"Domestic Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัว" ต้าน 1458/1462 จุด รับ 1442/1438 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้น ดัชนี S&P500 +0.28% หนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐประคองตัวได้ แม้ดัชนี PMI ผลิต ก.ย.24 (เบื้องต้น) จะต่ำกว่าคาด อยู่ที่ 47 จุด หดตัว (< 50 จุด) เป็นเดือนที่ 3 vs prev. ที่ 47.9 จุด แต่ภาคบริการ (65-70% ของ GDP) ดีกว่าคาด อยู่ที่ 54.4 จุด ทรงจาก prev. และอยู่ในระดับขยายตัวนับจาก ก.พ.23 ยังเป็นจิตวิทยาหนุนสินทรัพย์เสี่ยง ฝั่งเอเชียจีน PBOCประกาศลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (reverse repurchase rate) 14 วัน ลง 10 bps และวันนี้ติดตามผู้ว่า PBOC แถลงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนภายใน แรงขับเคลื่อนยังอยู่ที่พัฒนาการเศรษฐกิจที่คาดหวังได้จากประชุม ครม. คาดมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว และ Mega Projects ผสานเม็ดเงินใหม่กองทุนวายุภักษ์ และโอกาสเห็นการเพิ่มน้ำหนักจากการ Rebalance ดัชนี MSCI และ FTSE ระยะถัดไป มอง SET วันนี้ฟื้น หุ้นนำ คือ หุ้น Domestic (ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, รับเหมา, ธนาคาร เช่าซื้อ) หุ้นได้ประโยชน์วงจรดอกเบี้ยขาลง เงินบาทแข็งค่า (การบิน โรงไฟฟ้า) หุ้น China Plays เก็งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้แนะ AOT, BBL, GPSC
Daily outlook: "ฟื้นตัว" ต้าน 1458/1462 จุด รับ 1442/1438 จุด
What happened around the world ?
(+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวขึ้นเล็กน้อย รับ PMI ภาคบริการยังแกร่ง แม้ ภาคผลิตยังชะลอ รอรายงานเงินเฟ้อ PCE วันศุกร์ Dow jones (+0.15% ), S&P500 +0.28%d-d Nasdaq +0.14%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นคือ กลุ่ม Energy, Consumer discretionary, Real estate, utilities ส่วนกลุ่มที่ปรับลงและ Underperform นำโดย Health care ,ICT,IT ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น Tesla +4.9%, Intel +3.3% , AMAZON +1.2%
(+)US Econ : Flash PMI ภาคผลิต ก.ย. ลดลงอยู่ที่ 47.0 จุด < 50 จุด สะท้อนภาคผลิตอยู่ในภาวะหดตัว และต่ำกว่า คาด 48.5 จุด แต่ PMI ภาคบริการยังแข็งแกร่ง อยู่ที่55.4 จุดดีกว่าตลาดคาด (ภาคบริการมีสัดส่วน 70%ของGDP สหรัฐสูงกว่าภาคผลิตราว 11%) โดยรวมทำให้ PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้น เดือนก.ย. ปรับตัวลงสู่ระดับ 54.4 ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน KSS ประเมินหนุนความเชื่อเผศรษฐกิจสหรัฐยังเป็นภาพ Soft landing
(*) USGovernment Shutdown : งบประมาณสหรัฐ ปัจจุบันมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์จะหมดลงใน 30 ก.ย. โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ Mike Johnson เสนอร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวระยะเวลา 3 เดือน (สภาล่างจะโหวตวันพุธ 25 ก.ย. KSS ประเมินมีโอกาสที่จะผ่านทั้ง 2 สภา กรณี Worst Case หากไม่ผ่านวันพุธ อิงจากสถิติช่วงที่เกิด Government Shutdown ในอดีต พบว่าตลาดหุ้นสหรัฐมักจะลง ก่อนปรับตัวกลับขึ้นมาได้เมื่อมีความชัดเจน
(*) US Tradewar : ประธานาธิบดี ไบเดน" กำลังพิจารณาปรับนโยบายการกีดกันการค้าอุตสาหกรรมรถยนต์ EV จีน คือ แบนการนำเข้ารถ EV จีน ทั้งหมดไม่ให้เข้าอเมริกา จากเดิมคือ การขึ้นภาษีรถจีนเท่านั้น KSS ประเมินหนุนกระแสย้ายฐานการผลิตมายังประเทศอาเซียน อาทิ ไทย มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม อาทิ WHA, AMATA
(*)China Interest rate : ธนาคารกลางจีน (PBoC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (reverse repurchase rate) ระยะ 14 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นลง 0.10% จาก 1.95% เป็น 1.85% ** เรามองเป็น Positive Surprise กับตลาด และคาดว่าจะเห็นรัฐบาลจีนเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมโดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืน อายุ 7 วัน ( reverse repo, 1.75%) ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนแทนอัตราดอกเบี้ย MLF อายุ 1 ปีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงการลดอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR, 7%) เพื่อกระตุ้นให้ธนาคารเร่งปล่อยกู้มากขึ้น เบื้องต้นมีรายงานว่าทางการจีนจะชี้แจงรายละเอียดถึงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินให้กับประชาชนและนักลงทุนได้ทราบในเช้าวันนี้ หากจีนผ่อนคลายนโยบายการเงินตามที่เราคาดไว้จะเป็นจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง รวมไปถึงตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค และ เป็นบวกต่อกลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน อาทิ SCGP, STA, SCC และ IVL
(+) KR Econ: เกาหลีใต้รายงานยอดส่งออก 20 วันแรกของเดือน ก.ย. ลดลง 1.1%yoy จากการหดตัวของยอดส่งออกรถยนต์ (-8%yoy) และชิ้นส่วนยานยนต์ (-13.3%yoy) อย่างไรก็ตามหากปรับผลของวันทำการที่ไม่เท่ากัน (ปี 2023 หยุดวันไหว้พระจันทร์ตรงกับวันที่ 16-18 ก.ย., ปีนี้หยุดวันที่ 28-30 ก.ย.) พบว่ายอดส่งออกเพิ่มขึ้น 18%yoy โดยหลักเป็นการเพิ่มขึ้นจากการส่งออกกลุ่มชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้น 26.2%yoy และ 42.5%mom (20 วันแรกของเดือน ส.ค.) และมียอดส่งออกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น 75.6%yoy ** จากข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึงดีมานด์สินค้าทางด้านเทคโนโลยียังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะชิปประมวลผลและกลุ่มชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ต่างๆ สอดคล้องกับยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์จากสิงคโปร์ที่รายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นไปในทิศทางเดียวกันเรามองเป็นสัญญาณบวกต่อแนวโน้มยอดขายและยอดส่งออกกับผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ในบ้านเรา (DELTA, KCE, HANA) มีโอกาสโตต่อเนื่องใน 3Q24
(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 24 ก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conf. Board ส.ค. คาด 102.8 จุด 26 ก.ย. GDP งวด 3Q24 รายงานครั้งที่สาม คาด +2.9%q-q จากรายงานรอบก่อน +3.0%q-q, 27 ก.ย. ติดตามเงินเฟ้อ Core PCE ส.ค. ไม่มีคาด เดือนก่อน +2.6%y-y, +0.2%m-m ฝั่งจีน 25 ก.ย. ติดตามการตัดสินใจดอกเบี้ยกู้ยืมอายุ 1 ปี (1yr Facility Rate) ของ PBOC คาดคงไว้ที่ระดับ 2.3%
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ เป็นภาพแกว่งออกข้าง อายุ 2 ปี ปรับลง -1 bps อยุ่ที่ 3.58% อายุ 10 ปี +1 bpsแกว่งอยู่ที่ 3.75% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ส่วน Dollar Index แกว่งตัวบริเวณ 100.6 จุด
(*/-) Oil : น้ำมันดิบ Brent -1.16%d-d ปิดที่ US$ 73.6/barrel. น้ำมันดิบ West Texas -1.7%d-d ปิดที่ US$ 710.66/barrel แรงกดดันจาก PMI ภาคผลิตสหรัฐออกมาต่ำคาด ทำให้ตลาดกังวลการบริโภคน้ำมันประเทศหัวเรือใหญ่ เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
What happened in Thailand ?
(*) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวลดลง -3.79 จุด หรือ -0.26% ปิดโซนแนวรับ 1447.9 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มธนาคาร (KTB, TTB, SCB, KBANK) มองหุ้นเริ่มฟื้นตัวได้ จากความคาดหวังเชิงบวกต่อเศรษฐกิจภายในจะฟื้นตัวระยะถัดไป ช่วยชดเชยผลกระทบที่กังวล Downside โอกาสปรับลดดอกเบี้ยช่วงสัปดาห์ก่อน กลุ่มประกัน (TLI) มองตลาดให้น้ำหนักผลบวกเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อธุรกิจประกัน รวมถึงการปรับใช้นโยบายบัญชีใหม่ระยะถัดไป จะหนุนความผันผวนงบการเงินลดต่ำลง กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) มองถูกขายทำกำไรและลดความเสี่ยงก่อนรายงานนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์ออกช่วงทุกวันอังคาร หลังสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นเด่น กลุ่มเช่าซื้อ (MTC) เรามองจิตวิทยาลบจาก Bond Yield ที่มีภาพรีบาวน์ หลังปรับลงเร่งช่วงสัปดาห์ก่อน
(*) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -90.2 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +13.1 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long 1,922 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่ 32.95 +/- บาท
(*/+) Virtual Bank: BOT เปิดเผยหลังปิดคำขออนุญาตประกอบกิจการ Virtual Bank สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ามีผู้ที่ยื่นขอใบอนุญาตทั้งสิ้น 5 ราย คือ 1.) SCB ที่เป็นพันธมิตรกับ Webank จากจีน และ KakaoBank จากเกาหลีใต้ 2.) KTB ที่เป็นพันธมิตรกับ ADVANC และ OR 3.) BBL ที่เป็นพันธมิตรกับ Sea Group (Shoppe) BTS VGI และไปรษณีย์ไทย 4.) True Money บริษัทในกลุ่ม CP ที่เป็นพันธมิตรกับ Alibaba และ 5.) กลุ่ม Lightnet ภายใต้ "ชัชวาลย์ เจียรวนนท์" จับมือ WeLab ผู้นำด้าน Virtual Bank ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยกำหนดการจากนี้ คือ
- มิ.ย. 25 ประกาศผลผู้ได้รับอนุญาตจัดตั้ง
- มิ.ย. 26 Virtual Bank เปิดดำเนินการ
เชิงกลยุทธ์ มองกระแสดังกล่าว หนุน S Curve เศรษฐกิจไทยด้านดิจิตอลระยะกลาง-ยาว และกลไกการเข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ จากปริมาณข้อมูลในระบบที่เพิ่มขึ้น ผสาน ความก้าวหน้านำข้อมูลมาวิเคราะห์บนเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น น่าจะนำมาสู่ความต้องการ Infrastructure Technology และงาน Digital Transformation จากส่วนธุรกิจดังกล่าว บวกต่อหุ้นธีม Infra Tech ที่เราแนะนำ โดยเฉพาะกลุ่มต้น-กลางน้ำ (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK) โดยระยะสั้นเน้นกลุ่มโรงไฟฟ้า GULF ที่มีแรงหนุนเพิ่มเติมวงจรดอกเบี้ยขาลง กลุ่มชิ้นส่วน DELTA กลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE และกลุ่มDigital Tech ทั้ง BE8 และ BBIK ที่มี Upside งานเพิ่มเติมในระยะ 3-5 ปีจากนี้ (Virtual Bank, การเบิกจ่ายภาครัฐฯต่อเนื่อง, งานที่จะเกิดขึ้นจากกระแสลงทุน Data Center ทั้ง Cloud Adoption และ AI Adoption) มองหนุนหุ้นกำลังกลับเข้าสู่รอบ Upgrade Cycle ครั้งใหม่
(*/+) AI: ผลสำรวจ Ipsos บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก ในเรื่องความรู้สึกต่อเทคโนโลยี AI 2 ส่วน คือ 1.) ความรู้สึก ตื่นเต้น ต่อ AI และ 2.) ความรู้สึก กังวล ต่อ AI ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 54% และ 52% ของผลสำรวจตามลำดับ โดยไทยถือเป็นประเทศที่ผลสำรวจทั้ง 2 ด้านสูงเป็นลำดับต้นของโลก ความรู้สึก ตื่นเต้น สูง 80% มากสุดในทุกประเทศที่มีการสำรวจ ส่วนความกังวลสูง 57% ต่ำกว่าสหรัฐฯ แคนาดา ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ สัญญาณดังกล่าว เรามองมีโอกาสเห็น Adoption การเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ AI ที่มีโอกาสเป็นเร่ง จิตวิทยาบวกต่อกลุ่มขายอุปกรณ์ อาทิ COM7 SYNEX ส่วนความกังวลน่าจะเป็นบวกต่อกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ต้องจ้างที่ปรึกษา Digital จิตวิทยาบวกต่อ BE8 BBIK
(*/+) Annual Budget: การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐปีงบประมาณ 2567 ช่วงโค้งสุดท้าย พบว่า งบลงทุนที่ตั้งงบไว้ 7.1 แสนล้านบาท ล่าสุด (20 ก.ย.) เบิกจ่ายได้แล้วทั้งสิ้น 4.0 แสนล้านบาท คิดเป็น 56.9% ของงบประมาณ ทั้งนี้ จุดบวก คือ ยอดเบิกจ่ายเฉลี่ยต่อวัน ก.ย.24 เร่งขึ้นเฉลี่ยวันละ 0.35% เร่งขึ้นชัดเจนยอดเบิกจ่ายเฉลี่ยต่อวัน ก.ค. และ ส.ค. 24 ที่เพียง 0.18% และ 0.24% ผสาน งบประมาณปี 2568 ที่คาดประกาศใช้ทันปีงบประมาณใหม่ เชื่อว่าระดับความเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนจะมีความต่อเนื่อง หนุนหุ้น Domestic รับเหมา STEC, CK วัสดุก่อสร้าง SCC กลุ่ม Digital Tech อาทิ BE8, BBIK ค้าปลีก CPALL, BJC ธนาคาร KTB, KBANK, BBL
(*/+) Cabinet: วันนี้ (24 ก.ย.) ติดตามการประชุม ครม. ใหม่ครั้งที่ 2 คาดว่าจะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในส่วนการท่องเที่ยว เช่น การนำมาตรการ เราเที่ยวด้วยกัน กลับมาใช้อีกครั้ง บวกต่อ ERW ที่มีฐานธุรกิจโรงแรมในประเทศสูง (80-90% ของรายได้) และ AAV ที่มีเส้นทางบินในประเทศสูง (50% ของรายได้) นอกจากนี้ แนะนำสะสม AOT ที่ได้ประโยชน์เช่นกัน ขณะที่มีโอกาสเห็นการเพิ่มน้ำหนักจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ใหม่ และการอนุมัติโครงการ Mega Projects คาดมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มรับเหมา STEC, CK
(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม
1.) 24-30 ก.ย. ติดตามยอดส่งออก ส.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. +15.2%y-y และยอดนำเข้า ส.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 13.1%y-y
2.) 26-30 ก.ย. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ส.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. +1.79%y-y
3.) 27 ก.ย. จะเป็นวันสุดท้ายของสัญญา U24 และนักลงทุนจะ Rollover ไปเทรดในสัญญา Z24 แทน เราแนะนำระมัดระวังความผันผวนในช่วงใกล้ตลาดปิด
Daily Strategy : AOT, BBL, GPSC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ฟื้นตัว" เรามอง SET ยังมีโอกาสฟั้นตัว ภาพหนุนต่างประเทศ คือ เศรษฐกิจสหรัฐยังมีแนวโน้มเป็น Soft Landing ดัชนีชี้นำภาคบริการยังอยู่ในระดับขยายตัวดี มองหนุนการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงกลุ่มประเทศที่ยัง Laggard ขณะที่มีปัจจัยเร่ง อาทิ จีนที่เริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนภายในวันนี้ติดตามการประชุม ครม. คาดมีลุ้นออกมาตรการท่องเที่ยว รวมถึงการพิจารณาอนุมัติโครงการ Mega Projects ทำให้มองหุ้นนำวันนี้ 1.) หุ้น Domestic (ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, รับเหมา, ธนาคาร เช่าซื้อ) 2.) หุ้นได้ประโยชน์วงจรดอกเบี้ยขาลง เงินบาทแข็งค่า (การบิน โรงไฟฟ้า) และ 3.) หุ้น China Plays เก็งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• Strategy Update : FTSE Rebalance
FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)
• NSL (Neutral, TP35): We downgrade to "Neutral" while maintaining TP at 35. NSL share price rallied 31% in the past month while the fundamentals remain relatively unchanged. NSL has announced to SET the potential acquisitions of: 1) Jus Cool and COCO COOL brands from NB Value Link (NB) for Bt150m and 2) 90% of Pro Natural Foods (PFL) who is a manufacturer of coconut and baby corn products. We viewed the potential acquisitions positively but think they make take time to bear fruit. This is why we maintain our earnings and TP Bt35.
• WHART (Non-rated): WHART's operations are looking better as occupancy rate is expected to rise to 88% by 3Q24 and above 90% in FY25 from 84% in 2Q24 premised on 4% contracts signed in September and additional 3% under negotiations. Also, it plans to raise rent for RWH next year. Based on annualized 1H24 DPU, it would declare Bt0.77 DPU this year implied gross yield of 7.3% and attractive real yield of 5.8%.
• TTB (Buy, TP2.1): เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 3Q24F คาดที่ 5.39 พันลบ. เพิ่มขึ้น +14% y-y และ +1%q-q เพราะi)ผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้จดเลิกกิจการของบริษัทย่อย คือบริษัท ทีบีซีโอ เดิมคือ ธนาคารธนชาต (TBANK) ii) 2Q24 มีการตั้งสำรองพิเศษก้อนใหญ่เผื่อความไม่แน่นอนในอนาคต สำหรับสินเชื่อหดตัว -6.7% y-y และ -2.0% q-q คิดเป็น -4.3% YTD ซึ่งลดลงจากสินเชื่อทุกกลุ่ม ด้าน NPL Ratio คาดที่ 2.70% เพิ่มจาก 2.64% ใน 2Q24 เพราะความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภาพรวมเรายังชอบ TTB เพราะมีผลประโยชน์ทางภาษีเหลือจำนวน 1.27 หมื่นลบ. ณ 2Q24 และมีปันผลสูง dividend yield คาดที่ 7-8% ต่อปี
• KKP (Reduce, TP38): เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 3Q24F คาดที่ 870 ลบ. กำไรลดลง -32%y-y เพราะ i) สินเชื่อหดตัว โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ ii) ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +13% q-q จาก i) เงินลงทุน (FVTPL) เพิ่มขึ้น ii) ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง ด้านขาดทุนรถยึดคาดยังคงระดับสูงที่ -1.10 พันลบ. ใกล้กับ 2Q24 จาก KKP ทยอยระบายสต๊อครถยึดอย่างต่อเนื่อง สำหรับคุณภาพสินทรัพย์ลูกหนี้อ่อนแอ NPL Ratio อยู่ที่ 4.10% จาก 4.00% ใน 2Q24 หลักๆจากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ ภาพรวมเรายังไม่ชอบ KKP เพราะตลาดเช่าซื้อซึ่งเป็นพอร์ตหลักของ KKP (45% ของสินเชื่อรวม) ยังน่ากังวล โดยเฉพาะคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ ทำให้กระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อรวม
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP