Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

488

 

 


คาดอยู่ในกรอบ 1460 +/-10 จุด
สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังต้องติดตามหลังจากที่ อิสราเอล โจมตี กลับไปที่อิหร่าน โดยจากนี้ต้องประเมินท่าทีของอิหร่านว่าจะมีการตอบโต้ กลับไปอีกครั้งหรือไม่ หากมีการตอบโต้กลับก็จะทำให้สถานการณ์ดู กังวลมากขึ้น ส่วนที่จีนรอติดตามการประกาศมาตรการทางการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้เห็นการเก็งกำไรในหุ้น COMMODITY ได้ สำหรับในบ้านเรา ฉากของสถานการณ์การเมืองยังมีโอกาสกลับมา สร้างแรงกดดันได้ตลอด เพียงแต่ในช่วงสัปดาห์นี้ไม่น่าจะมีพัฒนาการที่สำคัญ เข้ามากดดันน้ำหนักจึงให้ไปที่แนวทางในการออกมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งจะมีการหารือกับ กกร. ก่อนการประชุม คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้เราคาดหวังว่าน่าจะเห็นมาตรการ กระตุ้นการบริโภคในประเทศเพิ่มเติม

 

การปรับฐานของ SET INDEX ยังมีโอกาสเกิดขึ้นต่อ แต่เชื่อว่า DOWNSIDE น่าจะจำกัด คาดอยู่บริเวณ 1460 +/-10 จุด วันนี้ประเมิน กรอบ 1455 –1475 จุด TOP PICK เลือก ADVANC, CPALLและWHA

 

จับตาสงครามตะวันออกกลาง จะขยายวงกว้างอีกหรือไม่ ?
อิสราเอลเปิดฉากโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่านในอิหร่าน เมื่อช่วงเช้า 26 ต.ค. ที่ ผ่านมา เพื่อตอบโต้กลับอิหร่านที่โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 67 ด้วยขีปนาวุธพิสัยไกลราว 200 ลูก

 

หากตีความในเชิงบวก (+) อิสราเอลมุ่งเป้าหมายไปพื้นที่ทางการทหาร แทนที่จะเป็น แหล่งโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน (น้ำมัน-นิวเคลียร์) หรือที่ตั้งของผู้นำอิหร่าน ตามคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ทำให้ขอบเขตการโจมตีและความเสียหายอยู่ในวงจำกัด สะท้อน อิสราเอลยังไม่ประกาศการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบ และลดความกังวลต่อการ ลุกลามไปสู่ส่งครามระดับภูมิภาค กดดันให้ราคาน้ำมันเช้านี้ ร่วงลงราว -4%

 

อย่าไรก็ตาม ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก อิหร่านประกาศใช้สิทธิ์ตามกฎหมายตอบโต้อิสราเอล หลังถูกโจมตีครั้งล่าสุด (-) หาก มีการตอบโต้กลับและมีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม อาจกลายเป็นฉนวนความเสี่ยงที่ทำให้สงครามขยายวงกว้างได้ ซึ่งจะกระทบต่อ SUPPLY การผลิตน้ำมัน และหนุนให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นได้แต่จะเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้อง อาทิ PTT PTTEP BCP TOP PTTGC

 

จีนอัดมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจไทยยังดีต่อ เช่นกันจากภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก
หลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงปลายเดือน ก.ย.67 โดยเน้นใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับ ธ.พ. และเร่งแก้ปัญหาภาคอสังหาฯ ทั้งการขยายสินเชื่อโครงการบัญชีขาว และสินเชื่อ รีโนเวตบ้าน 1 ล้านหลังในยูนิตแรก รวมทั้งใช้นโยบายการคลังแจกเงินให้กับผู้ยากไร้ กระตุ้นการบริโภค ซึ่งน่าจะหนุนให้ GDP GROWTH รายไตรมาสของจีนเติบโตได้เกิน 5%YOY และทำให้ประมาณการ GDP ปีนี้โตแตะระดับ +5%YOY ดังที่รัฐบาลจีนหวังไว้ได้ไม่ยาก ประเด็นดังกล่าวหนุนให้ตลาดหุ้นจีนทั้ง CSI300 และ HANG SENG ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงเวลานั้น และกดดันตลาดหุ้นประเทศอื่นในเอเชียช่วงสั้น

 

อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว เนื่องด้วยภาคการท่องเที่ยวไทย มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงเป็นอันดับ 1 (อิงปี 2023) ราว 3.5 ล้านคน หรือ 13% จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด อีกทั้งรัฐบาลไทยเตรียมกระตุ้นภาคการ ท่องเที่ยวผ่านการเข้าสู่นโยบาย “แอ่วเหนือ คนละครึ่ง”(เริ่มลงทะเบียน 1 พ.ย.67) จ. เชียงรายพร้อมต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเตรียมจัด กิจกรรมตลอดฤดูกาล เช่น เทศกาลลอยกระทง, เทศกาล LANNA WINTER WONDERLAND , งานเชียงรายดอกไม้งามปีที่ 21 และตักบาตรดอกไม้เป็นต้น ซึ่งน่าจะหนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยวในไทยกลับสู่ก่อนระดับ COVID-19 ได้ไม่ยาก ประเด็นดังกล่าวน่าจะสร้าง SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มการบิน-โรงแรม อาทิ AOT AAV CENTEL ERW MINT

 

