"China + Yield Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1452/1460 จุด รับ 1438/1431 จุด ดัชนี S&P500 -0.17% พักฐานต่อเนื่อง ปธน.สหรัฐฯ คุณไบเดน สนับสนุนอิสราเอลตอบโต้อิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันดีดขึ้นเฉลี่ย 5.1% จาก Geopolitical Risk ที่ปกคลุม KSS ให้น้ำหนักจำกัดวงระหว่างคู่กรณี ประเมินท่าทีสหรัฐฯเน้นเชิงสัญลักษณ์ มากกว่าเชิงปฏิบัติการ ขณะที่รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลาดจะรอรายงานภาคแรงงานเพิ่มในส่วนอัตราว่างงาน หากไม่เกิน 4.3% (ตลาดคาด 4.2% ทรงตัว prev.) จะเพิ่มน้ำหนัก US Soft Landing ภายในเป็นบวก ช่วง Golden Week หนุนนักท่องเที่ยวจีนเฉลี่ยรายวันทะลุ 3.0 หมื่นคน ทำจุดสูงสุดใหม่ของปี และผลบวกมาตรการกระตุ้นภายในจีนบวกต่อ Wealth Effect จะทำให้ นทท. จีน เข้าไทยเร่งขึ้น ผสาน รัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นบริโภคเพิ่มเติมปลายปี ขณะที่แรงซื้อเม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศเข้ามาต่อเนื่อง ตลาดจะตั้งฐานและฟื้นตัว กลุ่มเด่นวันนี้มอง หุ้นน้ำมัน และหุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว(เน้นสนามบิน, โรงแรม) สื่อสาร ธนาคาร) วันนี้แนะนำ AOT, INTUCH, ADVANC เด่น
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1452/1460 จุด รับ 1438/1431 จุด
What happened around the world ?
(*/-) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเล็กน้อย รอดูตัวเลขแรงงานสหรัฐ และรอดู สงครามตะวันออกกลาง อิง Dow jones (-0.44%) , S&P500 -0.17%d-d Nasdaq -0.05%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นมีเพียงแค่กลุ่ม Energy, IT, ICT ส่วนกลุ่มที่ปรับลงและUnderperform นำโดย Consumer discretionary, Materials,Real estate, health care ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น Alibaba ADR -2.1% พลิกลงหลังจากก่อนหน้ารับข่าวรัฐบาลจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ, NVDIA +3.2% Tesla –3.3%ปรับลงต่อรับ ยอดส่งมอบรถยนต์ต่ำคาดใน 3Q24 ฯลฯ
(*/+) US Econ : 1.)PMI ภาคบริการ สถาบัน ISM เดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 3 เดือนติด อยุ่ที่ 54.9 จุดดีกว่าตลาดคาดที่ 51.7 จุด vs prev. 51.5 จุด สอดคล้องกับตัวเลขของสถาบัน S&P ยังเหนือ 50 จุด อยู่ที่ 55.2 จุด prev. 55.7 จุด ภาคบริการสหรัฐคิดราว 70%ของ GDP ขยายตัว ลบความกังวลช่วงต้นอาทิตย์ที่ PMI ภาคผลิต ISM ออกมาต่ำ 50 จุด (ภาคการผลิตสัดส่วน GDP สหรัฐเพียง 10% น้อยกว่าทำให้ยังคงมองภาพเศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft landing 2.)จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ (initial Jobless Claims) เพิ่มขึ้น 6 พันรายมาที่ 2.25 แสนราย สูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อยที่ 2.22 แสนราย และใกล้ค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.25 แสนราย คาดสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) 3.) คำสั่งซื้อภาคโรงงานสหรัฐเดือนส.ค. -0.2%m-m ต่ำตลาดคาด +5.0% prev. 4.9% แต่หากไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน +0.3% ในเดือนส.ค.
(*) Fed Speak Thomas Bakins (Voter) ประธาน Fed สาขา Richmond เผยว่า Fed อาจใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ในการทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% และะเป็นปัจจัยจำกัดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed
(*) US – China Tension : กระทรวงความมั่นคงสหรัฐฯ ประกาศห้ามนำเข้าสินค้าจากบริษัทเหล็กกล้าและบริษัทผู้ผลิตสารให้ความหวานในจีน โดยกล่าวหาว่าบริษัท 2 แห่งนี้บังคับใช้แรงงานในซินเจียงอุยกูร์ ย้ำภาพการกีดกันการค้าต่อเนื่อง มองบวกต่อกระแสการย้ายฐานการผลิตการนำเข้ามายังประเทศที่ไม่มีความขัดแย้ง เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีน สหรัฐมองจำกัด เพราะเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง
(*/+)Vietnam : รัฐบาลเวียดนามประเมินเป้า GDP Growth เวียดนามปี 2024 โต 6.8-7% (สูงกว่าเป้าหมายที่สมัชชาแห่งชาติเวียดนาม (NA) ตั้งไว้ที่ 6.0% - 6.5% ทำให้ประเมินมีโอกาสที่ 4Q24 รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการทางคลังเพิ่มเติม KSS คาดจะเห็นการกระตุ้นมุ่งไปที่ ภาคบริการ 41.3%ของ GDP และภาคบริโภคสัดส่วน 54.4% โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นเวียดนาม กลยุทธยังแนะนำ Slightly Overweight ตลาดหุ้นเวียดนาม และเลือกสะสมกองทุนหุ้นเวียดนามที่กรอบดัชนีระดับปัจจุบัน และบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงเวียดนาม อาทิ SNNP
(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 4 ต.ค. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.ย.24 ตลาดคาด 1.4 แสนตำแหน่ง vs prev. 1.42 แสนตำแหน่ง อัตราว่างงาน ตลาดคาด 4.2% vs prev. 4.2%
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับขึ้นแรงและขึ้นต่อเป็นวันที่ 2 หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแกร่งและราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นแรง อายุ 2 ปี ปรับขึ้น +6 bps อยุ่ที่ 3.7% อายุ 10 ปี +6 bps อยู่ที่ 3.848% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต BLA, TLI กลุ่มธนาคาร KBANK, KTB ส่วน Dollar Index แข็งค่าต่อ 101.7
(*/+) Oil : น้ำมันดิบบวกต่อเป็นวันที่ 5 และบวกแรง อิง Brents +5.03%d-d ปิดที่ US$ 77.8/barrel. น้ำมันดิบ West Texas +5.15%d-d ปิดที่ US$ 73.7/barrel แรงหนุนหลักมาจาก หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน เผยว่าสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรกำลังพิจารณาตัวเลือกในการตอบโต้ทางทหารต่ออิหร่าน และข่าวเมื่อคืนคือ อิสราเอลถล่มคลังน้ำมันอิหร่าน ทำให้ตลาดประเมินความตึงเครียดสงครามในตะวันออกกลางอาจจะเร่งขึ้นและกระทบ Supply น้ำมันในตลาดโลกเนื่องจาก Iran เป็นผู้ผลิตน้ำมันใน OPEC+ โดยรวมเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับลง 11 สัปดาห์ติดสัปดาห์ล่าสุด -5%w-w อยู่ที่ 3489 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ แรงกดดันหลักๆมาจากความตึงเครียดในตะวันออกลางล่าสุดลดลง ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ยังแนะนำเพียง ชะลอการลงทุน
What happened in Thailand ?
(*/-) SET : SET Index ปรับตัวลดลง -8.67 จุด ปิดที่ 1442.73 จุด เป็นการปรับลดลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาค และลดความเสี่ยงระหว่างรอพัฒนาการสถานการณ์ตะวันออกกลาง+รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) มองตอบรับผู้ถือหุ้น GULF อนุมัติ INTUCH รวมกิจการ GULF และเดินหน้าสร้าง Synergy ต่อกลุ่มในลำดับถัดไป กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) มองลดความเสี่ยงกรณีตะวันออกกลางที่หากขยายวงจะกระทบการค้าโลก กลุ่มการแพทย์ (BDMS, BH)
(*) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -108 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -83.5 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net long 13,777 สัญญา เงินบาทสลับอ่อนค่าเล็กน้อย 33.1 +/- บาท
(+) Vayupak: นับจาก 1 ต.ค. ที่เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ใหม่เริ่มเข้าตลาด เราพบว่า นักลงทุนสถบันในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา ซื้อหุ้นไทยมีนัยฯ ที่ 10.8 พันล้านบาท vs ก.ย. และ 9M24 ที่ขายสุทธิ -1.7 พันล้านบาท และ 2.3 พันล้านบาท ภาพดังกล่าวเริ่มสอดคล้องกับในอดีตช่วงที่ Vayupak เริ่มเข้ามาในตลาดหุ้น คือ 1 ธ.ค. 2003 Vayupak 1 เริ่มซื้อขาย SET Index นับจาก 1 ธ.ค. – จุด Peak (12 ม.ค.2004) หรือปรับขึ้นรวม 153 จุด +23% โดยกลุ่มนักลงทุนที่เป็นฝั่งหนุนให้ SET Index เส้นเหลือง ปรับขึ้นในรอบนั้น คือ ภายในประเทศ(นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิรวม 9.44 พันล้านบาท , นักลงทุนในประเทศ ซื้อสุทธิรวม 2.37 พันล้านบาท) โดยรวมหนุน KSS ประเมินดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด (PER2024 17.1X EPS24 ที่ 90.0 ) แรงหนุนมาจากการเมืองภายในชัดหนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2024 โต 2.4% และปี 2025 คาดโต 2.8-3.0% และ Key สำคัญคือปัจจุบันเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เริ่มเข้าตลาดวานนี้ ทำให้ประเมินในรอบนี้จะคล้ายกับในอดีตปี 2003 -2004 คือ กลุ่มนักลงทุนภายในประเทศ จะเป็นกลุ่มหลักที่จะหนุนหุ้นไทย นักลงทุนระยะกลาง-ยาว เน้นวางกลยุทธ์สะสมหุ้น Top Picks งวด 4Q24 ของเราใน 3 ธีมหลัก คือ
1.) Rate Cut Cycle Plays : GULF, GPSC, MTC
2.) New Government Policy Support : CPALL, BJC
3.) The Return of Domestic Long-term Funds (Vayupak+ThaiESG) : BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
(*/+) Consumption Stimulus: รมช.คลัง กล่าวว่า ในช่วงปลายปีนี้ รัฐบาลได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบของมาตรการภาษีและการกระตุ้นใช้จ่ายไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่รูปแบบโครงการ "คนละครึ่ง" เชิงกลยุทธ์ เรามองมีโอกาสที่มาตรการน่าจะอยู่ในลักษณะ ช็อปดีมีคืน จะเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT, HMPRO
(+) TH Tourism: นักท่องเที่ยวจีนนับจากเข้า Golden Week 30 ก.ย., 1-2 ต.ค. ที่ 3.0, 3.2 และ 2.9 หมื่นคน สูงเฉลี่ย >3.0 หมื่นคนต่อวัน เป็นระดับสูงสุดปี 2024 ขณะที่คิดเป็น 85% ของ Pre-COVID เร่งตัวชัดเจนจากงวด 8M24 ที่อยู่ราว 63% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจีน YTD ต่อวันที่ 1.9 หมื่นคน และสัปดาห์ตรุษจีนปี 2024 ที่ 2.7 หมื่นคน ผสาน ผลบวกมาตรการทางการเงินและคลังของจีนที่เร่งขึ้น หนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน สร้างผลบวก Wealth Effect จะเปิด Upside นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเร่งขึ้นกว่าเดิมในไตรมาส 4 นี้ เน้น AOT CPALL BJC ERW AU SPA
(*) FIN x BOT: รมว.คลัง เปิดเผยว่า จากที่ได้หารือกับ ผู้ว่าการ BOT มีการประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 4 ปีนี้ จะอยู่ที่ราว 1% ส่งผลให้คาดว่าทั้งปี 67 เงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มจะหลุดกรอบล่างของเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1-3% หลังจากนี้ จะมีการนัดกับผู้ว่าฯ ธปท.อีกครั้งภายในเดือนต.ค.นี้ เพื่อหารือกันว่าเมื่อทิศทางของเงินเฟ้อออกมาเช่นนี้แล้ว จะมีแนวทางในการทำให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้อย่างไร เรามองทิศทางดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ BOT อาจพิจารณาระดับดอกเบี้ยนโยบายใหม่
ทั้งนี้ เราเชื่อว่าเงินเฟ้อที่รายงานสัปดาห์หน้าน่าจะช่วยให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เชิงกลยุทธ์ เราประเมิน หากปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงทุกๆ -25 bps จะบวก SET ราว 50-60 จุด มองหนุนหุ้นในกลุ่มได้ประโยชน์ขาลง เช่าซื้อ KTC, AEONTS, SAWAD โรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มหนี้สูง MINT, TRUE หุ้น High Yield สื่อสาร ADVANC และกลุ่ม REIT
(*) To Monitor: : สัปดาห์หน้า ปัจจัยภายในติดตาม 1. ) ติดตาม กระแสท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงวันหยุดยาว (Golden Week) มองกระแสมีโอกาสคึกคัก หนุนจิตวิทยาบวกต่อหุ้นการบิน ท่องเที่ยว และกลุ่ม China Plays 2.) 7 ต.ค. เงินเฟ้อ CPI ก.ย. 24 ตลาดคาด +0.8%y-y, 0.04%m-m vs prev. +0.35%y-y,0.07%m-m 3.) 7-15 ต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 56.5 จุด 4.) 8 ต.ค. ประชุม ครม. คาดว่าจะมีการอนุมัติเงินสนับสนุนครัวเรือนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเท่าๆกันทุกครัวเรือนที่ 9,000 บาท (เดิมแต่ละครัวเรือนไม่เท่ากัน) นอกจากนี้ คาดมีโอกาสพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ อสังหาฯ ท่องเที่ยว และ Mega Projects
Daily Strategy : AOT, INTUCH, ADVANC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "Sideways/Up" แม้ตลาดยังรอติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แต่ยังไม่มีประเด็นลบบ่งชี้ Downside สินทรัพย์เสี่ยงรุนแรง ในกรณีความขัดแย้งขยายวงสู่ประเทศที่ 3 ส่วนฝั่งเศรษฐกิจตลาดจะรอติดตามรายงานภาคแรงงานสหรัฐฯ ค่ำคืนนี้ ส่วนภายในโดยรวมเห็นพัฒนาการเศรษฐกิจทางบวก ท่องเที่ยวช่วง Golden Week นักท่องเที่ยวจีนเฉลี่ยต่อวันทะลุ 3.0 หมื่นคน ทำ New High ของปี และยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รอเข้ามาหนุนเพิ่มปลายปี เม็ดเงินลงทุนระยะยาวภายในยังเข้ามาประคองตลาดต่อเนื่อง มองหุ้นนำ หุ้นน้ำมัน และหุ้น Domestic (ค้าปลีก ท่องเที่ยว(เน้นสนามบิน, โรงแรม) สื่อสาร ธนาคาร)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, SCGP, DOHOME, GLOBAL, AOT, AAV)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• OCT24 Best Picks: ADVANC, CPALL, MTC, GPSC, BJC, AOT, IVL
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7
ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF
• Strategy Update : THB Appreciate
ค่าเงินบาท : เงินบาท/ดอลลาร์ แข็งค่าต่อเนื่องล่าสุด 32.9 บาท (แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน -4 บาทจากสิ้น 2Q24 หรือแข็งค่าราว 10%qtd ผลจาก 1.) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ-ไทยที่มีแนวโน้มแคบลง 2.)Capital Inflow 3.)เศรษฐกิจภายในมีสัญญาณการฟิ้นตัว หลังการเมืองชัด KSS ประเมินแนวโน้มมีโอกาสแข็งค่าต่อ แนวรับสำคัญทางเทคนิคค่าเงินบาทที่ 32.55/32.186 บาท/ดอลลาร์ แนวต้าน 33.17/ 33.34 บาท
ประเมิน Sensitivity เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1 บาท กลุ่มที่มี Upside บวกต่อกำไร มากที่สุดคือ กลุ่มการบิน AAV ทุกๆ 1 บาท Upside 1 พันล้านบาท (54% ของกำไรปี 2024) รองลงมาคือกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM เพิ่มราว 13%, EGCO เพิ่มราว 8%, GULF และ GPSC เพิ่มราว 3-4% ตามลำดับ) กลุ่มเกษตร TVO เพิ่มราว 3% หุ้น Mid /Small Cap ที่เน้นกลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศ คือ MOSHI (นำเข้า 55% ของต้นทุน) KCG (50%) TAN (70%), SABINA (56%) โดยรวมทุกบริษัท ทุกๆ 1% ของค่าเงินที่เปลี่ยนมีผลต่อกำไร ตลาดในปี 2024F เพิ่มราว 1-1.5%. ฯลฯ กลุ่มที่กระทบจากเงินบาทแข็งค่าคือ กลุ่มส่งออก ชิ้นส่วน และ เกษตร มี Downside ราว -2.9%, -1.3% ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุน : ทิศทางเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow และบวกต่อการลงทุน 4Q24 โดยยังคงเป้าดัชนี ณ สิ้นปี 2024 ที่ระดับ 1,540 จุด แนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ค่าเงินบาทแข็งค่า และได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Domestic play เน้น กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF, GPSC กลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มเกษตรเน้น TVO กลุ่ม Mid Small เน้น MOSHI, TAN ICHI
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• INTUCH (Buy, TP105): We remain Buy rating on INTUCH with TP Bt105. As we expected, green light from EGM yesterday will allow investors in INTUCH to have two DPS: one is Bt4.5 as special DPS and another is Bt2 as final DPS. Given the surge in share price yesterday, INTUCH still offers high dividend yield of 6.8%. Earnings prospect in 2H24 also looks stronger than we initially expected; implying higher final DPS of Bt2
• GULF (Unrated): GULF has submitted its most recent ELCID to the SET concerning the resolutions from today's extraordinary general meeting of shareholders. All agenda items for approval received an overwhelming majority, with 99.99% of votes in favor of the amalgamation, the acquisition of ADVANC and THCOM, and the reduction of registered capital. GULF is also obligated to purchase shares from dissenting shareholders, who collectively held only 715,100 shares, representing just 0.0068% of the total votes cast. Consequently, the total cost associated with this matter is not expected to adversely affect GULF's cash flow or financial stability. We view this news positively.
• DELTA (Neutral, TP110): We expect DELTA's core earnings in 3Q24F at Bt5.6b (+12% yoy, -5% qoq). A small decline qoq should come from the appreciation of Thai Baht. We still have a positive outlook on DELTA given that we expect the demand for data center and AI should remain strong going forward. However, due to the limited upside on its share price, we downgrade our recommendation of DELTA from BUY to NEUTRAL with the same TP of Bt110.
• TU (Buy, TP19.3): เรามีมุมมอง "Slightly positive" ต่อแนวโน้มกำไรปกติ 3Q24F คาดที่ 1,510 ลบ. (ทรงตัว y-y, +4%q-q) เพิ่มขึ้น q-q ปัจจัยหลักจากแนวโน้ม GPM สูงโดดเด่นที่ 18.9% (+38bps q-q) เพราะ Product mix และต้นทุนทูน่าต่ำ ประกอบกับผลจากการทำ Right-sizing ของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง คาด FX loss -240 ลบ. จึงคาดกำไรสุทธิที่ 1,270 ลบ. (+5%y-y, +4%q-q) สำหรับโมเมนตั้ม 4Q24F คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้นต่อ q-q จากอุปสงค์เพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ ขณะที่คาด SG&A/sales ลดลง กำไรปกติ 9M24F คิดเป็น 72% ของประมาณการปัจจุบันที่ 5,446 ลบ. (+14%y-y) จึงยังคงประมาณการและคงคำแนะนำ Buy TP25F ที่ 19.30 บ.
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA