ปัจจัยแวดล้อมเป็นใจ ให้ลดดอกเบี้ย
ตัวเลข PMI ในยุโรป และ สหรัฐที่ประกาศออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้เกิดกระแสความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และมีผลต่อเนื่องไปยังทิศทางดอกเบี้ยว่าอาจจะปรับลดลงแรงกว่าที่คาด โดย FEDWATCHTOOL แสดงความน่าจะเป็น 54.8% ที่จะเห็นการลดดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุม 7 พ.ย.67 กลับมาที่บ้านเราปัจจัยแวดล้อมดังกล่าวส่งผลทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องโดยล่าสุดต่ำกว่า 33 บาท/USD สร้างกระแสเรียกร้องให้ ธปท. เข้ามาดูแล ซึ่งเรามองว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะเห็นการปรับลดดอกเบิ้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้งในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ ในมุมของFUND FLOW เชื่อว่าน่าจะเห็นเม็ดเงินจากนักลงทุถนต่างชาติไหลเข้ามาต่อเนื่อง และเมื่อรวมกับ กองทุนวายุภักษ์ และTHAILAND ESG FUND ก็น่าจะทำให้SET INDEX ขยับตัวขึ้นได้ยังเห็นสัญญาณบวกจาก FUND FLOW ทั้งจากต่างประเทศ และ ในประเทศ ทำให้ SET INDEX ยังอยู่ในแนวโน้มขึ้น วันนี้คาดกรอบ 1440 –
1457 จุด หุ้น TOP PICK เลือก CPALL, CPN และTASCO
สัญญาณดอกเบี้ยขาลงยังชัดเจน
FED มั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม ทำให้วันที่18 ก.ย. ที่ผ่านมา มีการปรับดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีลดลง 0.5% สู่ระดับ 5.0% ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้DOT PLOT คาดลดดอกเบี้ยลงอีกอย่างน้อย 0.5% สู่ระดับ 4.5%วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในสหรัฐฯ มีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุดประธาน FEDหลายสาขา อาทิ CHICAGO, ATLANTA, MINNEAPOLIS ฯลฯ ต่างออกมาประสานเสียงหนุนการปรับลดเบี้ย (รายละเอียดดังตามรางด้านล่าง)
นอกจากนี้ LEADING INDECATOR อย่างเช่นดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือน ก.ย. 67ที่รายงานออกมาล่าสุดวานนี้ อยู่ที่ 47.0 จุด ต่ำกว่าตลาดคาด 48.6 จุด และยังชะลอตัวต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 บ่งชี้ภาคการผลิตยังคงอยู่ในภาวะหดตัวหนุนให้ตลาดฯ เทน้ำหนักให้มากกว่าครึ่ง (54.8%) ที่คาดว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ในการประชุมรอบเดือน พ.ย. นี้
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้ ยังมี2 ประเด็นสำคัญที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1. วันพฤหัสบดีที่25 ก.ย. 67 ติดตาม JEROME POWELL ประธาน FED จะกล่าวเปิดงานก่อนการประชุม TREASURY MARKET CONFERENCEประจำปี 2024
2. วันศุกร์ที่ 26 ก.ย. 67 ติดตามรายงานตัวเลขเงิน PCE สหรัฐฯ เดือน ส.ค. 67CONSESUS คาดว่าจะเห็นการย่อตัวลงมาอยู่ที่ +2.3%YOY
สรุป กลไกทิศทางดอกเบี้ยขาลงในสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ หลังตัวเลขเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางดอกเบี้ยไทยในปัจจัจจุบันยังคงตรึงไว้ที่2.5% หนุนให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวมเร็ว ส่วนในระยะถัดไปหากสัญญาณการลดดอกเบี้ยในบ้านเรายังไม่เกิดขึ้น เชื่อว่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่าต่อ
ลุ้น กนง. ลดดอกเบี้ย เพื่อพยุงภาคส่งออก และค่าเงินบาทรัฐบาลชุดใหม่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน นโยบายการคลังมากขึ้น อาทิกระทรวงการคลังเตรียมการจ่ายเงินในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ในช่วง 25-30 ก.ย.67 ประเด็นดังกล่าว คาดหนุนให้ GDP GROWTH ไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 3% ดังที่ปลัดกระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่เตรียมหารือ ธปท.เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายทางการเงินในอนาคต ซึ่งคาดหมายถึงการดำเนินนโยบายการเงิน-การคลัง ให้สอดคล้องกันมากขึ้น เพื่อที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรง อีกทั้งยังช่วยผลักดันGDP GROWTH ได้ เนื่องจากมูลค่าส่งออก และการท่องเที่ยว คิดเป็นสัดส่วน 65-70% ของมูลค่า GDP ไทย
โดยฝ่ายวิจัยฯคาดว่า กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้1 ครั้ง (25 BPS.) ผ่านการประชุม กนง.ที่เหลืออยู่ 2 ครั้งในปีนี้ คือ ประชุม กนง. ครั้งที่ 5/67 :16 ต.ค. 67 และประชุม กนง. ครั้งที่ 6/67: 18 ธ.ค. 67 สะท้อนตาม BOND YIELD ไทยอายุ1 ปีถึง 10ปี ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่2.50% ทั้งหมด
ขณะที่ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าแร็วและแรง ตามกลไกของ DOLLAR INDEX ที่อ่อนค่าตั้งแต่ต้นไตรมาส ค่าเงินบาท แข็งค่ากว่า 10.3%(QTD) ซึ่งหากค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ระดับดังกล่าว จนถึงสิ้นปี อาจกระทบต่อภาคการส่งออกสูงถึง 1.3 แสนล้านบาท(ตามการคาดการณ์ของตลาดฯ) ซึ่งจากข้อมูลในอดีต เวลาเงินบาทแข็งค่า มักกดดันให้สัดส่วน “มูลค่าส่งออก/GDP ลดลง” โดยมีค่า CORRELATION ระหว่างกันสูงถึง 0.7
วันนี้ต้องติดตามตัวเลขส่งออก-นำเข้า ประจำเดือน ส.ค.67 ว่าจะออกมาเช่นไร โดยทางBLOOMBERG CONSENSUS ประเมินว่าตัวเลขส่งออกอยู่ที่ +6.0%YOY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +15.2%YOY
สรุป ลุ้น กนง. ลดดอกเบี้ยภายในปีนี้ เพื่อพยุงภาคส่งออก และการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนสูงถึง 65-70% ของมูลค่า GDP ไทย และช่วยพยุงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปมากกว่านี้ ซึ่งหากมีการลดดอกเบี้ยจริง จะช่วยหนุน UPSIDE ของ TARGET SET ปีนี้ราว 60 จุด
เห็นสัญญาณการปรับประมาณการกำไรขึ้นเล็กๆ
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากฐานที่ต่ำ โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน GDPGROWTH ไทยช่วง 2H67 มีโอกาสเติบโตเด่น 4.1% จึงจะเท่ากับที่กระทรวงการคลังประเมินทั้งปี 2567 เติบโต 3% และเป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำช่วง 1H67 ที่ 1.9% อีกทั้งยังสูงกว่า GDP GROWTH 2H67 สหรัฐฯ ที่ทาง BLOOMBERG คาดเหลือ 2.1%ส่วนในมุมกำไรบริษัทจดทะเบียนเห็นสัญญาณเล็กๆ ในการทยอยปรับประมาณการกำไรขึ้นในเดือน ก.ย. นี้ โดยจากข้อมูล BLOOMBERG CONSENSUS ประเมินEPS67F ที่91.5 บาท/หุ้น และ EPS68F ที่ 102.7 บาท/หุ้น
ขณะที่ฝ่ายวิจัย ASPS ประเมินแบบอนุรักษ์นิยมกว่าตลาด EPS67F ที่91.4 บาท/หุ้นและ EPS68F ที่ 98.8 บาท/หุ้น หนุน EPS GROWTH ไทย 67F คาดจะเติบโตได้สูง13%, และปี 68F อีก 8%
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการคัดกรองหุ้นน่าเก็งกำไร หลัง BLOOMBERG
CONSENSUS ปรับเป้าหมายหุ้นขึ้นในเดือน ก.ย. (MTD) คาดอาจมีการทยอยปรับประมาณการขึ้นต่อ รวมถึงเม็ดเงินทยอยไหลเข้าเพิ่มเติมได้ อาทิ TASCO, EGCO,TIDLOR, BANPU, MTC, BCPG, VGI, KKP, SAWAD, BAM, GUNKUL, TRUE,IVL, KTB, KBANK ฯลฯ
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์