สรุป เศรษฐกิจจีนดูดีขึ้นหลังรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นมากมาย หนุน FLOW ไหล ออกจากประเทศอื่นในเอเชียช่วงสั้น สังเกตได้จาก FUND FLOW ต่างชาติ และค่าเงิน ของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตามไทยน่าจะได้รับ SENTIMENT เชิงบวกมากกว่า เนื่อง ด้วยภาคการท่องเที่ยวไทย มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงเป็นอันดับ 1 อีกทั้งรัฐบาล ไทยเตรียมกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวผ่านการเข้าสู่นโยบาย “แอ่วเหนือ คนละครึ่ง” ดีต่อหุ้นกลุ่มการบิน-โรงแรม อาทิ AOT AAV CENTEL ERW MINT

 

ช่วงฤดูกาลประกาศงบ 3Q67 อาจกดดันให้ SET ผันผวน
เข้าสู่ฤดูกาลประกาศกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 3Q67 โดยเบื้องต้นข้อมูลการทำ EARING PREVIEW จาก BLOOMBERG CONSENSUS ณ 28 ต.ค. 67 มีการทำ EARNING PREVIEW 132 บริษัท (คิดเป็นสัดส่วน MARKET CAP 75%) พบว่า กำไร 3Q67 มีโอกาสลดลง -19%QOQ และลดลง -22%YOY คิดกลับเป็นกำไร 3Q67 มีโอกาสอยู่บริเวณ 2.1–2.3แสนล้านบาท เท่านั้น

 

ถ้าแบ่งออกเป็นราย SECTOR พบว่า มีกลุ่มหุ้นที่ OUTPERFORM คือ CON, ICT, HELTH, PROP, AGRI ที่คาดว่ากำไรงวด 3Q67 จะเติบโตทั้ง QOQ และ YOY

 

นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ยังคัดกรอง 15 หุ้นที่มีโอกาสกำไรเติบโตทั้ง QOQ และ YOY ในช่วงไตรมาสที่ 3 คือ IVL, CKP, TASCO, AMATA, BGRIM, BCH, CK, GPSC, PR9, BDMS, SPALI, BH, TU, CBG, MTC เป็นต้น

 

สรุปกำไรงวด 3Q67 เบื้องต้นมีโอกาสชะลอลงถึง -19%QOQ และ -22%YOY กดดัน การปรับตัวขึ้นของ SET INDEX ในช่วงนี้ และมีผลต่อ DOWSIDE ประมาณการกำไร ทั้งปี 2567 ได้

 

มุมมองต่อกลุ่มจำนำทะเบียนรถ 3Q67 เลือก MTC
ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิหุ้นกลุ่มจำนำทะเบียนรถงวด 3Q67 ที่จะประกาศวันที่ 12 พ.ย. 67 โดย MTC ที่ 1.5 พันล้านบาท เติบโต 5% QOQ (+18% YOY) เป็นไปใน ทิศทางเดียวกับสินเชื่อขยายตัวราว 4% QOQ (+16% YOY) ในกลุ่มสินเชื่อมีหลักประกัน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านแนวโน้มระดับ NPL ลดลงเล็กน้อยมาที่ 2.8% (สิ้นปี 2566 ที่ 3.1%, 2Q67 ที่ 2.9%) และ COVERAGE RATIO ที่ 127% (2Q67 ที่ 125%) ทั้งจากปัจจัยเฉพาะตัว ผ่านระบบ การจัดเก็บหนี้ บนจำนวนสาขากว่า 8 พันสาขา มากสุดในกลุ่มฯ ประกอบกับ ปัจจัยมหภาคอย่างมาตรการแจกเงินกลุ่มเปราะบางของภาครัฐช่วงปลาย ก.ย. ส่วน TIDLOR ในมุมฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.03 พันล้านบาท (-5.6% QOQ, +2.3% YOY) เพราะสำรองสูงขึ้น ตามคุณภาพสินทรัพย์ยังมีแรงกดดันจากสินเชื่อที่ เกี่ยวข้องกับรถบรรทุก (แต่มองประมาณการกำไรทั้งปียังสอดคล้อง : 9M67F คิดเป็น สัดส่วน 78% ของประมาณการกำไรทั้งปี) สำหรับ SAWAD เบื้องต้นฝ่ายวิจัยมองว่า กำไรสุทธิมีโอกาสขยับขึ้น QOQ เพราะปกติแล้วงวด 2Q จะเป็นช่วงที่ฐานกำไรต่ำกว่า ไตรมาสอื่นตามฤดูกาล

 

ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q67 เนื่องจากปกติแล้วมีการเบิกใช้สินเชื่อเร่งตัวช่วงปลายปี ประเมินเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของกำไร QOQ ทั้ง MTC และ SAWAD (TIDLOR อาจมีผลกระทบจาก OPEX ซึ่งอิงจากข้อมูลในอดีตพบว่าปรับตัว ขึ้นงวด 4Q)

 

โดยฝ่ายวิจัยเลือก MTC (OUTPERFORM : FV@B59) เป็น TOP PICK กลุ่มฯ ตามเดิม จากทิศทางคุณภาพสินทรัพย์เด่นกว่ากลุ่มฯ ประกอบกับคาดการณ์อัตราการขยายตัวเฉลี่ย (CAGR) ของ EPS ปี 2567 – 69 สูงสุดในกลุ่มฯ ราว 19% ต่อปี ซึ่งสูงกว่า PER ปี 2568 ที่ 16 เท่า รวมทั้งแนวโน้ม ROE ขาขึ้นจาก 16% ปี 2566 สู่ 18% ในปี 2569 บ่งชี้ VALUATION ไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโต ส่วน TIDLOR ด้วย คุณภาพสินทรัพย์ยังฟื้นตัวช้า จึงมองราคาหุ้นเคลื่อนไหวไม่เด่นเท่า MTC ด้าน SAWAD ราคาใกล้เคียงกับ FV ปี 2568 ของฝ่ายวิจัยที่ 43 บาท จึงคงแนะนำ NEUTRAL

 

 

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ 

 

  

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้