"Domestic Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1462/1470 จุด รับ 1438/1433 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯขึ้นโดดเด่น S&P500 +1.7% หุ้นเทคโนโลยีและพลังงานนำตลาด ตอบรับภาพเศรษฐกิจสหรัฐ Soft Landing สอดคล้องมุมมอง Fed หลังตัวเลขรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกดีกว่าคาด ลดลง -5.2%w-w ค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ลดลงตั้งแต่ 15 ส.ค. ผสานวงจรดอกเบี้ยขาลง US Bond Yield 10ปีลงอีก -7 bps เป็นจิตวิทยาบวกสินทรัพย์เสี่ยงโลก เช่นเดียวกับ TH Bond Yield 10ปี ล่าสุดลดเหลือ 2.48% วันนี้ติดตามรายงานยอดจองซื้อกองวายุภักษ์คาดได้ตามเป้า และสัปดาห์หน้าการประชุม ครม. ลุ้นมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม ขณะที่การเดินหน้า S Curve ใหม่ ดิจิตอล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลาง-ยาว คืบหน้าเพิ่มโดยโครงการ Virtual Bank หลังปิดขอรับใบอนุญาต เบื้องต้นผู้ยื่นขอรับใบอนุญาตคึกคักสูงกว่าเป้า BOT 3 ราย หนุน Digital Transformation ระลอกใหญ่ คาด SET แกว่งขึ้นต่อ หุ้นนำ คือ หุ้นในธีม Infrastructure Technology (เทคสหรัฐฯ นำ+Virtual Bank) หุ้น Domestic (เช่าซื้อ ค้าปลีก ท่องเที่ยว รับเหมา) วันนี้แนะ ADVANC, AWC, GPSC
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1462/1470 จุด รับ 1438/1433 จุด
What happened around the world ?
(+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแรงรับตัวเลขแรงงานที่ออกมาเมื่อคืนหนุนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจสหรัฐยังแกร่ง Dow jones (+1.26% ), S&P500 +1.7%d-d ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ Nasdaq +2.49%d-d หลังผลประชุม Ded ลดอัตราดอกเบี้ย 50 bos โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นคือ กลุ่ม IT Consumer discretionary, ICT Industrial ส่วนกลุ่มที่ปรับลงและ Underperform นำโดย Consumer Staples Utilities ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ Tesla +7.3% Apple +3.7% Meta + 3.9% กลุ่ม Semiconductor อาทิ Nvidia +4% หนุนดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ (PHLX Semiconductor Index) +4.3% มองเป็นจิตวิทยาบวต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย , Nike +10% รับข่าว CEO John Donahoe จะลงจากตำแหน่งในวันที่ 13 ต.ค.
(*/+) US Econ : 1.)ยอดขายบ้านมือสอง ส.ค. -2.5%m-m 3.86 ล้านหลังต่ำตลาดคาดเล็กน้อย 3.9 ล้านหลัง และลดลงจากเดือนก่อน prev. 3.95 ล้านหลัง สะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อหมวด Shelter ยังมีแนวโน้มลดลง 2.)จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ (initial Jobless Claims) ลดลง 12 พันรายมาที่ 2.19 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.3 แสนราย และดีกว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.3 แสนราย คาดสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)
(*) To monitor ฝั่งจีนเช้านี้ ประชุม PBOC Loan Prime rate 1 ปี ตลาดคาดคงที่ 3.35% และ Loan Prime rate 5 ปี ตลาดคาดคงที่ 3.85% , ฝั่งญี่ปุ่น วันนี้ติดตามผลประชุม BOJ ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 0.25%
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ พลิกลงแรงอีกครั้ง อายุ 2 ปี ปรับลงต่อ -3 bps อยุ่ที่ 3.579% อายุ 10 ปี ปรับลงแรง -7 bpsแกว่งยู่ที่ 3.709% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ยังคงมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC, กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC BGRIM กลุ่มชิ้นส่วน DELTA, HANA ระยะสั้น ส่วน Dollar Index พลิกอ่อนค่าแรง 100.3 จุด
(-) World Container Index (WCI) : WCI ปรับลง 9 สัปดาห์ติดสัปดาห์ล่าสุด -5%w-w อยู่ที่ 3970 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ แรงกดดันหลักๆมาจากความตึงเครียดในตะวันออกลางล่าสุดลดลง ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ยังแนะนำเพียง ชะลอการลงทุน
(*/+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +1.67%d-d ปิดที่ US$ 74.88/barrel. น้ำมันดิบ West Texas +1.47%d-d ปิดที่ US$ 71.95/barrel หนุนจาก EIA รายงานสต็อกน้ำมันลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าตลาดคาด 2 แสนบาร์เรล และความตึงเครียดสงคราม หลังลุ่มฮิซบอลเลาะห์ประกาศว่าจะทำการตอบโต้อิสราเอล หลังเกิดเหตุระเบิดของเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารทั่วเลบานอ เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
What happened in Thailand ?
(+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวขึ้น +19.1 จุด หรือ +1.33% ปิดที่ 1454.84 จุด ตอบรับความเชื่อมั่นภาพบวก Fed มีท่าที Proactive ในการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อประคองเศรษฐกิจสหรัฐฯร่อนลง Soft Landing กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) ตอบรับภาพความเชื่อมั่นจากคาดการณ์เศรษฐกิจของ Fed และเงินบาทช่วงเช้าสลับอ่อนค่า กลุ่มสื่อสาร (TRUE, ADVANC, INTUCH) โมเมนตัมกำไรขาขึ้นยังมีต่อเนื่องในงวด 3Q24F และเป็นกลุ่มวงจรดอกเบี้ยขาลงหนุน กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มธนาคาร (BBL, SCB, KTB) จิตวิทยาลบวงจรดอกเบี้ยขาลง แต่เป็นภาพปรับลง ก่อนฟื้นตัวลดช่วงลบ เรามองเป็นโอกาสทยอยสะสม โดยเชื่อว่าธนาคารไทยกำลังจะได้ภาพบวกเศรษฐกิจเร่งขึ้น หนุนพัฒนาการคุณภาพสินทรัพย์ และการเติบโตสินเชื่อช่วยชดเชย กลุ่มขนส่ง (AOT) มองพักตัวต่อเนื่อง และมองจังหวะสะสมรับภาพช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี
(+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ซื้อพันธบัตร +72.2 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +31.35 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long 10,510 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่ 33.1 +/- บาท
(*/+) Virtual Bank: อิงรายงาน Thairath Money เปิดเผยว่า วานนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้าย BOT .เปิดให้ยื่นขอใบอนุญาตดำเนินกิจการ Virtual Bank มีทั้งหมด 3 กลุ่ม ที่ได้ยื่นขอใบอนุญาตแล้ว ได้แก่
1. กลุ่มธนาคารกรุงไทย (KTB), บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR)
2. กลุ่มบริษัท เอสซีบีเอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ร่วมกับทุนเกาหลีใต้ในส่วน KakaoBank และ Webank จากจีน
3. กลุ่ม Sea Group ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กลุ่ม บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) โดย บมจ.วีจีไอ (VGI) เครือสหพัฒน์ และไปรษณีย์ไทย
4. กลุ่มบริษัท Lightnet และ WeLab
ทั้งนี้ ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ได้ยื่นขอใบอนุญาตหรือไม่ ความคืบหน้าดังกล่าว ยังถือว่าความคึกคักใกล้เคียงกับกระแสข่าว และสูงกว่าจำนวนใบอนุญาตที่ BOT จะให้ทั้งสิ้น 3 ใบอนุญาต โดยหลังจากนี้
สัปดาห์หน้า BOT จะประกาศ ายชื่อผู้ขอใบอนุญาตทั้งหมด
มิ.ย. 25 ประกาศผลผู้ได้รับอนุญาตจัดตั้ง
มิ.ย. 26 Virtual Bank เปิดดำเนินการ
เชิงกลยุทธ์ มองกระแสดังกล่าว หนุน S Curve เศรษฐกิจไทยด้านดิจิตอลระยะกลาง-ยาว และกลไกการเข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ จากปริมาณข้อมูลในระบบที่เพิ่มขึ้น ผสาน ความก้าวหน้านำข้อมูลมาวิเคราะห์บนเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น น่าจะนำมาสู่ความต้องการ Infrastructure Technology และงาน Digital Transformation จากส่วนธุรกิจดังกล่าว บวกต่อหุ้นธีม Infra Tech ที่เราแนะนำ โดยเฉพาะกลุ่มต้น-กลางน้ำ (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK) โดยระยะสั้นเน้นกลุ่มโรงไฟฟ้า GULF ที่มีแรงหนุนเพิ่มเติมวงจรดอกเบี้ยขาลง กลุ่มชิ้นส่วน DELTA กลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE และกลุ่มDigital Tech ทั้ง BE8 และ BBIK ที่มี Upside งานเพิ่มเติมในระยะ 3-5 ปีจากนี้ (Virtual Bank, การเบิกจ่ายภาครัฐฯต่อเนื่อง, งานที่จะเกิดขึ้นจากกระแสลงทุน Data Center ทั้ง Cloud Adoption และ AI Adoption) มองหนุนหุ้นกำลังกลับเข้าสู่รอบ Upgrade Cycle ครั้งใหม่
(*) FTSE Rebalance: FTSE Rebalance มีผลช่วงปิดตลาด 20 ก.ย. เม็ดเงินโดยรวมจะเป็น Net Outflowsราว -60 ล้านเหรียญฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT, FTREIT, FUTURPF, SYMC, WHART
(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม
1.) ติดตามกระแสตอบรับกองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไประหว่าง 16-20 ก.ย.
2.) FTSE Rebalance มีผลราคาปิด 20 ก.ย. ส่วนสัปดาห์ถัดไป ได้แก่
3.) ติดตามความเสี่ยง"พายุโซนร้อนซูลิก" ขึ้นฝั่งเวียดนามแล้ว และมีคำเตือนทั่วไทย ฝนตกหนักถึงหนักมาก ลมแรง 19-23 ก.ย. 24 หลายพื้นที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก
3.) 24 ก.ย. การประชุม ครม. คาดว่าจะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในส่วนการท่องเที่ยว และการอนุมัติโครงการ Mega Projects
3.) 24-30 ก.ย. ติดตามยอดส่งออก ส.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. +15.2%y-y และยอดนำเข้า ส.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 13.1%y-y
4.) 26-30 ก.ย. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ส.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. +1.79%y-y
Daily Strategy : ADVANC, AWC, GPSC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" มองบรรยากาศโดยรวมมีโมเมนตัมการปรับขึ้นได้ต่อ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสหรัฐฯ ดีกว่าคาด ทำให้ตลาดมั่นใจกับภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เป็น Soft Landing ผสาน วงจรดอกเบี้ยขาลง หนุนจิตวิทยาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม ส่วนภายในยังมีแรงขับเคลื่อน คาดยอดจองกองทุนวายุภักษ์เด่น สัปดาห์หน้า คาด ครม. ออกมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง ขณะที่ภาพระยะกลาง-ยาว S Curve เรื่องดิจิตอลชัดขึ้น จากการเดินหน้า Virtual Bank มองหุ้นนำวันนี้ 1.) หุ้นในธีม Infrastructure Technology (เทคสหรัฐฯ นำ+Virtual Bank) 2.) หุ้น Domestic (เช่าซื้อ ค้าปลีก ท่องเที่ยว รับเหมา) และ 3.) หุ้นวงจรดอกเบี้ยขาลงหนุน
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด
จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• Strategy Update : FTSE Rebalance
FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)
• TRUE (Buy, TP13.2): Despite the spike in the share price recently, TRUE isn't expensive. It still trades at 7.9x FY25F EV/EBITDA with EBITDA growth of 9%. Turning from turnaround to the growth stock is the reason why we keep buying TRUE with TP Bt13.2. We expect 3Q24 not only to mark three quarter in a roll a core profit but also to have accelerating earnings growth momentum both yoy and qoq at Bt2.38b. While we keep our earnings forecast in FY24F unchanged, we expect an earnings upgrade from the street, which will act as next share price catalyst for TRUE.
•AWC (Trading Buy, TP4.0): We initiate coverage of AWC with a Trading Buy rating and Bt4.40 TP. (1) AWC is projected to deliver 28% p.a. earnings growth (3-year CAGR) over 2024-27F, driven by an expanding hotel portfolio, strategically-located assets and higher margin. (2) The Rental & Commercial segment, which contributes 45% of group EBITDA, provides stable, high margins. (3) Currently trading at 28x EV/EBITDA, 59x P/E and 2.5x PEG, the highest among its peers, AWC's share price has surged 19% in one month, reflecting expectations of strong earnings growth. Given the limited upside to our TP of Bt4.40, we initiate coverage with a Trading Buy rating.
•REIT (Bullish): Thai Monetary Policy Committee is expected to hold policy rate for the rest of this year but it might cut rates by 50bp by 1H25. Fed recently cut rate by 50bp marks the end of rate hike cycle. REITs share prices had rally 19.3% during 2.5 months. In this report, we assumed the rate cuts would start next year. We identified REITs which will see huge savings in interest expense and assumed all savings would be paid out as dividends. Among REITs with market cap of Bt3-5b, the prime beneficiaries are ALLY, BOFFICE, PROSPECT, INETREIT and TPRIME.
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP