้านหยวน (มีแนวทางดำเนินข้อเสนอตั้งกองทุนดูแลตลาดหุ้น 2 ล้านล้านหยวน) มาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

หุ้นแนะนำวันนี้
SAWAD คาดกลับมาติด SET50 รอบใหม่ (S 42 R 44 SL 41)

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

TIDLOR
เงินติดล้อ ค่อยๆ ฟื้นตัว มูลค่าหุ้นยังไม่แพง
เราคาดกำไรสุทธิ 3Q24 เท่ากับ 1.04 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% YoY (สินเชื่อและรายได้นายหน้าจากการขายประกันภัยเติบโต) แต่ลดลง 4% QoQ (ค่าใช้จ่ายดำเนินงานและสำรองหนี้ฯเพิ่มขึ้น) โดยเราคาดหนี้เสียที่เกิดขึ้นใหม่ใน 3Q24 จะลดลงจาก 2Q24
เราคาดกำไรสุทธิ 4Q24 จะเพิ่มขึ้น 16% YoY (credit cost ลดลง) และทรงตัว QoQ (สินเชื่อที่เติบโตจะถูกหักล้างด้วยค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น) นอกจากนี้ เราคาดกำไรสุทธิปี 2025 จะเติบโตต่อเนื่องอีก 14% YoY จากสินเชื่อและรายได้นายหน้าจากการขายประกันเติบโต
Fundamental View: ราคาหุ้นปัจจุบันมี PER ต่ำเพียง 10 เท่า ขณะที่เราคาด EPS growth ปี 2025-26 ที่ 14% คิดเป็น PEG ratio ที่เพียง 0.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนที่ 0.8 เท่า เราแนะนำซื้อ

KCE
(Tactical Stock)
เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ โอกาสเก็งกำไรกลับ จากความเข้าใจผิด
วานนี้ราคาหุ้น KCE ที่ร่วง 6-7% หลังประกาศตั้งบริษัทย่อยใหม่เพื่อเข้าซื้อ International Circuits Limited (ICL) มูลค่าราว 396 ล้านบาท และเมื่อเช็คข้อมูลกำไรปี 2023 ตีกลับมาเป็น PER จะดูสูงราว 100 เท่า อีกทั้งมีดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทำให้เกิดความกังวลและมีแรงเทขายออกมา แต่เราคิดว่าประเด็นนี้เกิดจากความเข้าใจผิด เพราะความจริงแล้วเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะใช้ซื้อ Thorncombe Street (TS) ด้วย ซึ่งมีกำไรมากกว่านั้น ทำให้ภาพรวมดีลจะซื้อบน PER แค่ 10 เท่า EV/EDITDA 7 เท่า และคืนทุนใน 7-8 ปี อีกทั้งเพิ่ม Upside ต่อกำไรให้ KCE ราว 4% ในปี 2025
ในส่วน ICL และ TS เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ KCE ในตลาดยุโรป ซึ่งคิดเป็นราว 32% (จากทั้งหมด 50%) ของยอดขายที่ KCE ที่ขายผ่านผู้จัดจำหน่าย ยังเหลืออีก 18% ทำให้ประเมินว่าจาก Movement นี้ มี Upside เพิ่มเติมอีกราว 2% จะเกิดจากที่ KCE มีโอกาสจะขยับตัวเข้าไปลงทุนคล้ายๆ กันนี้ในอนาคต
ข้อดีของการเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ คือ 1) มีอำนาจควบคุมเองตรง 2) มีความได้เปรียบในการตั้งราคา 3) เข้าถึงและแก้ปัญหาลูกค้าได้ตรง และ 4) สร้างประสิทธภาพการทำงาน รวมทั้งเครือข่ายเพิ่มได้
Technical Target: หากราคาเปิดวันนี้ยังไม่ได้ขยับตัวไปไกล เราแนะนำเข้าเก็งกำไร โดยวางจุดขายทำกำไรที่ราคา 37-38 บาท (ผิดทางตัดขาดทุนที่ 32.75 บาท) ซึ่งผลตอบแทน 10-12% จะมาจาก 1) ความเข้าใจใหม่ที่ถูกต้อง (ราว 6-7%) 2) ตลาดมอง Upside ของดีลออก (ราว 4%) และ 3) เห็นโอกาสเพิ่มในอนาคต (ราว 2%)

 

 


รายงานผลประกอบการวันนี้

 

(-) SCGP รายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 577 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 678 ล้านบาท ลดลง 52% YoY และ 55% QoQ ผลประกอบการต่ำกว่าคาดเนื่องจากมาร์จิ้นที่ลดลงและขาดทุนพิเศษที่มากกว่าคาด โดยกำไรหลักลดลงจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (IPB) ที่ยอดขายลดลง QoQ และมาร์จิ้นที่ลดลงทั้ง YoY และ QoQ รวมถึงธุรกิจเยื่อกระดาษ (FB) ที่มาร์จิ้นลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบเศษกระดาษ (RCP) ที่สูงขึ้น แนวโน้ม 4Q24 คาดกำไรหลักจะฟื้นตัว QoQ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง โดยคาดว่าจะมีอุปสงค์ที่ดีขึ้นในเวียดนามและจีน เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2024 ลง 11% เป็น 4,885 ล้านบาท และปี 2025 ลง 21% เป็น 5,343 พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายปลายปี 2025 เป็น 30 บาท อย่างไรก็ตาม เรายังแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากคาดว่า 3Q24 เป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดแล้ว และมูลค่าปัจจุบันของ SCGP อยู่ในระดับที่น่าสนใจจาก PER ที่ 20.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 ปี ที่ 31.8 เท่า

(-) GLOBAL รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 3Q24 ที่ 364 ล้านบาท ลดลง 31% YoY และ 52% QoQ ต่ำกว่าคาดการณ์ของเราถึง 24% และ Bloomberg consensus 27% เนื่องจาก GM ลดลงจากมาร์จิ้นผลิตภัณฑ์เหล็กที่อ่อนตัว และสัดส่วนรายได้อื่น/รายได้ขายการขายลดลง แนวโน้มคาดว่ากำไรหลัก 4Q24 จะฟื้นตัว QoQ โดยจากการตรวจสอบข้อมูล พบ SSS มีแนวโน้มดีขึ้นใน ต.ค. และราคาผลิตภัณฑ์เหล็กในประเทศที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ดีกำไรที่ต่ำคาดใน 3Q24 เป็น Downside ต่อประมาณการ ซึ่งเราประเมินหาก GM ต่ำกว่าคาดทุก 10bps กระทบกำไรราว 1% ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำ “ถือ” โดยมองว่าการฟื้นตัวของ SSS และมาร์จิ้นเหล็กจะช่วยผลักดันการเติบโตปี 2025


(0) HMPRO รายงานกำไรสุทธิ/หลัก 3Q24 ที่ 1,442 ล้านบาท ลดลง 6% YoY และ 11% QoQ สอดคล้องกับประมาณการของเราและ Bloomberg consensus กำไรที่ลดลง YoY และ QoQ มาจากยอดขายที่ลดลงและอัตราส่วน SG&A/รายได้ที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มกำไร 4Q24 คาดว่าจะทรงตัว YoY โดยมี SSS ของ HomePro ที่ติดลบน้อยลงและ MegaHome ที่มีแนวโน้ม SSS ฟื้นตัว QoQ จากฤดูกาล ชดเชยผลกระทบกันเอง ส่วนด้าน QoQ คาดกำไรจะฟื้นตัวตามปัจจัยฤดูกาล เรายังคงคำแนะนำถือ


สรุปประเด็นจาก Quick take

SCGD
เอสซีจี เดคคอร์
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
จากการเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้บริหารมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน 4Q24 ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของเรา
View From Fundamental: แนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงาน 4Q24 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” (ราคาเป้าหมาย 9 บาท)

PTTEP
ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
จากการเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเรามีมุมมองเป็นกลาง
View From Fundamental: การเติบโตของอุปสงค์ที่ชะลอตัวและอุปทานที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้มีโอกาสที่ตลาดน้ำมันจะมีอุปทานล้นตลาดและกดดันให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงใน 4Q24 และอาจจำกัดอัพไซด์ของราคาหุ้น อย่างไรก็ตามความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นและหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้นอาจเป็นโอกาสในการซื้อเก็งกำไร เราจึงคงคำแนะนำ “ถือ”

SCGP
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
เราเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผู้บริหารมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน 4Q24 ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของเรา
View From Fundamental: ผลประกอบการ 3Q24 ที่ต่ำกว่าคาดอาจกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น แต่เรามองว่าไตรมาสที่แย่ที่สุดของปีได้ผ่านไปแล้ว แนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงาน 4Q24 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป หากราคาหุ้นอ่อนตัวลงน่าจะเป็นโอกาสในการทยอยสะสม เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” (ราคาเป้าหมาย 30 บาท)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ประคับประคอง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย คงประคับ ประคอง แกว่งตัวไปมา ท่ามกลาง บริษัทจดทะเบียนไทย...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้