"Selective Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1444/1440 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐขยับขึ้นเล็กๆ ดัชนี S&P500 +0.16% กลุ่มเทคโนโลยีนำเก็งงบ 3Q24 ก่อนที่หลังปิดตลาด Google รายงานกำไรดีกว่าคาด รายได้ธุรกิจ Cloud เด่น บ่งชี้ความต้องการ Data Center เด่น แรงกดดัน US Bond Yield 10 ปี ลดลง วานนี้ ปิด -2 bps มาที่ 4.25% เศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีจุดอ่อนลง แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conf Board) ต.ค. 24 สูงกว่าคาด แต่ตำแหน่งงานเปิดใหม่ ก.ย. 24 ต่ำกว่าคาด -0.418 แสนตำแหน่ง เหลือ 7.4 ล้านตำแหน่ง ส่วนภายใน กำไร 3Q24 ล่าสุดรายงานแล้ว 25 บริษัทต่ำกว่าคาด -5.9% แต่ฝั่ง Outlook บวก ทั้งการเข้าฤดูกาลจับจ่าย+ท่องเที่ยว รัฐบาลเริ่มเดินหน้ากระบวนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (วันนี้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการการคลัง ตามด้วยนายกแต่งตั้งทีมงานศึกษาข้อเสนอ กกร.) New S Curve ทั้ง Infra Tech บ.ระดับโลก Equinix ลงทุนเพิ่ม 1.6 หมื่นล้านบาท, Entertainment Complex มีกระแสสูง 5 แห่ง+ได้รับความน่าสนใจทั้ง บ.ขนาดใหญ่ไทยและเทศ ลุ้น SET รีบาวน์ หุ้นนำ คือ หุ้นในธีม Infra Tech กลุ่มอิงภาคบริการ กลุ่มจิตวิทยาบวก Yield นิ่งขึ้นหนุน และหุ้นที่คาดกำไร 3Q24F ดี วันนี้แนะ ADVANC, AOT, BTS
Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1444/1440 จุด
What happened around the world ?
(*)US Stocks :ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัว +-0.5% รอการเลือกตั้งสหรัฐ หุ้นกลุ่มที่นำตลาดหลักๆคือ กลุ่ม Tech คือ Magnificent Seven" อิง Dow jones -0.36%, ดัชนี S&P500 +0.16% และดัชนี Nasdaq +0.81%(ทำระดับ All time high) โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นหลักๆมีเพียงกลุ่ม ICT, IT ส่วน Sector ปรับลง คือ Utilities, Energy, Consumer staples ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ AMD +3.98% เก็งผลประกอบการ โดยประกาศงบหลังตลาดปิดกำไรตามคาด , Trump Media & Tech +8.89% บวกต่อจากการเก็งทรัมป์มีโอกาสชนะเลือกตั้ง ฯลฯ
(*) US Earning : สหรัฐรายงานผลประกอบการ 3Q24 ออกมาล่าสุดรวม 232 จาก 499 บริษัท (รายงานเพิ่มจากเมื่อวันก่อน 39 บริษัท) โดยกำไรรวมดีกว่าคาด 7.4% เร่งขึ้นจากวันก่อนที่ 5.9% และ เติบโต 9.04% เร่งขึ้นจาก วันก่อนที่ +3.9%y-y โดยหุ้นที่กำไรดีกว่า(+) คาดหลักๆคือ paypal กำไรดีกว่าคาดราว 12.7% แต่รายได้ต่ำคาดเล็กน้อย , Pfizer กำไรดีกว่าคาดมากราว 71%แรงหนุนจากยอดขายยา (Paxlovid) ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ขายดี และ Google กำไรดีกว่าคาด 15% หนุนจากรายได้จากธุรกิจ Cloud ยังเด่น หุ้นที่กำไรออกมา Inline(0) คือ AMD หุ้นที่กำไรออกมาต่ำคาด คือ Paypal วันนี้ติดตามรายงานงบ อาทิ Eli lily, Garmin,eBay, Equinix ฯลฯ
(*)US Econ: ตัวเลขแรงงานสหรัฐเมื่อคืน การเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ก.ย. -4.18 แสนราย อยู่ที่ 7.44 ล้านราย (ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 8 ล้านราย และเป็นตัวเลขต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2564)หลักๆผลจากพายุเฮอริเคน และการหยุดจ้างงานของ Boeing ทำให้มีการจ้างงานชะลอลง ทำให้คาดการณ์ตัวเลข Non farm payrolls วันศุกร์นี้จะออกมาชะลอกตามที่ตลาดคาด
(*/+) EV Car : ราคาหุ้นรถ EV จีน อาทิ NIO +13%, Xpeng+8%, BYD 1.8%(รายงานงบ3Q24 วันนี้ หรือวันพุธ) รับข่าวรัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นการผลิตและซื้อรถEV โดยรัฐบาลกลางระบุว่า ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า ควรมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30% ของยานพาหนะใหม่ที่ซื้อในแต่ละปี และราคาซื้อต่อคันไม่ควรเกิน 180,000 หยวน (ราว 8.5 แสนบาท) รวมถึงเตรียมออกมาตรการอื่นสนับสนุนอาทิ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จ ฯลฯ KSS ประเมินบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ในไทย และมีรายได้จากจีน อาทิ กลุ่มชิ้นส่วน อาทิ KCE กลุ่มยางส่งออก เป็นส่วนประกอบล้อรถ อาทิ NER, STA
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 30 ต.ค. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (ADP) ต.ค. 24 คาด 0.99 vs prev. 1.43 แสนตำแหน่ง 1 พ.ย. ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตร ต.ค. 24 คาด 1.2 vs prev. 2.5 แสนตำแหน่ง, อัตราการว่างงาน ต.ค. 24 คาด 4.1% เท่า prev. 30 ต.ค. GDP 3Q24 (ครั้งที่สอง) คาด +3.0%q-q เท่า prev., 1 พ.ย. PMI ภาคผลิต (ISM) ต.ค. 24 คาด 47.6 จุด vs prev. 47.2 จุด ฝั่งยุโรป 30 ต.ค. GDP 3Q24 (ครั้งที่ 2) คาด +0.2%q-q, +0.8%y-y vs prev. +0.2%q-q, +0.6%y-y ฝั่งจีน 31 ต.ค. PMI ภาคผลิตและนอกภาคผลิต (ทางการ) ต.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 49.8 และ 50 จุด 1 ต.ค. PMI ภาคผลิต (Caixin) ไม่มีคาด
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแกว่งตัว อายุ 2 ปี ชะลอการขึ้น โดยปรับลง -3 bps อยู่ที่ 4.10% และอายุ 10 ปี ปรับลง -2 bps อยู่ที่ 4.25% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร KBANK, KTB กลุ่มประกันชีวิต BLA, TLI ส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่าอยู่ที่ 104.1 จุด
(*/-)Oil : น้ำมันดิบ Brent -0.42%d-d ปิดที่ USD 71.12/barrel, น้ำมันดิบ West Texas -0.25%d-d ปิดที่ USD 67.21/barrel
(*/+) Refinery Stocks : ค่าการกลั่นอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด 29 ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 6 วันติดต่อกัน +2.4%d-d อยู่ที่ 6.58 ดอลลาร์/บาร์เรล (VS. ต้นเดือน ต.ค.2024 อยู่ที่ 2.76 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ เพิ่มขึ้นราว 2.38 เท่า) แรงหนุนจาก Demandในช่วงหนาว และ Stocks ของสิงคโปร์ Middle Products อยู่ในระดับต่ำ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น BCP, TOP ,SPRC
What happened in Thailand ?
(*/-) SET : SET วันทำการล่าสุดรีบาวน์ขึ้นทดสอบ 1460 จุด ก่อนปิดปรับตัวลดลง -1.87 จุด หรือ -0.13% กลุ่มหนุน คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) ตอบรับสัญญาณเริ่มเห็นภาพท่องเที่ยวเข้าสู่ฤดูกาล กลุ่มก่อสร้าง (SCC) มอง กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) ยังคงถูกขายทำกำไรต่อเนื่องหลังรายงานกำไร 3Q24 กลุ่มปิโตรเคมี (IVL) Spread สินค้า PET สัปดาห์นี้ปรับตัวลดลง -4%w-w
(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -15.8 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -49.4 ล้านเหรียญฯ TFEX Net long 9,430 สัญญา ล่าสุดเงินบาทแข็งค่าเล็กน้อยสู่ 33.67 +/- บาท
(+) Entertainment Complex: กระแสโครงการ Entertainment Complex เป็นบวก 1.) เริ่มปรากฏชื่อกลุ่มทุนที่สนใจลงทุนจำนวนมาก ในประเทศ (ราชตฤนมัยสมาคมฯ, บ.สยามพาร์ค ซิตี้ (สวนสยาม), บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (BA BTS STEC ร่วมทุนกัน) กลุ่มเดอะ มอลล์และ พราว กรุ๊ป) ส่วนทุนต่างชาติ อาทิ บ.เอ็มจีเอ็ม รีสอร์ตส อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์, กาแลกซี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์, แซนด์ส ไชน่า, วินน์ มาเก๊า, กลุ่ม Las Vegas Sands Corporation และกลุ่มทุนจากประเทศเกาหลีใต้ 2.) จำนวน Entertainment Complex ของไทยน่าจะมีทั้งหมด 5 แห่ง คือ กรุงเทพ*2, พัทยา*1, ภูเก็ต*1 และเชียงใหม่*1
เราประเมินกระแสข่าวดังกล่าวเป็นบวก ทั้งนี้ หากอิงสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากเปิดเสรี Casino ในมาเก๊าและสิงคโปร์ การเปิด Entertainment Complex 1 แห่ง จะหนุนนักท่องเที่ยวเพิ่มจากฐานก่อนเปิดเฉลี่ย 17% และ 20% ตามลำดับ ดังนั้น ภายใต้กระแสที่มีทั้งกลุ่มทุนใหญ่ไทยและเทศ ที่มีความพร้อมลงทุนได้ครบตามโควตาโครงการที่รัฐฯกำหนด หากทำได้จริง เราคาดจะเป็น S Curve ใหม่ที่มีนัยฯต่อภาคบริการไทย เชิงกลยุทธ์ เรามองบวกต่อหุ้นธีมดังกล่าว AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK ระยะสั้นเน้น AOT, BTS, ERW, BA, VGI (เก็งกำไร)
(*/+) TH Tourism + Winter Festival 2024: แม้ปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด (21-27 ต.ค.) จะฟื้นตัวช้าๆ +1.6%w-w มาที่ 5.84 แสนคน อย่างไรก็ตาม เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มภาคบริการใน 3-6 เดือนข้างหน้า โดยเราเห็นสัญญาณการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลปี 2024-25 ที่จะค่อนข้างเด่น จาก
1.) เที่ยวบินช่วง Slot ฤดูหนาวของ AOT (ต.ค. 24 -มี.ค. 25) พบว่า ยอดจองเที่ยวบินใน+นอกประเทศ เพิ่มขึ้น +22.1% ต่างประเทศ +33% ในประเทศ +8.5%
2.) สัญญาณท่องเที่ยวจีนมาไทยเพิ่มขึ้นสะท้อนกำลังให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ เส้นทางจีน-ไทย เพิ่มสูง +6%w-w ดีกว่ากำลังให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศภาพรวมที่ลดลง -2%w-w
3.) วานนี้ภาครัฐฯแถลงจัดงานใหญ่ Winter Festival 2024 เน้น 7 Wonders ที่จะเป็นงานกิจกรรมสร้างสีสันดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดช่วง 4Q24 ได้แก่ เทศกาลลอยกระทง, งาน Count Down, งานดนตรี, งานกีฬา, อาหาร, วัฒนธรรม และ งานแสงสี
เชิงกลยุทธ์ ภาพรวมหุ้นภาคบริการมีโอกาสเริ่มเคลื่อนไหว Outperform ตลาดขึ้น กลยุทธ์ แนะนำทยอยสะสมหุ้น AOT AAV BA CPALL ERW และ AWC ที่หุ้นปัจจุบันอยู่ในโซนฐาน
(*/+) Government Stimulus: รมช.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 31 ต.ค. นี้ จะมีการประชุมหัวหน้าส่วนราชการที่กระทรวงการคลัง เพื่อหารือถึงแนวทางและกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี เรามองมาตรการน่าจะสอดคล้องกับ
1.) ในส่วนนายกฯ มีการหารือกับ กกร. ต้นสัปดาห์ (แก้หนี้บ้าน รถกะบะ และ SMEs รวมถึงการกระตุ้นบริโภค, การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคประกอบธุรกิจ, ปัญหาเรื่องน้ำ และ ปัญหาสินค้าออนไลน์จีนบุกไทยกระทบ SMEs ) ซึ่งในส่วนดังกล่าวนายกฯ ได้มอบหมายให้ รมว. ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมกับข้อเสนอ
2.) มาตรากรที่ปรากฎในกระแสข่าวช่วงก่อนหน้า อาทิ ความชัดเจนนโยบาย Digital Wallet เฟส 2 และมาตรการในส่วนท่องเที่ยว อสังหาฯ
เชิงกลยุทธ์ เรามองการยืนยันภาพดังกล่าวหนุนจิตวิทยา+ความคาดหวังทางบวกต่อหุ้น Domestic ธนาคาร เน้น KBANK, KTB ค้าปลีก เน้น CPALL สื่อสาร เน้น ADVANC, TRUE ท่องเที่ยว เน้น AOT, AAV, ERW
(*/+) Infra Tech: Equinix ผู้ให้บริการ Data Center Colocation อันดับ 1 ของโลก จากประเทศสหรัฐ ประกาศลงทุนในไทย 1.7 หมื่นล้านบาทใน 10ปีข้างหน้า โดยมีเฟสแรกราว 7.2 พันล้านบาท เรามองบวกต่อการเข้ามาของ Equinix โดยถือเป็นบริษัทที่ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ด้าน Tech โดยตรงต่อจากกลุ่ม DAMAC จากดูไบ ประเมินสร้างความเชื่อมั่นต่อโอกาสของการเข้ามาลงทุนผู้ประกอบการที่มีสถานะการให้บริการ Data Center ที่เป็นกลางเพิ่มเติมจากกลุ่มยักษ์ใหญ่ (AMAZON MICROSOFT GOOGLE) ทิศทางดังกล่าว ตอกย้ำโอกาสทางบวกหุ้นในธีม Infra Tech ในระยะกลาง-ยาว โดยคาดการณ์เม็ดเงินลงทุน Data Center ไทยใน 4-5 ปีข้างหน้าที่ KSS ประเมิน 45-50% ต่อปี (กำลังให้บริการเพิ่มจากราว 65-70 MW สิ้นปี 2023 สู่ 600 +/- MW ในปี 2028) จะมี Upside เพิ่มเติม ซึ่งยังไม่รวมกำลังให้บริการ Damac และ Equinix ซึ่งในกรณี Equinix สำหรับเฟสแรกเราประเมินกำลังให้บริการราว 20 +/-MW และทั้งโครงการ 40-50 MW ขณะที่ถือเป็น Upside ต่อหุ้นใน Ecosystem ของ Data Center อาทิ นิคม โรงไฟฟ้า ผู้รับเหมาสร้าง Data Center กลุ่มสื่อสาร และ Digital Tech
เชิงกลยุทธ์ แนะนำสะสมต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มได้ประโยชน์ต้นน้ำ – กลางน้ำของ Ecosystem นิคมเน้น WHA(TP-Trading) โรงไฟฟ้า เน้น GULF สื่อสารเน้น ADVANC TRUE รับเหมา Data Center เน้น INSET กลุ่ม Digital Tech Consult เน้น BBIK
(*/-) TH 3Q24 Earnings: อิง Bloomberg ปัจจุบัน บจ. ใน SET รายงานกำไรแล้วทั้งสิ้น 25 บริษัท กำไรต่ำกว่าคาด -5.9% แต่ยังเติบโตได้ 4.5%y-y โดยวานนี้ กลุ่มที่รายงานกำไรตามคาด คือ PTTEP กำไรต่ำกว่าคาด คือ GLOBAL, SCGP
(*) To Monitor: : สัปดาห์นี้ ติดตาม 1.) 30 ต.ค. ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ก.ย. 24 ตลาดคาด -0.6%y-y vs prev. -1.9% และ 2.) รายงานกำไร Real Sector หุ้นหลัก ได้แก่ SCC (ตลาดคาด -66.8%y-y, -78.1%q-q) ADVANC (ตลาดคาด 4.3%y-y, -1.0%q-q)
Daily Strategy : ADVANC, AOT, BTS เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "Rebound" ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขยับขึ้นเล็กๆ จากแรงหนุนการเก็งงบหุ้นกลุ่มเทคฯ ก่อนที่ Google จะรายงานกำไรออกมาดีกว่าคาด ธุรกิจ Cloud เด่น ส่วนปัจจัยมหภาค US Bond Yield 10ปี เริ่มนิ่งๆ หลังรายงานตำแหน่งงานเปิดใหม่ ก.ย. 24 ต่ำกว่าคาด สะท้อนเศรษฐกิจไม่ร้อนแรงจนเกินไป ส่วนภายในแม้แรงขับเคลื่อนผลประกอบการ 3Q24 ไม่เด่นเท่าสหรัฐฯ แต่ Outlook ทยอยมีภาพทางบวก ทั้งการเข้าสู่ฤดูกาลจับจ่าย+ท่องเที่ยว, รัฐฯเริ่มเดินหน้ากระบวนการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ New S Curve ใหม่ๆ เดินหน้าทางบวก ทั้ง Infra Tech และ Entertainment Complex มองหุ้นนำ หุ้นในธีม Infra Tech กลุ่มอิงภาคบริการ และหุ้นที่คาดกำไร 3Q24F ดี
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อความเสี่ยงผลการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ (KTB, GPSC, GULF, ADVANC, CPALL, BDMS, WHA)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AAV, BA, AU)
กลุ่มคาดกำไร 3Q24F จะออกมาดี (IVL, ADVANC, CPALL, TRUE, AWC และ MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, CPAXT)
• OCT24 Best Picks: ADVANC, CPALL, MTC, GPSC, BJC, AOT, IVL
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : US Election 2024 and Global Market Impact
ทีมกลยุทธ์ออกรายงานกลยุทธ์ลงทุนก่อนเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ ระยะสั้นเรามองสินทรัพย์เสี่ยงก่อนการเลือกตั้ง 1-2 สัปดาห์ น่าจะแกว่งออกข้างเป็นหลัก รอความชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง นักลงทุนควรเตรียมตัวปรับพอร์ตตามสถานะการณ์ดังที่ KSS ประเมินไว้ 4 กรณี ในระยะนี้ เบื้องต้น KSS คงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index หลังเลือกตั้ง น่าจะตอบรับช่วง Honeymoon Period รับผล US Election ไปก่อน อย่างไรก็ดี ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า แนะนำ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)
KSS ประเมินสถานการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 กรณี
1) กรณี Red Wave (พรรค Republican ครองสภาบนและสภาล่าง)
• มองแนวนโยบาย American First อาทิ การลดภาษีนิติบุคคล และการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้า จะส่งผลบวกต่อการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากสมมติฐานหลัก ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงแรงกดดันต่อเงินเฟ้อที่ลดระดับช้าลง กระทบวงจรดอกเบี้ยขาลงที่น่าจะช้ากว่าที่ตลาดประเมินไว้เดิม
• กรณีนี้สร้างความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลกในช่วงปลายปี 2024 - ต้นปี 2025 โดย EM Assets จะผันผวนจาก Dollar Index ที่พลิกแข็งค่าขึ้นไว แต่อย่างไรก็ดี KSS ประเมินกลุ่ม TIPs จะผันผวนน้อยกว่า จากตลาดหุ้นกลุ่มนี้ มีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 10% น้อยกว่า EM อื่นๆ ผสานนโยบายการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลาง และตลาดหุ้นยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งยัง Laggard ภายใต้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเร่งขึ้น
• ทางเลือกการลงทุนหุ้น คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคมและกลุ่มส่งออกอาหาร รวมถึงหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร
• ทั้งนี้ เรามอง Red Wave จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อจากสงครามการค้า และส่งผลเชิงลบต่อการลงทุนในตราสารหนี้ ในระยะสั้น-กลาง
2) กรณี Blue Wave (พรรค Democrat ครองสภาบนและสภาล่าง)
• นโยบายที่ตรงข้ามกับ Republican อาทิ ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและบริษัทเป็นปกติที่ 28% (เดิม 21%) ผสาน การผลักดันนโยบาย Green Energy และรวมถึงใช้มาตรการกีดกันทางการค้าระดับใกล้เคียงปัจจุบัน จะช่วยให้ภาพวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาลงเดินหน้าต่อ Dollar จะอ่อนค่า
• เร่งปรากฏการณ์ Search for Yield หนุน Fund Flow มายัง EM Asia รวมถึงไทยต่อเนื่อง หุ้นอิง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)
• นอกจากนี้ ภาพ Blue Wave ยังเป็นบวกต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ส่งผลเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารหนี้โลก
3) กรณี Republican President + Democratic Congress :
• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Republican ที่จะถูกผลักดันจำกัดกว่ากรณี Red Wave ทั้งนี้ ในกรณีนี้เรามองค่อนข้างบวกต่อหุ้นสหรัฐ เนื่องจากทิศทางหลักเป็นนโยบายลักษณะ American First และการลดภาษี แม้จะทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับกรณี Red Wave
• ตลาดหุ้นอื่นๆ จะเริ่มผันผวนต้นปี 2025 แต่ภาพ EM Asia จะผันผวนน้อยกว่ากรณี Red Wave โดยเฉพาะ TIPs ที่มีการปรับโครงสร้างการค้า และภาคการผลิตมาตั้งแต่ปี 2018-ปัจจุบัน และตลาดหุ้น TIPs ยังมีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากสหรัฐฯและจีนต่ำ
• แนะนำ หุ้นที่ได้ประโยชน์/ทนทานต่อภาวการณ์กีดกันทางการค้า นำโดยกลุ่มนิคม หุ้นส่งออกอาหาร และหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร ร.พ. ธนาคาร
• ในกรณีนี้เรามองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะยังแกว่งตัวในกรอบ โดยมีโอกาสปรับขึ้นก่อนแกว่งตัวลง ให้รอจังหวะ ก่อนลงทุนรับวงจรเงินเฟ้อและดอกเบี้ยโลกขาลงแบบค่อยเป็นค่อยไปหลังจากนั้น มองเป็นกลางถึงบวกอ่อนๆต่อการลงทุนในพันธบัตร
4) กรณี Democratic President + Republican Congress :
• เรามอง นโยบายหลักของพรรค Democrat จะถูกคัดค้านอย่างต่อเนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาบน ที่มาจากขั้วตรงข้าม ส่งผลให้การผลักดันนโยบายเป็นไปได้อย่างจำกัดใน กรณีนี้เรามองเป็นกลางต่อหุ้นสหรัฐ แต่ Upside จำกัดจากระดับ Valuation ที่ตึงตัว และความเสี่ยงเศรษฐกิจอ่อนลงที่รออยู่
• มอง Fund Flow จะทยอยไหลเข้า EM Asia รายประเทศ ขึ้นกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในกรณีนี้เรามองหุ้นไทยยังมีโอกาส "outperform" ได้ แต่จะต้อง Selective ตามปัจจัยกระทบที่ค่อนข้างสูง
• หุ้นเด่นเรามอง Theme Data Center+ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า สื่อสาร เช่าซื้อ) ผสาน หุ้น Domestic ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจภายใน (ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว)
Strategy: ในระยะนี้ ผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า ให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election หุ้นได้ประโยชน์การเลือกตั้ง + กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ผสาน หุ้น Domestic ที่หลบเลี่ยงผลกระทบได้ดี ดังนี้ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO (ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG), IE (WHA)
• Strategy Update : 3Q24F Earnings Plays
ช่วงต้นเดือน ต.ค. - กลางเดือน พ.ย.2024 เป็นช่วงรายงานผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนไทยงวด 3Q24 หลังจากผ่านช่วงรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารแล้ว จะเข้าสู่ช่วงการรายงานผลประกอบฝั่ง Real Sector โดยก่อนรายงานมักมีกระแสการเก็งกำไรเข้าซื้อในหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี เติบโต y-y, q-q หรือ หุ้นที่มีสัญญาณผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด (เริ่มฟื้นตัว q-q)
ทีมกลยุทธ์ KSS รวบรวมข้อมูลคาดการณ์งบงวด 3Q24 ทีมีการประมาณการณ์ อิงจาก Bloomberg รวมทั้งหมด 96 บริษัท เพื่อค้นหาหุ้นที่มีความน่าสนใจต่อการเข้าเก็งกำไร
กลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรในหุ้นที่คาดจะรายงานงบ 3Q2024 ออกมาเด่น y-y , q-q และอยู่ในธีมหลักในการลงทุนที่ เรามองจะเด่นในปัจจุบัน ประกอบด้วย
o หุ้น China play IVL, AU
o หุ้นกลุ่มวงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงหนุน TRUE, MTC, GPSC, ADVANC, CPALL, CPF
o หุ้นได้ประโยชน์ธีม US Election หรือ ทนต่อความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากผลการเลือกตั้ง AMATA, WHA, BDMS
o หุ้น Mid small -Cap เน้น MOSHI
〽️Best Picks : เราเลือกหุ้นเด่น 5 บริษัทใน Theme 3Q24F Earnings Plays คือ IVL, ADVANC, CPALL, TRUE และ MOSHI
• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7
ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• AWC (Trading Buy, TP-4.4) : We maintain a Trading Buy rating with Bt4.40 TP. This is premised on the following: (i) expectation of robust earnings growth, we expect core profit would surge 78% yoy and 10% qoq in 3Q24F with continued growth in 4Q24F due to Thailand's high tourism season, benefiting AWC's prime-location assets that generate 100% of its revenue domestically. Thus, we maintained 2024F forecast (9M24F is 64% of our FY24F earnings) (ii) AWC is expect to be a one of the highest earnings growth among peers, with a projected 28% p.a. earnings growth (3-year CAGR) over 2024-27F, driven by an expanding hotel portfolio, strategically-located assets and higher margin.
• SCGP (Neutral, TP-30) : เรามอง Negative ต่อรายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ของ SCGP ที่ 577 ลบ. (-56% y-y, -60% q-q) ต่ำกว่าเราและตลาดคาด จาก GPM ที่ต่ำกว่าคาด โดยการลดลง y-y q-q สภาวะการแข่งขันสูงจาก demand จีนชะลอ ทำให้ปรับราคาขายได้ช้ากว่าต้นทุนกระดาษที่เพิ่มขึ้น เราคาด 4Q24F กลับมาฟื้น q-q (ฐานต่ำ) ตามปริมาณขายของไทยที่ผลกระทบน้ำท่วมลดลง และต้นทุนกระดาษลดลง (lagged effect) ทั้งนี้เราแนะนำรอดูการฟื้นตัวของยอดนำเข้า container board จีนใน ต.ค.-พ.ย. 24 ก่อนได้ หากการฟื้นตัวเร่งขึ้นจะเป็นจุดซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวใน 2025F ที่ปริมาณขาย Packging paper ฟื้นตัวตามกำลังซื้อในภูมิภาคที่การท่องเที่ยวเติบโตและอัตราดอกเบี้ยลดลง คง Neutral ที่ TP25F = 30.0
• GLOBAL (Neutral, TP-16) : GLOBAL reported core profit of THB389m (-26% yoy and -49% qoq) which was 22% below Bloomberg consensus. The lower-than-expected profit was caused by higher-than-expected operating expenses as same-store sales (SSS) declined by 5.8% while operating costs increased by 10% yoy because GLOBAL added 6 new stores in the past twelve months. We, thus, cut our core profit for FY24F and FY25F by 7-10.6% from: 1) raising our SG&A to total sales assumptions by 0.5ppt-0.9ppt and 2) lower our gross margin assumptions by 0.2ppt (3Q24 gross margin slightly missed due to the effect of lower steel price yoy). This results in the cut of TP by6% to THB16 while the rating remains NEUTRAL.
• BE8 (Neutral, TP-20) : We expect BE8's net profit in 3Q24F could improve to Bt48m (-36% yoy, +39% qoq). The recovery momentum continue from 2Q24 but a decrease yoy was due to a high base. We have a slightly negative view on its earnings as the recovery momentum is slower than our anticipate, leading to 2024's eanrings estimate cut by 16% to Bt173m (-32% yoy). Downgrade our recommendation from BUY to NEUTRAL with the same TP of Bt20.
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA