"Service Sector + Infra Tech Plays"
KSS Daily Strategy : KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัว" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1445/1438 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่ง ดัชนี S&P500 -0.13% ขณะที่ Dow Jones +0.33% สะท้อนหุ้น Value นำ (พลังงาน, สาธารณูปโภค, สื่อสาร) หลังเงินเฟ้อ PCE สหรัฐ ต่ำคาด +2.7%y-y, +0.1%m-m ถ่วง US Bond Yield 10ปี แกว่งลง -3 bps กลุ่มพลังงานเด่น จากจิตวิทยาบวกสถานการณ์ตะวันออกกลางอิสราเอล vs ฮิซบอลเลาะห์ ผสานผลกระทบพายุต่ออ่าวเม๊กซิโก และ คุณ Harris หาเสียง 2 รัฐฯที่ผลิตก๊าซมากที่สุด หนุนการอนุญาตให้ส่งออกได้ หากชนะเลือกตั้ง หนุนราคาก๊าซธรรมชาติ NYMEX ดีดตัว +5.4% ส่วนภายใน ภาคบริการเด่นขึ้น จากการเข้าสู่ Golden Week ของจีน ตามด้วยช่วงฤดูกาล ขณะที่คาดว่าจะมีการออกมาตรการ เราเที่ยวด้วยกัน และการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นบริโภค สร้างความต่อเนื่องในปี 2025 มอง SET วันนี้ฟื้น หุ้นนำ คือ กลุ่มได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ) กลุ่มอิงภาคบริการ (ท่องเที่ยว ค้าปลีก) กลุ่มพลังงานต้นน้ำ กลุ่มลุ้นความคืบหน้า Infra Tech จาก Google เตรียมพบนายกวันนี้ แนะนำ AOT, ADVANC, GPSC เด่น
Daily outlook: "ฟื้นตัว" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1445/1438 จุด
What happened around the world ?
(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวแม้ PCE สหรัฐออกมาดีกว่าคาด Dow jones (+0.33% Chevron +2.46%, Visa +1.3%), S&P500 -0.13%d-d Nasdaq -0.4%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นคือ กลุ่ม Energy Utilities, Materials, ICT , Financials ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ปรับลงและ Underperform นำโดย IT, Materials ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น Alibaba +2.1% (ปรับขึ้นต่อมีจิตวิทยาหนนุจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจากจีน) ฯลฯ
(*)US Econ : 1.) เงินเฟ้อสหรัฐ ส.ค. +0.1%m-m ดีกว่าคาดและลดลงจากเดือนก่อนที่ +0.2% Core PCE ไม่มีคาด prev +2.6%y-y, +0.2%m-m และตัวเลขเทียบจากปีก่อนหน้าลดลงอยู่ที่ 2.2%y-y ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.3% prev. 2.5% เช่นเดียวกับเงินเฟ้อ Core PCE (ตัดอาหารสดและพลังงาน)เดือน ส.ค. ที่ +0.1% m-m , +2.7y-y ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย 2.)ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม มิชิแกน เร่งขึ้นติดต่อกัน 3 เดือนติด อยู่ที่ 70.1 จุด 3.) Fed Atlanta คาดการณ์ GDP Now สหรัฐ 3Q24 ดีขึ้นจากรอบก่อนที่ 3.1%q-q prev. 2.9% โดยรวมทำให้ KSS ประเมินความเชื่อเศรษฐกิจสหรัฐ Soft Landing คือ เศรษฐกิจยังขยายตัว และเงินเฟ้อลดลง หนุนความเชื่อภาวะ Goldilock มองเป็นปัจจัยบวกหนุนต่อตลาดหุ้นฃ
(*) Japan ปลายสัปดาห์คุณ ชิเกรุ อิชิบะ (Shigeru Ishiba) ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค LDP (พรรคเสรีประชาธิปไตย) ของญี่ปุ่น โดยการที่อิชิบะได้รับตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นการส่งเสริมทิศทางนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เนื่องจากเขาสนับสนุนแผนการค่อยๆ ขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางซึ่งส่งผลให้ตลาดการเงินตอบสนองคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจจะค่อยๆ ขยับขึ้นเงินเยนแข็งค่าขึ้นวันศุกร์ โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น KSS ยังคงมุมมองเดิมคือ ให้น้ำหนักตลาดหุ้น ญี่ปุ่นเพียง Neutral
(*/+) China Property Stimulus วันศุกร์เมืองใหญ่ของจีน อาทิ เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น กำลังวางแผนที่จะยกเลิกข้อจำกัด เพื่อดึงดูดผู้ซื้อบ้านที่มีศักยภาพ คือ จะอนุญาตให้ประชาชนจากเมืองอื่น ๆ ของจีนสามารถซื้อบ้านในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นได้ (ก่อนหน้านี้การซื้อบ้านในเมืองเหล่านี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเพราะความกังวลเรื่องการเก็งกำไร) คาดจะประกาศในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ตามรอยอีกหลายเมืองของจีนที่ยกเลิกข้อจำกัดแล้ว มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม China Play เน้น SCC, STA
(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 1 ต.ค. PMI ภาคผลิต (ISM) ไม่มีคาด 3 ต.ค. PMI ภาคบริการ (ISM) ไม่มีคาด 4 ต.ค. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.ย.24 ตลาดคาด 1.4 แสนตำแหน่ง อัตราว่างงาน ตลาดคาด 4.2% ฝั่งยุโรป 1 ต.ค. เงินเฟ้อ CPIก.ย.24 ไม่มีคาด vs prev. 2.2%y-y, 0.1%m-m ฝั่งจีน 30 ก.ย. PMI ผลิต จีน ตลาดคาด 49.5 จุด PMI ภาคบริการ ตลาดคาด 50.4 จุด Caixin PMI ผลิต ตลาดคาด 50.5 จุด และ Golden Week: 1-7 ต.ค.ติดตามกระแสท่องเที่ยวชาวจีนในช่วง (Golden Week)
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ พลิกปรับลงรับเงินเฟ้อ PCE ต่ำคาด อายุ 2 ปี ปรับขึ้นอีกครั้ง -7 bps อยุ่ที่ 3.55% อายุ 10 ปี -3 bps อยู่ที่ 3.75% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC BGRIM GULF กลุ่มชิ้นส่วน DELTA HANA ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าบริเวณ 100.1
(*/+) Oil : น้ำมันดิพลิกบวกอีกครั้ง Brent +0.53%d-d ปิดที่ US$ 71.98/barrel. น้ำมันดิบ West Texas +0.75%d-d ปิดที่ US$ 68.18/barrel แรงหนุนจากความตึงเครียดสงครามในตะวันออกลางหลังอสราเอลโจมตีสำนักงานใหญ่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ผสานคาดการณ์เศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นจากมาตรการกรกะตุ้น โดยรวมเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
What happened in Thailand ?
(*/-) SET : SET Index ปรับลง -4.88 จุด (-0.34%) ปิดที่ 1450.15 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.05 หมื่นล้านบาทสอดคล้องตลาดหุ้นฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ ตลาดรอการรายงานเงินเฟ้อ PCE Sector ที่ปรับขึ้นหนุนดัชนีคือ กลุ่ม ขนส่ง BA, AAV, AOT หนุนจากรับกระแส Golden week จีนจะเดินทางท่องเที่ยวไทย กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCC, TASCO หนุนจากราคาน้ำมันดิบลง ต้นทุนลดลง ฯลฯ กลุ่มที่กดดัชนีคือ ส่วนใหญ่คือ กลุ่ม ธนาคาร BBL, KBANK ลดความเสี่ยงก่อนรายงานกำไร 3Q24 และก่อนการพบกันระหว่าง รมว. คลัง และผู้ว่า BOT ที่จะหารือประเด็นเงินบาทแข็งค่าเร็ว และกรอบเงินเฟ้อใหม่ และกลุ่ม พลังงาน PTTEP ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง
(-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -264.3 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -56 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net short -5,935 สัญญา เงินบาทแข็งค่าทรงตัว 32.35 +/- บาท
(+) TH Tourism : กระแสหุ้นท่องเที่ยวเป็นบวก 1.) ใกล้เข้าสู่ช่วง Golden Week นักท่องเที่ยวจีน 1-7 ต.ค. ล่าสุดเริ่มเห็นแนวโน้มของนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น จากปกติประมาณ 20-25% AOT คาดว่าภาพรวมของไฮซีซั่น หรือไตรมาส 4 ของปีนี้ ผู้โดยสารรวมจะกลับมาได้เทียบเท่ากับ Pre-COVID และ 2.) นักท่องเที่ยวมาเลเซีย ไต้หวัน จีนเตรียมร่วมงานภูเก็ตเตรียมจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก 3-11 ต.ค. 24 คึกคัก ห้องพักถูกจอง 77% คาดการณ์เงินสะพัด 1.5 หมื่นล้านบาท 3.) ภาคการท่องเที่ยวในปี 2025 มีแผนที่จะนำโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" กลับมาอีกครั้ง คือ รัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายโรงแรมที่พัก และค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน ฯลฯ แคมเปญอาจจะออกมาในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2568 เพื่อใช้ในช่วงหน้าฝน ซึ่งจะเน้นไทยเที่ยวไทยเป็นหลัก โดยมองกลุ่มอิงบริการในประเทศจะได้ผลบวก อาทิ สนามบิน AOT กลุ่มสายการบิน AAV BA กลุ่มโรงแรม ERW CENTEL AWC กลุ่มบริการ SPA
(+) Thai Government Stimulus : รัฐบาลเตรียมเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2025 โดยนอกเหนือจากมาตรการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ดังกล่าวข้างต้น มาตรการอิงบริโภค จะนำมาตรการ "คนละครึ่ง" แจกเงิน ให้กับประชาชน นำไปซื้อสินค้า ด้วยวิธีการร่วมจ่าย (Co-pay) มองบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก TNP KK CPAXT กลุ่มการเงิน
(*/+) Flood Recovery : สถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันกระทรวงการคลัง เตรียมเรื่อง Soft Loan สำหรับการฟื้นฟูกิจการ และซ่อมแซมที่อยู่อาศัย รวมวงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายกลุ่ม Micro SME ขึ้นไป รวมไปถึงบุคคลธรรมดา มองบวกต่อกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ก่อน คือ การนำเงินไปซ่อมแซ่ม+ปรับปรุงบ้าน อาทิ DOHOME, GLOBAL, HMPRO
(*/+) Google x Thailand : วันนี้ (30 ก.ย.) นายกฯ เตรียมเปิดทำเนีนบรัฐบาลต้อนรับนางรูธ โพรัท ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนของ Alphabet และ Google เพื่ออัพเดตความคืบความร่วมมือระหว่าง Google กับประเทศไทย แนะนำติดตามหาก Google ประกาศลงทุนเพิ่มเติม เรามองบวกต่อหุ้นในธีม Infra Tech อาทิ WHA, GULF, GPSC, INSET, ADVANC, TRUE ระยะสั้น เน้นโรงไฟฟ้า GPSC, GULF ที่มีปัจจัย Yield ดิ่งลงตามวงจรดอกเบี้ยและเงินบาทแข็งค่าเป็นแรงหนุน
(*/+) SSO : ในสิ้นปี 2024 มีรพ.เอกชน 2 แห่งที่แจ้งถอนตัวออกจากการเป็นคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม ได้แก่ รพ.ซีจีเอชสายไหม และรพ.กรุงเทพสุราษฎร์ธานี แม้เป็นปกติที่มี รพ. เข้าออกระบบประกันสังคมแต่ละปีอยู่แล้ว กรณี รพ.ซีจีเอส สายไหม มองเป็นโอกาสต่อ BDMS เนื่องจาก รพ.พญาไท นวมินทร์ อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง และมีโควต้าเหลือ ส่วนประเด็นความชัดเจนการจ่ายค่าบริการสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ปี 2024 และปี 2025 น่าจะมีความชัดเจนวันที่ 16 ต.ค.24 ซึ่งหากคงอัตราจ่ายที่ 12,000 บาท/RW จะไม่มีผลกระทบต่อประมาณการ BCH และ CHG คงคำแนะนำ Bullish ต่อกลุ่มการแพทย์ หุ้นเด่นเลือก BDMS (TP 38 บาท) และ CHG (TP 3.20 บาท)
(*) To Monitor: : สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม 1.) 30 ก.ย. ดุลบัญขีเดินสะพัด ส.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 0.3 พันล้านเหรียญฯ 2.) ติดตามการประชุม ครม. คาดว่าเริ่มมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จับตา 3 เรื่อง คือ มาตรการอสังหาฯ มาตรการท่องเที่ยว และการอนุมัติโครงการ Mega Projects หลังจากสัปดาห์ก่อนเน้นหนักไปที่การจัดสรรงบกลางปี 2567 ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ 3.) 1 ต.ค. เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เริ่มเข้าตลาดเป็นวันแรก 4 ) ติดตามการหารือกันระหว่างกระทรวงการคลังกับ BOT ในส่วนเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว และกรอบเงินเฟ้อใหม่ 5.) ปลายสัปดาห์เข้าสู่เทศกาลกินเจ 3-11 ต.ค. 24 มองจิตวิทยาลบกลุ่มจำหน่ายเนื้อสัตว์ (CPF, GFPT, BTG) และจิตวิทยาบวกต่อหุ้นได้ประโยชน์ช่วงเทศกาลกินเจ (CPALL, TVO) .6.) 1-7 ต.ค. ติดตาม กระแสท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงวันหยุดยาว (Golden Week) มองกระแสมีโอกาสคึกคัก หนุนจิตวิทยาบวกต่อหุ้นการบิน ท่องเที่ยว และกลุ่ม China Plays
Daily Strategy : AOT, ADVANC, GPSC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "ฟื้นตัว" ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัว แม้รายงานเงินเฟ้อ PCE ออกมา +0.1%m-m ต่ำกว่าคาด แต่ยังมีหุ้นฝั่ง Value นำ (พลังงาน, สาธารณูปโภค และสื่อสาร) โดยกลุ่มพลังงานมีแรงหนุนจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมเรามองจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงฝั่งอาเซียน ส่วนภายใน กลุ่มเด่นมองฝั่งภาคบริการ จากการเข้าสู่ Golden Week ของจีน ตามด้วยช่วงฤดูกาล ขณะที่คาดว่าจะมีการออกมาตรการ เราเที่ยวด้วยกัน และการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นบริโภค สร้างความต่อเนื่องในปี 2025 วันนี้มองกลุ่มเด่น คือ กลุ่มได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ) กลุ่มอิงภาคบริการ (ท่องเที่ยว ค้าปลีก) กลุ่มพลังงานต้นน้ำ กลุ่มได้ประโยชน์ช่วงเทศกาลกินเจ (CPALL, TVO)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, SCGP, DOHOME, GLOBAL, AOT, AAV)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : THB Appreciate
ค่าเงินบาท : เงินบาท/ดอลลาร์ แข็งค่าต่อเนื่องล่าสุด 32.9 บาท (แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน -4 บาทจากสิ้น 2Q24 หรือแข็งค่าราว 10%qtd ผลจาก 1.) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ-ไทยที่มีแนวโน้มแคบลง 2.)Capital Inflow 3.)เศรษฐกิจภายในมีสัญญาณการฟิ้นตัว หลังการเมืองชัด KSS ประเมินแนวโน้มมีโอกาสแข็งค่าต่อ แนวรับสำคัญทางเทคนิคค่าเงินบาทที่ 32.55/32.186 บาท/ดอลลาร์ แนวต้าน 33.17/ 33.34 บาท
ประเมิน Sensitivity เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1 บาท กลุ่มที่มี Upside บวกต่อกำไร มากที่สุดคือ กลุ่มการบิน AAV ทุกๆ 1 บาท Upside 1 พันล้านบาท (54% ของกำไรปี 2024) รองลงมาคือกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM เพิ่มราว 13%, EGCO เพิ่มราว 8%, GULF และ GPSC เพิ่มราว 3-4% ตามลำดับ) กลุ่มเกษตร TVO เพิ่มราว 3% หุ้น Mid /Small Cap ที่เน้นกลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศ คือ MOSHI (นำเข้า 55% ของต้นทุน) KCG (50%) TAN (70%), SABINA (56%) โดยรวมทุกบริษัท ทุกๆ 1% ของค่าเงินที่เปลี่ยนมีผลต่อกำไร ตลาดในปี 2024F เพิ่มราว 1-1.5%. ฯลฯ กลุ่มที่กระทบจากเงินบาทแข็งค่าคือ กลุ่มส่งออก ชิ้นส่วน และ เกษตร มี Downside ราว -2.9%, -1.3% ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุน : ทิศทางเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow และบวกต่อการลงทุน 4Q24 โดยยังคงเป้าดัชนี ณ สิ้นปี 2024 ที่ระดับ 1,540 จุด แนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ค่าเงินบาทแข็งค่า และได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Domestic play เน้น กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF, GPSC กลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มเกษตรเน้น TVO กลุ่ม Mid Small เน้น MOSHI, TAN ICHI
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• ADVANC (Buy, TP300): ADVANC is on our Buy list with a higher TP of Bt300 (from Bt280) after moving valuation period to end-2025. As a dividend play, the counter will continue to benefit from the interest rate downcycle. The recent correction in the share price has pushed up 2024F dividend yield to 3.8%, with upside risk to earnings as Q4 is peak season for ADVANC. And, 3Q24 earnings would be relatively strong, rising 12% yoy but slipping 2% qoq due to seasonal factors. ADVANC offers 18% earnings growth this year and another 6% next year.
• Soft Commodity (Neutral): สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง +8.2%w-w เพราะบราซิลประสบปัญหาไฟป่าทำลายพื้นที่เพาะปลูกอ้อยทำให้ผลผลิตน้ำตาลบราซิลในครึ่งหลังเดือน ส.ค.24 ลดลง -6%y-y ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่ม +5.3%w-w เพราะความต้องการของอินเดียเพิ่มขึ้นและคาดอินโดนีเซียจะเพิ่มการผสมไบโอดีเซลจาก 35% ในปี 24 เป็น 50% ในปี 25F ราคาถั่วเหลืองเพิ่ม +3.4%w-w จากภาวะภัยแล้งในบราซิลทำให้การเพาะปลูกถั่วเหลืองล่าช้าและอาจได้ผลผลิตต่ำกว่าคาด ราคายางพาราเพิ่ม +3.2%w-w จากความต้องการยาง EUDR ขณะที่ผลผลิตยางเข้าสู่ตลาดน้อยลง เกิดจากภาวะฝนตกหนัก ขณะที่ผู้ส่งออกเร่งซื้อยางเพื่อส่งออก
อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ -2.5%w-w มาที่ 39.70บาท (ต้นทุน 37-38 บาท) ราคาสุกรทรงตัวที่ 73.5 บาท (ต้นทุน 68-77 บาท) เพราะภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ทำให้กำลังซื้อลดลง ราคาสุกรจีน -0.6%w-w มาที่ 18.86 หยวนหรือ 88.60 บาท (ต้นทุนการเลี้ยงที่ 16.50 หยวน) เพราะความต้องการลดลง ราคาสุกรเวียดนาม +2.6%w-w มาที่ 67,000 ดองหรือ 93.80 บาท เพราะภาวะฝนตกหนักในภาคเหนือทำให้การขนส่งสุกรล่าช้า
เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เราให้ Top pick CPF (TP25F 31) ได้ภาพบวกทั้งราคาสุกรจีน-เวียดนาม-ไทยที่เพิ่มขึ้น การส่งออกไก่ที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนถั่วเหลืองลดลง ค่าเงินบาทแข็งมีผลเป็นกลางต่อ CPF เพราะเป็น Natural hedge (มีทั้งส่งออกและนำเข้าเงินต่างประเทศ) และ GFPT (TP25F 17.30) แนวโน้มการส่งออกไก่โตและราคาไก่เพิ่ม ต้นทุนถั่วเหลืองลดลงและเป็น Natural hedge
• Healthcare(Bullish): เรามองว่ารพ.เอกชน 2 แห่ง (รพ.กรุงเทพ สุราษฎร์, รพ.ซีจีเอส สายไหม) ถอนตัวจากคู่สัญญาของประกันสังคมไม่เป็นปัจจัยลบต่อกลุ่ม รพ. เนื่องจาก 1) ในแต่ละปีจะมีรพ.เอกชน ยื่นเข้าร่วมหรือถอนตัวจากคู่สัญญาประกันสังคมตามปกติ และ 2) เป็นโอกาสของรพ.เอกชนในพื้นที่ใกล้เคียง และมีโควต้าเหลือสามารถรับผู้ประกันตนเพิ่ม กรณี รพ.ซีจีเอส สายไหม มองเป็นโอกาสต่อ BDMS เนื่องจาก รพ.พญาไท นวมินทร์ อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง และมีโควต้าเหลือ ส่วนประเด็นความชัดเจนการจ่ายค่าบริการสำหรับโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ปี 2024 และปี 2025 น่าจะมีความชัดเจนวันที่ 16 ต.ค.24 ซึ่งหากคงอัตราจ่ายที่ 12,000 บาท/RW จะไม่มีผลกระทบต่อประมาณการ BCH และ CHG คงคำแนะนำ Bullish ต่อกลุ่มการแพทย์ หุ้นเด่นเลือก BDMS (TP 38 บาท) และ CHG (TP 3.20 บาท)
• BDMS(Buy, TP38): เรามองว่าการยกเลิกให้บริการประกันสังคมของ รพ.กรุงเทพ สุราษฎร์ จะมีผลกระทบน้อยต่อ BDMS เนื่องจาก 1) รพ.กรุงเทพ สุราษฎร์ มีสัดส่วนผู้ประกันตนราว 2% ของจำนวนผู้ประกันตนรวม 9.5 แสนราย 2) สามารถให้บริการลูกค้าเงินสดเพิ่มขึ้นจากการใช้บริการมีแนวโน้มเติบโตดี และ 3) ในปี 2025F จะมีโควต้าเพิ่มจาก รพ.พญาไท ศรีราชา 2 ทำให้มีโอกาสเพิ่มจำนวนผู้ประกันตนเข้ามาชดเชยได้ โดย BDMS ยังคงเป้าหมายปี 2025F มีจำนวนผู้ประกันตน 1 ล้านราย ซึ่งเรามองว่ามีความเป็นไปได้สูง ประกอบกับในปี 2025F รพ.พญาไท บ่อวิน เปิดบริการและยื่นขอโควต้าผู้ประกันตน ทำให้มีจำนวน รพ.ให้บริการลูกค้าประกันสังคมรวม 12 แห่งเท่าเดิม คงคำแนะนำ Buy สำหรับ BDMS (TP 38 บาท) เลือกเป็นหุ้นเด่นร่วมกับ CHG (TP 3.20 บาท)
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP