Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

439

 


ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
Key Takeaways:
 กระแสเงินลงทุนในภูมิภาคสัปดาห์ที่ผ่านมาพลิกกลับเป็นลบ โดยมียอดขายสุทธิ 192 ล้านเหรียญใน 5 ประเทศ โดยเกาหลีใต้มี net outflow มากที่สุด
 ไต้หวันมีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติโดดเด่นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Transportation
 สำหรับเซคเตอร์เด่นของไทยในสัปดาห์นี้ จากการจับสัญญาณด้วยดัชนี Volume Index คาดว่าจะเป็นกลุ่ม Transportation
รายละเอียด:
การติดตามกระแสการลงทุน (fund flows) ใน 5 ประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดขายสุทธิ 192 ล้านเหรียญ พลิกกลับจากยอดซื้อสุทธิ 446 ล้านเหรียญในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมี net inflow เพียงประเทศเดียว ได้แก่ ไต้หวัน 869 ล้านเหรียญ ในขณะที่อีก 4 ประเทศมี net outflow ได้แก่ ไทย 83 ล้านเหรียญ อินโดนีเซีย 231 ล้านเหรียญ ฟิลิปปินส์ 4 ล้านเหรียญและเกาหลีใต้ 744 ล้านเหรียญ
สำหรับเซคเตอร์เด่นของภูมิภาคจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index เป็นไปในหลายทิศทาง ดังนี้ (1) Technology (อินโดนีเซีย) (2) Communication (เกาหลีใต้) และ (3) Transportation (ไต้หวัน)
แนวโน้ม:
เซคเตอร์ไทยที่น่าจับตาในระยะสั้น (เฉพาะที่ cover ในรายงาน Flow Tracker) ได้แก่ กลุ่ม Trasportation โดย Volume Index มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจากระดับสูงกว่า mid-point เนื่องจากผ่านการพักตัวมาแล้ว และมี Earnings Revision Breadth ที่ดีกว่าตลาดโดยรวม (+11.1% เทียบกับ SET -18.4%)
ส่วนกลุ่มที่ให้ระมัดระวังกับความผันผวนในระยะสั้น ได้แก่ ICT เนื่องจาก Volume Index มีแนวโน้มปรับตัวลงจากโซน super stretched level โดยแม้ว่าจะลดลงจาก 96/100 จุด สู่ 90/100 จุด แต่ก็ยังเป็นระดับที่สูง
อัปเดต Market-timing Indicator (เฉพาะตลาดหุ้นไทย):
ตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจาก SET ขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญระดับ 1500 จุด แต่ไม่ผ่าน
เราคาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มมีแรงซื้อคืนจากโซน 1440-1450 จุด เนื่องจากดัชนี Composite Short-term ได้ลดความตึงตัวจาก stretched level ลงมาแล้ว (รูปที่ 1)
อย่างไรก็ตาม การรีบาวด์ของ SET ในระยะอันใกล้นี้อาจกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่และมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจาก
1 ดัชนี Medium-term Market Breath มีแนวโน้มอ่อนแอลง แม้จะยังอยู่ใน bullish zone แต่ค่ากลับลดลงค่อนข้างเร็วจากระดับ 70% เป็น 51% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
2 ค่าความผันผวนของตลาดสูงขึ้น จากการวัดค่าโดย EGARCH model พบว่า Market Volatility ได้ปรับตัวขึ้นจาก 9.7% (vs -1SD ที่ 10.1%) สู่ระดับ 12.2% ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ค่าความผันผวนกำลังเข้าสู่วงจร mean-reversion ทำให้ SET มีโอกาสที่จะผันผวนขึ้นในระยะสั้น แม้ว่าจะมีการรีบาวด์ของตลาดก็ตาม

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ย่อลงมาแนวรับสำคัญ โดย DELTA นำลงไปคนเดียว 9.5 จุด (จาก 10.4 จุด) จากแรงขาย Sell-on-fact และ Message การประชุมที่ดูยังไม่บู๊มาก นอกจากนี้ กลุ่ม CPAXT CPF TRUE ก็ควงคู่กลุ่ม CRC CPN ลงมาร่วมกดดันตลาดด้วย อีกทั้ง TOP ยังดิ่งต่อ ขณะที่อีกด้านที่พยายามต้านแรงขายไว้ ได้แก่ ธนาคาร กลุ่ม PTT-PTTGC และ IVL นอกจากนี้ เห็นรูปแบบการรีบาวน์จากข้างล่างของหุ้นหลายกลุ่มอย่าง BTS SCGP GPSC เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
เพิ่มหุ้น หลังตลาดลงมาตามแนวรับ
ดัชนีฯยังปรับฐานเมื่อวานจาก แรงขายหุ้นใหญ่กระจาย ทั้งปัจจัยเฉพาะตัว เช่น TOP (สาเหตุผู้รับเหมาหลักไม่ชำระเงินผู้รับเหมาช่วง ส่งผลกระเทือนไปทั้งกลุ่มหากการผลิตเชิงพาณิชย์ล่าช้า), แจ้งงบแล้วโดน Sell on fact เช่น TRUE DELTA ตลอดจนแรงขายล็อกกำไรหุ้นใหญ่ ที่ลากดัชนีขึ้นยังไม่จบ เช่น GULF INTUCH ฯลฯ
แต่ตลาดหุ้นไทยรอบนี้ไม่ได้ยืนขาตายเหมือนเมื่อช่วง 8-9 เดือน ก่อน ที่ขยับเข้าตัวไหนก็เป็นโดนต่อย (สอย)ร่วง... รอบนี้ยังพอมีการหมุนหุ้นเล่นให้ได้เห็น เช่น หุ้นที่โดน Penalty ลงมาก่อนหน้านี้ อย่าง BTS SCGP ฯลฯ ทำให้เรายังคงเน้นกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นเล่น แบบเปลี่ยนตัวสลับไปมาได้อยู่...
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตาม และ เรามองว่าน่าจะเป็นตัวแปรเปลี่ยนโมเมนตั้มตลาดได้เมื่อราคาหุ้นลงมาได้ที่ คือ งบการเงิน 3Q24 ที่ดีกว่าคาด, การเมืองในประเทศสงบขึ้นในอีก 15 วันข้างหน้า โดยเราคาดแนวรับดัชนีฯระหว่างสัปดาห์ที่ 1,456 จุด เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 25 วัน และคาดแนวต้าน 1,475 จุด ครั้งแรกที่มีการทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว โฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้

วิเคราะห์ทางเทคนิค
ดัชนีปรับฐานต่อเนื่องจาก week ที่แล้ว โดยล่าสุดทดสอบเส้นบน EMA 25 & ตำแหน่ง Fibonacci retracement 23.6% บริเวณ 1,450-1,460 จุด เงื่อนไขควรต้องยืนให้ได้ ขณะที่ RSI กลับเข้าสู่ภาวะปรกติอยู่ที่ level 50 (หากหลุดจะส่งสัญญาณภาวะความอ่อนแอด้านราคา)…จุดสังเกตนับตั้งแต่ดัชนีเปลี่ยนเป็นขาขึ้น สามารถเกาะแนวเส้น EMA 25 ได้อย่างเหนียวแน่น กรณีหลุด (ผิดคาด) อาจลงมาทดสอบเส้นล่าง EMA 75 ใกล้เคียงตัวเลข Fibo 38.2% บริเวณ 1,425 จุด….ส่วนมุมเทรดวันนี้ แนะระวังกลุ่มค้าปลีกซ่อมแซมบ้าน “โมเมนตัมดูแย่” ส่วนหุ้นแนะนำ IVL ยังไปได้สวย

 

 

 


What to watch
รายงานงบการเงินหุ้นใหญ่สัปดาห์นี้ วันที่ 29 ต.ค. คาด HMPRO GLOBAL SCGP, 30 ต.ค. คาด SCC และ 1 พ.ย. คาด ADVANC (รายละเอียดใน Figure 1-3 รายงานกลยุทธ์ประจำสัปดาห์)
ศาลรธน.ยังไม่รับคำร้องยุบเพื่อไทย ปม "ทักษิณ" ครอบงำ สั่ง อสส.แจงใน 15 วัน
MSCI รอบใหม่ประกาศ 6 พ.ย. และมีผล 26 พ.ย. 67 มีลุ้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย จับตา IVL-MTC
คาดหุ้นเข้า ออก จากการคำนวณ SET50-100 รอบใหม่ ได้แก่ SET50 เข้า COM7 BANPU SAWAD (ออก BCP EA TIDLOR) ส่วน SET100 เข้า CCET COCOCO JTS (ต้องผ่านเกณฑ์ทั้งหมดใน ต.ค.-พ.ย.) KAMART (ออก MBK TIPH RBF SKY)
ซาอุฯออกโรงปรามอิหร่าน เพราะไม่ต้องการเห็นความไม่สงบในตะวันออกกลางลุกลามบานปลาย ส่งผลราคาน้ำมันดิบดิ่งลงแรงทันทีเมื่อวาน

หุ้นแนะนำวันนี้
TRUE แจ้งงบ 3Q24 ดีกว่าคาดพร้อมทั้ง BLS มีการปรับประมาณการณ์กำไร และราคาเป้าหมายขึ้น (S 11.5 R 12.5 SL 11)

Tactical port เพิ่ม CBG SAWAD TRUE ถอด DELTA

 

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Quantitative Strategy
คาดดัชนี SET รีบาวด์ท่ามกลางความผันผวนที่สูงขึ้น
ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายหลังปรับขึ้นแตะระดับ 1500 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านทางจิตวิทยา เราคาดว่าดัชนี SET จะรีบาวด์ได้ แต่ความผันผวนจะเพิ่มสูงขึ้นในระยะอันใกล้ เนื่องจากดัชนี Composite Short-term ได้ปรับตัวลงมาแล้วจากโซนตึงตัว โดยดัชนี Short-term Bull-to-Bear ได้ปรับลงจากกรอบบน ส่วนค่าความผันผวนของตลาดหุ้นไทยเพิ่มสูงขึ้นจาก 10.1% ใน 2 สัปดาห์ก่อนหน้า สู่ระดับ 12.2% ในปัจจุบัน และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีกเนื่องจากดัชนีจับจังหวะตลาดส่งสัญญาณมิกซ์ นอกจากนั้น ดัชนี Composite Medium-term ยังคงทรงตัวในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนี Medium-term Bull-to-Bear ที่อ่อนแอลงถูกหักล้างด้วยดัชนี Medium-term Momentum Strength และดัชนี Volume Flow ที่แข็งแกร่งขึ้น ส่วนการกระจายตัวในการปรับขึ้นของหุ้นระยะกลาง (Medium-term Market Breadth) ปรับตัวลดลงจาก 70% ในสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เป็น 51% ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 50% ซึ่งยังคงเป็นสัญญาณ Bullish เราประเมินกรอบการแกว่งตัวของ SET ในช่วง 1450-1510 ในวันที่ 29 ต.ค.-11 พ.ย.

ECON
ตัวเลขส่งออก ก.ย. ต่ำกว่าคาด
รายงานตัวเลขส่งออกไทยเดือนกันยายน 2024 ขยายตัวเพียง 1.1% YoY (หดตัว 0.8% MoM) ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.9% YoY หากไม่นับทองคำและน้ำมัน ส่งออกไทยจะขยายตัวอยู่ที่ 3.2% YoY โดยกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยังขยายตัวโดดเด่น ขณะที่ Semiconductor รถยนต์ และจักรยานยนต์ รวมถึงชิ้นส่วนรถยนต์ ยังคงหดตัวต่อเนื่อง จาก Demand ในตลาดโลกโดยรวมที่ยังคงอ่อนแอ ส่วนที่พอจะเติบโตไปได้ก็อยู่ในกลุ่มรถยนต์ EV ซึ่งไทยยังไม่มีการผลิตเพื่อส่งออกในขณะนี้
ว่าการส่งออกที่เติบโตชะลอลงสะท้อนถึงผลกระทบของ Front-Load Demand สินค้าจีนในสหรัฐฯ (ก่อนการขึ้นภาษีในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา) ที่เริ่มส่งสัญญาณแผ่วลง สอดคล้องกับที่ทางเราประเมินไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนั่นก็ทำให้การส่งออกของจีนขยายตัวเพียง 2.4% YoY ในเดือนกันยายน จากที่ขยายตัวได้สูงราว 8.7%YoY ในเดือนสิงหาคม 2024 ขณะที่การส่งออกไทยที่มีสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของสินค้าจีนจะได้รับผลกระทบไปด้วย ดังจะเห็นได้จากการส่งออกสินค้าไทยไปจีนโดยรวมที่หดตัวลงแรงกว่า 7.8% YoY ในเดือนกันยายน 2024 โดยเฉพาะ Semiconductor ที่หดตัวกว่า 82.9% YoY ภาพรวมการส่งออก 3Q24 ขยายตัวได้ 7.5% YoY และ 9M24 ขยายตัว 3.9% YoY
สำหรับกลุ่มสำคัญอย่างสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรส่วนใหญ่ หดตัว MoM แต่ก็ยังขยายตัวได้ดีในเทอมของ YoY เช่น ยางพารา (-12.5% MoM, +47.4%YoY) ผลิตภัณฑ์ยาง (-4.9% MoM, +15.7%YoY) โดยได้รับแรงผลักดันหลักจากถุงมือยางที่ขยายตัวได้ราว 25.2% YoY
ขณะที่การส่งออกอาหารทะเลกระป๋อง (+27.3%YoY) น้ำผลไม้ (+37.9%YoY) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป (+6.4%YoY) อาหารสัตว์เลี้ยง (+21.5%YoY)
แนวโน้ม 4Q24 เราประเมินว่าจะยังมีความท้าทายอีกมากและน่าจะชะลอตัวลงมากกว่าที่ตลาดคาด จากสัญญาณภาวะเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี จากการส่งออกในไตรมาส 3 ที่ทำได้ดีนั้น ก็น่าจะทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยขยายตัวได้มากกว่า 2% ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

 

 


Commodities
ค่าการกลั่นยังแข็งแกร่งสุด
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา GRM ปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน WoW (จาก Jet Fuel และ Diesel) ตามมาด้วยการเพิ่มขึ้นของสเปรดเคมีบางประเภท (Ethylene และ Propylene) ในทางกลับกัน อัตราค่าระวางเรือเทกองปรับลดลงมากที่สุด -13% WoW ตามด้วยอัตราค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ (-4% WoW)
สำหรับแนวโน้ม 4Q24 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะลดลงเนื่องจากอุปสงค์ที่ซบเซา หากความขัดแย้งในตะวันออกกลางส่งผลเพียงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันดิบสูงต่อเนื่องจากความขัดแย้ง อาจทำให้ค่าพรีเมียมน้ำมันดิบสูงขึ้น ซึ่งจะกดดัน GRM ของกลุ่มโรงกลั่น
ในกลุ่มปิโตรเคมี การฟื้นตัวของอุปสงค์ที่ยังคงช้าจะกดดันสเปรดและผลประกอบการในช่วง 2H24 ของผู้ผลิตส่วนใหญ่ ยกเว้น IVL ที่คาดว่ากำไรจะดีทั้ง 3Q24 และ 4Q24 โดยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนครั้งใหญ่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม สเปรด PE จะขยายตัวเร็วกว่า PP เนื่องจากมีการผลิต PP ใหม่ออกมาในปีนี้และปีหน้า ในขณะที่ PE ยังมีการเพิ่มกำลังการผลิตน้อยกว่า

DELTA
เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)
พักก่อน
หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาจนชนราคาเป้าหมายของเราที่ 137 บาท เรามองว่าในระยะสั้นน่าจะเป็นโอกาสขายทำกำไรรอการพักตัวในกรอบ 110 บาท – 126 บาท (+0.5 - +1SD) เนื่องจากขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น อีกทั้งมุมมองของบริษัทยังค่อนข้างอยู่ในเชิงอนุรักษ์นิยมทั้งในด้านของ GM และระดับ SG&A
เราประเมินปัจจัยที่จะเร่งเครื่องอีกครั้งคาดจะเป็นส่วนของสินค้าใหม่ในฝั่ง AI ที่ไม่ได้จ่าย Royalty fee สูงเหมือนสินค้าในปัจจุบัน ซึ่งคาดจะเริ่มเข้าใน 4Q24 และเข้ามาอย่างมีนัยยะสำคัญในปีหน้า เรายังคงประเมินกำไรหลัก 4Q24 ทรงตัว QoQ แต่ยังปรับตัวขึ้นได้ 20-30% YoY
Fundamental View: เราปรับคำแนะนำลงจาก ซื้อเก็งกำไร เป็น ถือ

STECON
สเตคอน กรุ๊ป
Move to the Next Chapter
STECON เข้าซื้อขายวันนี้แทน STEC เป็นสัญลักษณ์การเริ่มยุคใหม่ แม้ระยะสั้นสัดส่วนของธุรกิจในภาพรวมยังเป็นธุรกิจเดิม แต่โครงสร้างภายในที่เปลี่ยนไป จะรองรับการเติบโตในระยะยาว ในธุรกิจอื่นๆ ในธีม “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่รวดเร็ว-คล่องตัวขึ้น ประจวบเหมาะกับช่วงที่ไทยกำลังเข้าสู่ CAPEX Cycle รอบใหม่ โดยธุรกิจที่เน้นจะมีรถไฟฟ้า-สนามบิน พลังงานสะอาด Data Center และการจัดการน้ำ
ขณะที่ภาพระยะสั้นผลประกอบการที่ถูกกดดันอยู่ อาจจะไม่ได้ถูกให้น้ำหนักเท่ากับข่าวประมูลใหม่ ซึ่งเรามองปลายปีนี้ - ต้นปีหน้า มี Highlights อยู่ 3 อย่าง 1) อู่ตะเภา (โครงการ 3 สนามบินฯ เริ่มขยับแล้ว), 2) งานโยธาฯ ที่มีศักยภาพทั้งกลุ่มของรัฐ (ถนน-ราง) และโอกาสในการรับงานต่อจาก PPP ของกลุ่มอื่น (ซึ่งเคยมีการทำงานร่วมกันอยู่แล้ว) และ 3) โรงไฟฟ้า Renewable จากพันธมิตร เช่น GULF หลังมีการประมูล PPA ชุดใหม่ไป ภาพรวมคาดหนุน Backlog ไประดับ 1.5-2 แสนล้านบาท (จาก 9 หมื่น ล้านบาท)
นอกจากนี้ STECON ก็มี Hidden Value จากการลงทุนที่เปิด Upside มูลค่าไว้ โดยเฉพาะ GULF ที่เรายังไม่ได้ Adjust ไปใน Book value จากที่ราคาขึ้นมาราว 60% จาก มิ.ย. 24 ซึ่งเป็นมูลค่าที่ซ่อนอยู่ใน STECON ที่ถือหุ้น GULF 220 ล้านหุ้น หากบนราคาปัจจุบัน จะแปลงเป็นมูลค่าหุ้น STECON เทียบเท่า 9.4 บาท/หุ้น ซึ่งควรจะเป็นฐานใหม่ (และมีโอกาสรับปันผลเพิ่มราว 20-30% หลังรวมกับ INTUCH)
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 12 บาท (อิง PBV 1 เท่า) เป็นกรณีที่อนุรักษ์นิยมมากแล้ว


รายงานผลประกอบการวันนี้

 

 


(0) PTTEP รายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 17,865 ล้านบาท หักรายการพิเศษกำไรหลักจะอยู่ที่ 18,179 ล้านบาท ลดลง 4% YoY และ 26% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด แนวโน้ม 4Q24 คาดกำไรลดลง YoY (ทรงตัว QoQ) กดดันจากราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง และต้นทุนต่อหน่วยที่สูงขึ้น เราปรับกำไรปี 2024 เล็กน้อย 2% เพื่อ Fine-tune ตัวเลข ไตรมาส 3 อย่างไรก็ดียังคงคำแนะนำถือ เรามอง Upside จำกัด แม้จะมีสถานการณ์ในตะวันออกกลาง แต่ก็มีแรงกดดันจากภาพอุปสงค์โลกที่กลับผลกันอยู่


(+) SCGD รายงานขาดทุนสุทธิ/หลัก 3Q24 ที่ 189 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหลักที่ลดลง 17% YoY และ 33% QoQ สูงกว่าที่เราคาดไป 11% จาก GM ที่มากกว่าคาด แต่ก็ต่ำกว่าตลาดคาด 6% ส่วนแนวโน้ม 4Q24 คาดแม้จะมองทรงตัว YoY แต่ก็เห็นการฟื้นตัว QoQ จากปริมาณขายที่เพิ่มในไทย (และเวียดนาม) หลังเหตุการณ์น้ำท่วม เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2024 ลง 14% สะท้อนความคาดหวังใน 4Q24 ที่ลดลงจากการคาดการณ์เดิม (ไทยและเวียดนามฟื้นตัวน่าจะช้ากว่าที่เคยประเมิน) และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 9 บาท ยังคงคำแนะนำซื้อ

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้