Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

470

 

วัฎจักรดอกเบี้ยขาลง ... SETINDEX ขาขึ้น
FED ปรับลดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในการประชุมเมื่อวาน ขณะที่ในช่วงเวลาที่เหลือของปีคาดว่าจะปรับลดลงอีกไม่น้อยกว่า 0.5% ส่วนปี 2568คาดว่าจะปรับลดลงอีก 1% ภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็น วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างแรงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยในบ้านเราปรับลดลงเช่นกัน โดยเราเห็นว่ามีโอกาสที่จะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ประเมินจาก BOND YIELD ในประเทศที่ปรับตัวลดลงมารอล่าสุด BOBD YIELD 10 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.5% เท่ากับดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบัน ขณะที่เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากภาวะดังกล่าวยังดำเนินต่อไปก็จะเป็นปัญหาต่อภาคการส่งออก ในมุมของSET INDEX เชื่อว่าได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ดอกเบี้ย รวมถึงภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจน มีโอกาสขยับเป้าหมายขึ้นไปเหนือ 1500 จุดเชื่อว่า SET INDEX อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยมีทั้งปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเชิงบวก และ FUND FLOW หนุน ส่วนกรอบวันนี้คาดที่ 1428 –1450 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก CPALL, SCGP และ SIRI

 


FED อั้นไม่ไหว ใช้ยาแรงลดดอกเบี้ย 0.5%
การประชุม FED คืนที่ผ่านมา ได้มีมติ 11:1 ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.5% สู่ระดับ 5.0%ตามคาด หลังมีความมั่นใจมากขึ้นว่า จะกดเงินเฟ้อให้เข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ได้อย่างยั่งยืน ขณะที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณอ่อนแอสำหรับคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในระยะยาว (DOT PLOT) อาจมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.5% ในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ หรือปลายปี 2024ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 4.5% ส่วนปีหน้ามีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1.0% หรือปลายปี 2025 ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 3.5%


นอกจากนี้ FED ยังได้มีการประมาณการใหม่ของตัวเลขเศรษฐกิจสรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่กำลังลดความร้อนลง อาทิ
• GDP GRWOT ปี 2024 คาดขยายตัวแค่ +2.0% (เดิมคาด +2.1%)
• UNEMPLOYMENT RATE ปี 2024 คาดเพิ่มขึ้น 4.4% (เดิมคาด 4.0%)
อย่างไรก็ตามในระยะถัดไปยังคงติดตามว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงแบบ HARDLANDING หรือ SOFT LANDING โดยในกรณีที่ FED เร่งปรับลดดอกเบี้ยลงแร็วและแรง อาจตามมาด้วยความเสี่ยงในการเกิดเศรษฐกิจ RECESSION ซึ่งมักจะกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก แต่ในทางกลับกันหากดอกเบี้ยปรับลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ สะท้อน FED ทำ SOFT LANDING สำเร็จ จะหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขยับขึ้นได้ต่อ


ขณะเดียวกันในแถบประเทศเอเชียเริ่มเห็นธนาคารกลางทยอยปรับลดดอกเบี้ยกันแล้วหลังดอกเบี้ยยืนอยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา อาทิ อินโดนีเซีย (6.25% 6.0%),ฟิลิปปินส์ (6.5% 6.25%) เป็นต้น

 


สรุป แนวโน้มดอกเบี้ยหลายประเทศเริ่มข้าสู่วงจรขาลง หลังดอกเบี้ยยืนอยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา และเงินเฟ้อทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในระยะถัดไปยังคงติดตามว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงแบบ HARD LANDING หรือ SOFT LANDING

การลดดอกเบี้ยของหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ หนุน SETOUTPERFORM ตามข้อมูลในอดีต
หลังจากที่หลายประเทศใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อมาช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศตนเองที่มีโอกาสเสี่ยงเกิด RECESSION โดย BLOOMBERG คาดการณ์โอกาสเกิด RECESSION อีก 1 ปีข้างหน้าในกลุ่ม DEVELOPED MARKET สูงกว่ากลุ่ม TIP และมีหลายประเทศที่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากต้นเดือน ส.ค.67 อาทิ อังกฤษ,ญี่ปุ่น และ จีน เป็นต้น


ขณะที่หากพิจารณาเฉพาะประเทศไทย จะเห็นว่าโอกาสการเกิด RECESSION นั้นต่ำและยังลดลงจากต้นเดือน ส.ค.67 อีกด้วย เนื่องจากประเทศไทยเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดีจากภาคส่งออก และการท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีนโยบายกระตุ้นของภาครัฐฯ ที่จะเข้ามาในรยะถัดไป อาทิ แจกเงิน 10,000 บาทให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-บัตรคนพิการและการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน ประเด็นดังกล่าวคาดหนุนให้ GDPGROWTH ไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 3% ซึ่งหาก GDP GROWTH ปีนี้โต 3% จริง GDPGROWTH ไตรมาส 3 และ 4จะต้องเติบโตสูงถึง 4.1%YOY ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอยู่มาก โดยเฉพาะไตรมาส 4


ดังนั้น SET INDEX จึงน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งความเสี่ยง RECESSION ที่น้อย และ GDP GROWTH ยังเติบโตเด่น อีกทั้งจะเห็นได้ว่าช่วงเวลาที่ FED ลดดอกเบี้ยเร็วและแรง ดังปีที่ 2001 SET มีโอกาส OUTPERFORMกว่า NASDAQ เสมอ


ตลาดหุ้นไทยดูดีในเชิงเปรียบเทียบหลายมิติ
พอ FED เริ่มต้นลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และมีโอกาสลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอาจกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง รวมถึงมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวสหรัฐชะลอตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ FUND FLOW มีโอกาสย้ายจากตลาดหุ้นสหรัฐฯกระจายไปลงทุนตลาดหุ้นอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมฝ่ายวิจัยประเมินว่าเป้าหมายการลงทุนต่างชาติมีโอกาสเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม จากปัจจัยในเชิงเปรียบเทียบหลายๆ มิติ ดังนี้

▪ MOMENTUM -> FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทย จากการลดเบี้ยสหรัฐที่จะเร่งลดเร็วกว่าไทยในช่วง 1 – 2 ปีต่อจากนี้ จะกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่ค่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในหุ้นไทยมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม

▪ FUNDDAMENTAL -> GDP GROWTH ไทยช่วง 2H67 มีโอกาสเติบโตเด่น4.1% จึงจะเท่ากับที่กระทรวงการคลังประเมินทั้งปี 2567 เติบโต 3% และเป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำช่วง 1H67 ที่1.9% อีกทั้งยังสูงกว่าสหรัฐที่ทางBLOOMBERG คาด GDP GROWTH 2H67 ลดลงเหลือ 2.1% และในมุมกำไรบริษัทจดทะเบียน EPS GROWTH ไทย 67F คาดจะเติบโตได้สูง 13%,สูงกว่า EPS GROWTH สหรัฐ 67F8%

▪ VALUATION -> ล่าสุดตลาดหุ้นไทยมี P/E67F 15.7เท่า, P/E68F 14.5เท่า ต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P500) ที่มี P/E67F 23.2 เท่า และ P/E68F
20.3 เท่า รวมถึง P/BV67F ไทย ต่ำเพียง 1.4 เท่า และต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ(S&P500) ที่มี P/BV67F 4.7 เท่า


สรุป ตลาดหุ้นไทยดูดีในเชิงเปรียบเทียบหลายมิติ ทำให้มีโอกาสเห็นการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมได้ในช่วงที่เหลือของปี และอาจต่อเนื่องในช่วงต้นปีหน้า


Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยืน 1200 จุด By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ในท้องทุ่งสีเขียว หุ้นไทยบวกยืน 1200 จุดได้อีกครั้ง ...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้