สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(20 กันยายน 2567)-----บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ
การประกาศคงอันดับเครดิตของบริษัทฯ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่า EPG จะสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ EPG จะปรับลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1.0 ในช่วงสามปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มั่นคงและไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ EBITDA Net Leverage ของบริษัทฯ ได้ลดลง อยู่ที่ระดับ 1.0 ในปีงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 (ปีงบการเงิน 2567) จาก 1.3 เท่าในปีงบการเงิน 2566 ภายหลังการเข้าซื้อกิจการ 4 Way Suspension Products Pty. Ltd. (4WS) และการเข้าซื้อร้านค้าปลีก 5 แห่ง ในประเทศออสเตรเลียในช่วงปี 2565-2566 ทั้งนี้อันดับเครดิตของบริษัทฯ ได้ถูกจำกัดจากขนาดธุรกิจที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
กระแสเงินสดที่มั่นคง: ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ EPG จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับประมาณร้อยละ 4-5 ต่อปี ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของความต้องการในกลุ่มยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นและการผลิตรถยนต์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณร้อยละ 3.5 ต่อปีในช่วงปี 2567-2569 ฟิทช์ประเมินว่า กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA margin) ของ EPG จะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจาก 14% ในปีงบการเงิน 2567 เป็น 16% ในปีงบการเงิน 2570 จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ร่วมกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดระยะเวลาการผลิต และลดต้นทุนการดำเนินงานของกิจการที่ได้มีการเข้าซื้อที่ผ่านมา
รายได้ของ EPG ที่เติบโตร้อยละ 9 ในปีงบการเงิน 2567 อยู่ในระดับสูงกว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งได้รับประโยชน์จากการส่งมอบผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับผู้ผลิตยานยนต์ญี่ปุ่นและสภาพตลาดที่ดีขึ้นในออสเตรเลีย รวมถึงการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อร้านค้าปลีกชิ้นส่วนยานยนต์ TJM ห้าแห่ง
สถานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ EPG จะยังคงแข็งแกร่งในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า บริษัทฯ น่าจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังจากหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผล (Free cash flow) ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปี ในปีงบการเงิน 2568 และ 2569 เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งน่าจะเพียงพอ สำหรับค่าใช้จ่ายลงทุน และการจ่ายเงินปันผล ค่าใช้จ่ายลงทุนเพื่อการขยายกำลังการผลิตน่าจะมีอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากกำลังการผลิตที่มีอยู่จะเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตของรายได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า กลยุทธ์หลักของบริษัทฯ คือมุ่งเน้นการสร้างประสิทธิภาพร่วมและได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (economies of scale) จากการเข้าซื้อกิจการของ 4WS และร้านค้าปลีกชิ้นส่วนยานยนต์ห้าแห่งในออสเตรเลีย ค่าใช้จ่ายลงทุนในการบำรุงรักษาและปรับปรุงประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี
ความหลากหลายในผลิตภัณฑ์และธุรกิจปลายทาง: EPG มีผลิตภัณฑ์ที่กระจายตัวไปในหลายธุรกิจ ซึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์ฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถยนต์ และผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจรถยนต์และธุรกิจก่อสร้าง และอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่ต่ำและการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม โดยธุรกิจของ EPG ได้ส่งเสริมและรับประโยชน์ร่วมกัน จากการจัดหาวัตถุดิบ และการวิจัยและการพัฒนา การลงทุนของ EPG ใน 4WS จะช่วยขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์ จากปัจจุบันที่ผลิตผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนรถยนต์จากโพลีเมอร์
ฐานลูกค้าที่กระจายตัวตามภูมิภาคต่างๆ: EPG ขายชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถกระบะและรถเอนกประสงค์ ประมาณร้อยละ 50-60 ให้กับผู้รับจ้างที่ออกแบบและผลิตสินค้า (Original Design Manufacturer) และผู้รับจ้างผลิตสินค้า (Original Equipment Manufacturer) ให้กับบริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก ในส่วนที่เหลือขายให้กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และร้านจำหน่ายสินค้าตกแต่งรถในประเทศและต่างประเทศ กว่า 100 ประเทศทั่วโลกภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯเอง สำหรับธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น รายได้ประมาณร้อยละ 30 มาจากยอดขายในประเทศ ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นการขายให้กับโครงการก่อสร้าง โดยมีโรงงานผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็นหลัก ในประเทศไทย และประเทศสหรัฐฯ สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องดื่มและอาหาร รายได้ประมาณร้อยละ 90 มาจากยอดขายในประเทศ ซึ่งประมาณร้อยละ 40 ของยอดขายในประเทศเป็นการขายให้กับบริษัทฯ ผู้ผลิตเครื่องดื่มและอาหารชั้นนำรวมทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่
ขนาดธุรกิจที่มีขนาดเล็กและความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบที่ผันผวน: อันดับเครดิตของ EPG ได้ถูกจำกัดจากขนาดธุรกิจที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นภายในประเทศที่มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า นอกจากนี้ EPG มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบ โดยวัตถุดิบหลักได้แก่ สารประกอบโพลีเมอร์และพลาสติก ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40-50 ของต้นทุนสินค้าที่ขาย ราคาสารประกอบโพลีเมอร์และพลาสติกเหล่านี้ ก็จะผันผวนตามราคาปิโตรเคมีที่เป็นวัตถุดิบ โดยราคาปิโตรเคมีดังกล่าวมักจะขึ้นลงตามราคาน้ำมันดิบเป็นหลัก การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบที่มากอาจจะทำให้อัตราส่วนกำไรและรายได้ของบริษัทฯ ลดลงอย่างมากได้ในระยะสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม ในอดีต EPG สามารถจะปรับราคาขายขึ้นหลังจากราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เดือน เนื่องจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถยนต์ที่ทำจากโพลีเมอร์และพลาสติก และธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น มีคู่แข่งอยู่ไม่มากนัก ส่วนธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก EPG สามารถปรับราคาขายได้เร็วกว่าสำหรับลูกค้าปลีก อย่างไรก็ตามลูกค้าผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกรายย่อยจะมีความอ่อนไหวต่อราคา จึงทำให้บริษัทฯ จำกัดความสามาถในการปรับราคาเมื่อเทียบกับลูกค้าผลิตบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มอุตสาหกรรม
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
EPG มีสถานะทางธุรกิจอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศไทยอื่นๆ ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต แต่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า สถานะทางธุรกิจและสถานะทางการเงินของ EPG มีความใกล้เคียงกันกับของ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกวัดจากรายได้ KCE ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ความเสี่ยงดังกล่าวถูกลดทอนลงด้วยการที่บริษัทเน้นผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งมีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมดังกล่าว ทั้งนี้ KCE และ EPG มีขนาดธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ KCE มี EBITDA margin ที่สูงกว่า ทั้งนี้ทั้งสองบริษัทจึงมีผลการจัดอันดับที่อยู่ในระดับเดียวกันจากสถานะทางธุรกิจและอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ
บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG) ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ดำเนินการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมนวนคร และให้บริการแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ BBB+ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรม EPG ได้รับประโยชน์จากการกระจายธุรกิจที่ดีกว่าและขนาดการดำเนินงานที่ใหญ่กว่าบ้างเมื่อเทียบกับ NNEG อย่างไรก็ตาม NNEG มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า โดยได้รับการสนับสนุนจากความสามารถในการมองเห็นกระแสเงินสดในระยะยาวผ่านสัญญาขายระยะยาวและความต้องการไฟฟ้าที่สม่ำเสมอที่ผลิตขึ้น อย่างไรก็ตาม EPG ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกับ NNEG เนื่องจากมีหนี้สินที่ต่ำกว่ามาก
EPG มีขนาดธุรกิจเล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ A(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย หนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของประเทศไทย EPG ให้บริการแก่ตลาดปลายทางและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่า ซึ่งถ่วงดุลกับ SCGP มีการวางตำแหน่งธุรกิจที่โดดเด่นในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม SCGP มีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ แต่สถานะทางธุรกิจและขนาดที่แข็งแกร่งกว่าทำให้ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่สูงกว่าหนึ่งระดับ
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- รายได้เติบโตร้อยละ 4-5 ต่อปี ในปีงบการเงิน 2568-2572
- Operating EBITDA margin อยู่ที่ระดับร้อยละ 14-16 (ปีงบการเงิน 2566 อยู่ที่ร้อยละ 14.8 และ ปีงบการเงิน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 14.3)
- ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 23 หลังเสร็จสิ้นการซื้อกิจการในประเทศออสเตรเลีย (ปีงบการเงิน 2566 อยู่ที่ร้อยละ 25.2 และ ปีงบการเงิน 2567 อยู่ที่ร้อยละ 25.3)
- งบการลงทุนประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี
- จ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 60 - 65 ของกำไรสุทธิ
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- ฟิทช์คาดว่าไม่น่าจะมีปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทฯ ในช่วง 24 เดือนข้างหน้า เนื่องจากขนาดธุรกิจของ EPG มีขนาดเล็กกว่าบริษัทในประเทศไทยอื่นๆ ที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตที่สูงกว่า
ปัจจัยลบ:
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลง หรือการลงทุนโดยใช้หนี้ที่เพิ่มขึ้น มากกว่าที่ฟิทช์คาดการไว้ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรที่ได้จากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) สูงกว่า 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
- สถานะทางธุรกิจหรือความสามารถในการแข่งขันอ่อนแอลง ทำให้ EBITDA ลดลงอย่างต่อเนื่อง
สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับบริหารจัดการได้: บริษัทฯ มีหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 12 เดือน อยู่ที่ 1,574 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 โดยประมาณร้อยละ 77 เป็นหนี้ระยะสั้นที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและร้อยละ 33 เป็นหนี้สินระยะยาวที่ครบรอบกำหนดชำระภายใน 1 ปี สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 1,591 พันล้านบาท และวงเงินสำหรับเงินทุนหมุนเวียนจากสถาบันการเงินถึงแม้ว่าจะเป็นวงเงินที่สามารถยกเลิกได้ จำนวนประมาณ 4.1 พันล้านบาท ฟิทช์เชื่อว่าสภาพคล่องของบริษัทฯจะได้รับการสนับสนุนโดยการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารในประเทศที่เพียงพอ เนื่องจากบริษัทฯ มีผลการดำเนินงานและสถานะทางเครดิตที่ดี
ข้อมูลของบริษัท
EPG เป็นผู้นำในธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ประเภท EPDM, ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับเครื่องดื่มและอาหารในประเทศไทย ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น มีสัดส่วนยอดขายประมาณร้อยละ 51 และร้อยละ 29 ตามลำดับของยอดขายรวมในปีงบการเงิน 2567 โดยยอดขายส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกร้อยละ 20