Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

565

 

"Rate Cut + Seasonal Plays"

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1446/1450 จุด รับ 1430/1420 จุด ดัชนี S&P500 ปิด -0.29% หลังประชุม Fed ขณะที่ Futures เช้านี้ฟื้น หลัง Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย -50 bps สู่ 4.75%-5.00% ตามตลาดคาด โดยประธาน Fed ให้ความเชื่อมั่นการปรับลดสูงตั้งแต่แรก เพื่อให้มั่นใจว่า Fed มิได้ Behind the Curve และ Dot Plot ใหม่คาดจะลดดอกเบี้ยอีก -50 bps ในปี 2024 ส่วนปี 2025 จะลดอีก -100 bps ขณะที่ยังให้ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ Soft Landing คาด GDP ปี 2024 2.0% (ใกล้เดิม 2.1%) ปี 2025-26 เท่าเดิมที่ 2% อัตราว่างงานปี 2024-26 เพิ่มเป็น 4.4%, 4.4% และ 4.3% (เดิม 4.0%, 4.2%, 4.1%) vs ระดับอัตราว่างงานจุดเริ่มเข้าสู่ Recession ในอดีตที่ 6% เรามองยังหนุนภาพลงทุน Global Bonds และสินทรัพย์เสี่ยงโลกที่ยัง Laggard ภายในกระทรวงการคลังเตรียมหารือ BOT กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่ โดยคาดมีเป้าหมายโอกาสลดดอกเบี้ย ซึ่งทุกๆ ดอกเบี้ยที่ลดลง -25 bps จะบวกต่อ SET ราว 40-50 จุด ถือเป็นแรงเสริมจากภาพใหญ่ มองวันนี้ SET แกว่งขึ้น กลุ่มนำ คือ กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า ชิ้นส่วน เช่าซื้อ หนี้สูง High Yield ค้าปลีก) กลุ่มกำลังจะเข้าหรืออยู่ในช่วงฤดูกาล ขณะที่กลุ่มธนาคารที่ถูกขายลดความเสี่ยง มีโอกาสเห็นภาพ Buy on Facts วันนี้แนะ AOT, CPALL, KTC

 


Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1446/1450 จุด รับ 1430/1420 จุด

What happened around the world ?

(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวลงหลังผลประชุม Ded ลดอัตราดอกเบี้ย 50 bos อิง Dow jones (-0.23%), S&P500 -0.29%d-d, Nasdaq -0.3%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นคือ กลุ่ม Energy , ICT ส่วนกลุ่มที่ปรับลงและ Underperform นำโดย Utilities, IT, Consumer Staples, Consumer staples ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ Apple +1.8%, แต่กลุ่ม Semiconsuctor ปรับลง อาทิ NVDIA -1.88%, AMD -1.68% กลุ่ม Tech อาทิ Intel -3.26% ฯลฯ

(*/+) Fed Meeting : ผลประชุม Fed ลดอัตราดอกเบี้ยฯครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี -50 bps ระดับ 4.75%-5.0 ถือว่าไม่ Surprise ตลาดคาดมากเพราะมีการคาดว่าจะเห็นการปรับลดในอัตราดังกล่าว โดยมติเกือบเอกฉันท์ 11 ต่อ 1 เสียง (มิเชลล์ โบว์แมน เป็น 1 ท่านที่ไม่สนับสนุนการลด 50 bps) Key สำคัญคือ 1.)Dot plot คาดช่วงที่เหลือของปี 2024 จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% รวมรอบล่าสุด คือจะ ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุม 2 ครั้งๆ และปี 2025 จะปรับลดอีก 4 ครั้ง คืออัตราดอกเบี้ยสิ้นปีจะลดลงเหลือ 3.4% จาก Dot plot รอบก้อนคาดที่ 4.1% 2.) คาดการณ์เศรษฐกิจ โดยรวม กังวลภาวะจ้างงานมากขึ้น สะท้อนผ่านการปรับอัตราการว่างงานปีนี้เป็น 4.4% จากเดิมคาด 4.0% และคาดปี 2025 ที่ 4.4% (เดิม 4.2%) แต่กังวลอัตราเงินเฟ้อน้อยลง ประเมินชะลอลงในกรอบ +-2% ทำให้มองอัตราดอกเบี้ยลงแรงกว่า Dotplot ทรอบก่อนเยอะ จุดที่บวกคือ คาดการณ์ GDP Growth สหรัฐใกล้เคียงเดิม 3.)Statement สำคัญคือ Fed ปรับเปลี่ยนข้อความระบุว่า การจ้างงานเพิ่มขึ้น ช้าลง อัตราเงินเฟ้อ "มีแนวโน้มบรรลุเป้าหมาย 2% แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง" สะท้อนมุมมองดอกเบี้ยเป็นขาลง 4.) การให้ความเห็นของประธาน Fed เผยการตัดสินใจของ Fed ไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่ช้า หรือ Behind The Curve และการลดดอกเบี้ยครั้งละ 50bps% ไม่ใช่บรรทัดฐานในการปรับลดในครั้งถัดๆไป KSS ประเมินโทนโดยรวมออกมาตามคาดคือ Cycle ดอกเบี้ยสหรัญเป็นขาลง แต่อัตราการปรับลดลงคาดจะไม่เร็วไปจากช่วงก่อนหน้า ทำให้มองบวกต่อหุ้นทีได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงในระยะกลาง - ยาว อาทิ กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, BGRIM, GPSC กลุ่มหนี้สูง CPALL MINT กลุ่ม High Growth อาทิ BE8 BBIK

(*/+)China Chip stocks : เมื่อวานข่าวจีนได้พัฒนาเครื่องผลิตชิป Semiconductor รุ่นใหม่ ที่ผลิตได้เล็กขนาด 65 นาโนเมตรแล้ว (จากเดิม 90 นาโนเมตร) ทำให้ตลาดประเมินจะกลายเป็นก้าวสำคัญในหากทางออกการการคว่ำบาตรและกีดกันชิปจากสหรัฐ เป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นกลุ่มชิปในภูมิภาคเอเชีย ไต้หวัน จีน และมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย

(*/+) Indonesia Rate cut ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 3 ปีและนับเป็นประเทศแรกๆ ในอาเซียน – 25 bps อยู่ที่ 6.0% ถือว่า Surprise ตลาดคาดว่าจะคงดอกเบี้ย ผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียมีสัญญาณชะลอ และค่าเงินอ่อน และเงินเฟ้อกลับมามีเสถียรภาพอยู่กรอบเป้าหมายทีะ 1.5%-3.5% โดย KSS ประเมินก่อนหน้าฟิลิปปินส์ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายก่อนทำให้ วงจรดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลงในทางเดียวกัน ประเมินเป็นจิตวิทยาหนุนคาดการ์อัตราดอกเบี้ยไทยมีโอกาสจะปรับลงในทางเดียวกัน

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ฟื้นตัวแรง อายุ 2 ปี ปรับขึ้นต่อเป็นวันที่ +3 bps อยุ่ที่ 3.628% อายุ 10 ปี ปรับขึ้น +8 bpsแกว่งยู่ที่ 3.772% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ยังคงมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร ประกันชีวิต ระยะสั้น ส่วน Dollar Index ช่วงแรกอ่อนค่าแรงและพลิกกลับมาขึ้นแกว่งตัวใกล้เคียงกับวันก่อน 100.67 จุด

(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 19 ก.ย. ติดตามยอดขายบ้านมือสอง ส.ค. คาด 3.9 ล้านหลัง vs prev. 3.95 ล้านหลัง 19 ก.ย.

(*/-)Oil : น้ำมันดิบแกว่งตัวแนวโน้มใหญ่ยังอยู่ในทิศทางขาลง น้ำมันดิบ Brent -0.07%DoD ปิดที่ US$ 73.65/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.39%DoD ปิดที่ US$ 70.91/barrel

(+) Sugar น้ำตาล +5.79%d-d ปิดที่ 21.55US$/lb ทำจุดสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์แรงหนุนจาก Supply Shortage จากฝั่งบราซิล คือ ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในเซาเปาโล แหล่งผลิตน้ำตาลที่สำคัญของบราซิล กระทบพื้นที่ปลูกอ้อยจำนวนมาก ทำให่ประเมินกระแสเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มอิงน้ำตาล อาทิ KSL, KTISS

 

What happened in Thailand ?

(*) SET : Set วันทำการล่าสุดแกว่งในกรอบรอผลประชุม Fed ก่อนปิด -0.83 จุด หรือ -0.06% ที่ 1435.77 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA) รับจิตวิทยาบวก 1.) เงินบาทสลับมาอ่อนค่าช่วงเช้าสู่ 33.4 +/- บาท 2.) ยอดส่งออกสินค้าอิเลคทรอนิกส์สิงคโปร์ ส.ค. 24 เด่น และ 3.) Microsoft ประกาศจับมือ Blackrock ระดมทุน 1.0 แสนล้านเหรียญฯ ลงทุน Data Center รับกระแส AI กลุ่ม ร.พ. (BH, BDMS) ตลาดเลือกเพิ่มน้ำหนักหุ้น Defensive ก่อนประชุม Fed ขณะที่หุ้นอยู่ในช่วงฤดูกาล กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, HMPRO, GLOBAL) มองเป็นการ Sell on Facts หลังมีความชัดเจนมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่ ครม. อนุมัติเรียบร้อยแล้ว กลุ่มขนส่ง (AOT) ย่อตัวลง หลังวานนี้มีแรงหนุนตัวเลขนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์เด่น

(+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ซื้อพันธบัตร +293.3 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +105.1 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long 7,355 สัญญา เงินบาทแกว่งบริเวณ 33.4 +/- บาท

(*/+) TH Tourism: กระแสภาคท่องเที่ยวก่อนเข้าสู่ฤดูกาลไตรมาสที่ 4 ปีนี้ และไตรมาสที่ 1 ปี 2025 เป็นบวก

1.) ททท. เปิดเผยภายหลังเข้าพบ นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย พร้อมหารือถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดย ททท. จะนำเรื่องนี้เสนอภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ สำหรับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการคนละครึ่ง จะนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ไม่ได้มีการปิดกั้นว่าหากโครงการใดทำแล้วดี ก็สามารถสานต่อได้

2.) โรงแรม "Capella Bangkok" คว้าแชมป์ รางวัล "50 โรงแรมที่ดีที่สุดในโลก 2024" จัดทำขึ้นโดย The World's 50 Best Hotels Academy พร้อมโรงแรมไทยอีก 3 แห่ง ก็ติดอันดับในครั้งนี้ด้วย ได้แก่ Mandarin Oriental (12), Four Seasons Bangkok at Chao Phraya River(14) และ .The Siam,Bangkok(26) โดยไทยถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีโรงแรมติดอันดับสูงลำดับต้นๆ เรามองมีโอกาสดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อ ช่วยเพิ่มรายได้ต่อนักท่องเที่ยวเฉลี่ยขึ้น นอกจากนี้ จิตวิทยาบวกต่อ BEYOND ที่เป็นเจ้าของโรงแรม Capella และ Four Seasons Bangkok at Chao Phraya River

ทั้งนี้ น้ำหนักหลักเรายังให้ไปที่โอกาสออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มของรัฐฯ มองบวกต่อหุ้นกลุ่มการบิน เน้น AOT ส่วนท่องเที่ยว เน้นกลุ่มที่มีฐานธุรกิจในไทยสูง คือ ERW เชิงกลยุทธ์ มองหุ้นย่อตัวลงมาเป็นโอกาสทยอยสะสม

(*/+) TH Inflation: รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้นัดกับ ผู้ว่า BOT เร็ว ๆ นี้ เพื่อหารือกันเรื่องกรอบเงินเฟ้อ โดยจุดยืนของกระทรวงการคลัง เห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันเริ่มดีขึ้น และรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจน สะท้อนจากความเชื่อมั่นต่าง ๆ เช่น ความเชื่อมั่นในตลาดทุนที่เริ่มกลับมา ดังนั้นจึงอาจเป็นจังหวะเหมาะที่ต้องเร่งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำ และที่ผ่านมา มักได้รับการชี้แจงว่าในระยะข้างหน้า เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ก็เห็นแล้วว่าเงินเฟ้อยังไม่สูงขึ้น หากเงินเฟ้อต่ำนานเกินไปก็อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจได้ ผสาน สหรัฐฯที่เริ่มปรับลดดอกเบี้ยแล้ว

เชิงกลยุทธ์ เราคงมุมมองโอกาสการลดดอกเบี้ย กนง. 1 ครั้งในระยะถัดไป โดยทุกดอกเบี้ยที่ลง -25 bps มักจะบวกต่อ SET ราว 40-50 จุด นอกจากนี้ จะดีต่อหุ้นได้ประโยชน์จากวงจรดอกเบี้ยขาลง เช่น โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ ค้าปลีก หนี้สูง High Yield (สื่อสาร REIT) แต่จะเป็นจิตวิทยาลบฝั่งธนาคาร เน้นหุ้นได้ประโยชน์โรงไฟฟ้า GULF, GPSC เช่าซื้อ MTC, JMT ค้าปลีก CPALL, BJC หนี้สูง TRUE, MINT High Yield ADVANC, CPNREIT, 3BBIF, WHAIR

(*) FTSE Rebalance: FTSE Rebalance มีผลช่วงปิดตลาด 20 ก.ย. เม็ดเงินโดยรวมจะเป็น Net Outflowsราว -60 ล้านเหรียญฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้

o FTSE All World (Large + Mid Cap)

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : BLA

***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้

• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR

• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Mid Cap : BLA

***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก

o FTSE Small Cap :

หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT

หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL

o FTSE Micro Cap :

หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE

หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S

กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT, FTREIT, FUTURPF, SYMC, WHART

(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม

1.) ติดตามกระแสตอบรับกองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไประหว่าง 16-20 ก.ย.

2.) 19 ก.ย. วันสุดท้ายยื่นใบสมัคร Virtual Bank กับ BOT คาดว่าจะมีภาพผู้สนใจคึกคักไมต่ำกว่าโควตาที่เปิด 3 ราย มองบวกต่อกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BE8, BBIK และหุ้นในธีม Infra Tech

3.) FTSE Rebalance มีผลราคาปิด 20 ก.ย.

 

Daily Strategy : AOT, CPALL, KTC เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" มองบรรยากาศโดยรวมมีโอกาสฟื้นตัว หลัง Fed ปรับลดดอกเบี้ย -50 bps ตามที่ตลาดคาด และยังคงคาดการณ์การเติบโต GDP ระดับ 2% อัตราว่างงาน 4.4-4.3% บ่งชี้ภาพมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing ได้ โดยรวมยังน่าจะส่งผลบวกต่อการลงทุน Global Bonds และอาเซียน+ไทย ที่เป็นกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งยัง Laggard ขณะที่วงจรดอกเบี้ยโลกที่เริ่มเป็นขาลงฝั่งสหรัฐฯแล้ว ขณะที่ฝั่งไทยการหารือระหว่งกระทรวงการคลังและ BOT ถึงกรอบเงินเฟ้อใหม่ น่าจะทำให้ตลาดเก็งภาพโอกาสลดดอกเบี้ยเช่นกัน ทำให้เราวันนี้ เรามองหุ้นนำกลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า ชิ้นส่วนฯ เช่าซื้อ หนี้สูง High Yield ค้าปลีก) กลุ่มกำลังจะเข้าหรืออยู่ในช่วงฤดูกาล (ท่องเที่ยว, ร.พ.) ขณะที่กลุ่มธนาคารที่ถูกขายลดความเสี่ยงก่อน Fed ประกาศปรับลดดอกเบี้ย มีโอกาสเห็นภาพ Buy on Facts

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)

• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

NAM ผนึกกลุ่ม PRINC ลุยขยายธุรกิจ Serviso ทั่วประเทศ

NAM ผนึกกลุ่ม PRINC ลุยขยายธุรกิจ Serviso ทั่วประเทศ

บมจ.แมสเทค ลิ้งค์ หรือ MASTEC จัดเต็มโรดโชว์ จ.นครปฐม เดินหน้าเข้าเทรดใน SET ปีนี้ เตรียมเสนอขายหุ้น 79 ล้านหุ้น

บมจ.แมสเทค ลิ้งค์ หรือ MASTEC จัดเต็มโรดโชว์ จ.นครปฐม เดินหน้าเข้าเทรดใน SET ปีนี้ เตรียมเสนอขายหุ้น 79 ล้านหุ้น

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้