Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

603

 


"Selective Plays"

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1446/1450 จุด รับ 1428/1423 จุด ดัชนี S&P500แกว่งตัว ปิด +0.03% รอผลประชุม Fed (ไทยทราบผล เช้า 19 ก.ย.) โดยการให้มุมมองของประธาน Fed ต่อทิศทางเศรษฐกิจ และการปรับนโยบายการเงิน จะมีผลต่อทิศทางการลงทุนมากกว่าขนาดของการปรับลด ขณะที่รายงานยอดค้าปลีก ส.ค. ดีกว่าคาด +0.1%m-m vs prev. +1.1%m-m สะท้อนภาคบริการยังประคองเศรษฐกิจ ดังนั้น ปธ Fed น่าจะปรับลดดอกเบี้ยลง และให้ภาพ Soft Landing บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ยัง Laggard ดังที่เห็นหุ้น Value (Energy, Industrials, Financials) ยังนำตลาดหุ้นสหรัฐฯต่อ และน่าจะดีต่อฝั่งอาเซียน กลยุทธ์ให้ Selective กลุ่มที่มีประเด็นบวก อาทิ หุ้นธีม Infra Tech (Microsoft x Blackrock ประกาศแผนลงทุน Data Center รับกระแส AI 1.0 แสนล้านเหรียญฯ + วันนี้โค้งสุดท้ายยื่นขออนุญาต Virtual Bank) ผสานผลประชุม ครม. วานนี้ การเดินหน้าสนับสนุนเงินเฟส 1 ให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ภายใน ก.ย. 24 และเดินหน้า เฟส 2 ต่อ บวกต่อกลุ่มการบริโภค กลุ่มการเงิน กลุ่มท่องเที่ยวหลังนักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด +19%w-w เป็นจุดเริ่มฟื้นตัวก่อนเข้า Hi-season ปลายปี (บวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว การบิน ร.พ.) และกลุ่มอิงดอกเบี้ยขาลง วันนี้แนะ ADVANC, DELTA, BDMS

 

 


Daily outlook: "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1446/1450 จุด รับ 1425/1420 จุด

What happened around the world ?

(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวรอผลประชุม Fed กลางสัปดาห์ อิง Dow jones (-0.04% ส่วน S&P500 +0.03%d-d, Nasdaq +0.2%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นทุกกลุ่ม โดยกลุ่มที่ Outperform คือ กลุ่ม Value Play หลักนำโดย Energy, Industrials Financials, ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ Microsoft +0.9% รับข่าวคณะกรรมการบริหารอนุมัติแผนการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาส 10% และ Intel +2.68% ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ หลังจากอินเทลได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ สูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์เพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์ให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิป และกลุ่ม Tech โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ่นส่วนไทย

(*/+) US Econ : 1.) ยอดค้าปลีก ส.ค. +0.1%m-m ดีกว่าตลาดคาด -0.2%m-m vs prev. +1.0%m-m และ + 2.13%y-y prev. 2.86%y-y 2.) ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม +0.8%m-m (หลักๆเพิ่มจากกลุ่มเหมืองแร่ 0.8%) ดีกว่าตลาดคาด 0.2% vs prev. -0.6%m-m ภาพเศรษฐกิจสหรัฐทั้งฝั่งภาคบริโภคและผลิคยังขยายตัวสะท้อนมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft landing

(+) Data Center : Microsoft และ BlackRock ล่าสุดประกาศจัดตั้งกองทุนเพื่อระดมทุนวงเงินรวม 1 แสนล้านดอลลารสหรัฐ (คาดเบื้องต้นระดมทุนรอบแรกที่ 3 หมื่นล้าน$)เพื่อลงทุนใน Data Center สำหรับ AI โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน โดย CEO ของ Microsoft คุณ Satya Nadella เผยความมุ่งมั่น AI จะช่วยส่งเสริมนวัตกรรมและขับเคลื่อนการเติบโตในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ" และจะเดินหน้าผลักดัน KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์ในฝั่งต้นน้ำ-กลางน้ำก่อน อาทิ WHA, ADVANC, TRUE, GULF, INSET, BE8, BBIK

(*/+) Singapore Export & Electronic สิงคโปร์รายงานมูลค่าการส่งออก ส.ค. +10.7%y-y prev. 15.7% (ยอดส่งออกสิงคโปร์ มีความสัมพันธ์ไปในทางเดียวกันกับยอดส่งออกไทยจากสถิติในอดีต ทำให้ประเมินส่งออกไทย ส.ค. น่าจะออกมาดีตาม) โดยเฉพาะหมวดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (สิงคโปร์เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน) เดือน ส.ค. +35.1%y-y โตสูงสุดในรอบ 14 ปี Prev. 16.8%y-y แรงหนุนจากยอดขายแผงวงจรรวม (IC) และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA, HANA

(*)ECB : คุณ เกดิมินัส ซิมคุส กรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้เล็กน้อยเท่านั้นที่ ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือน ต.ค.2024 KSS ประเมินเศรษฐกิจยุโรปเริ่มโตชะลอ และเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับลงเข้าใกล้กรอบ ทำให้วงจรดอกเบี้ยยุโรปยังเข้าสู่ขาลงหลังจากปีนี้ปรับลดดอเบี้ยลงมา 2 ครั้งแล้ว โดยรวมดอกเบี้ยยุโรปเป็นขาลงมองบวกเศรษฐกิจยุโรปและบวกต่อหุ้นทีมีรายได้ในยุโรป อาทิ XO(70%ของรายได้รวม), MINT(50%) SHR(40%), IVL (22%) CRC(6%)

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ฟื้นตัวแรง อายุ 2 ปี พลิกปรับขึ้น +5 bps อยุ่ที่ 3.60% อายุ 10 ปี ปรับขึ้น 3 bpsแกว่งยู่ที่ 3.645% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ยังคงมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร ประกันชีวิต ระยะสั้น ส่วน Dollar Index แข็งค่าต่อ 100.67 จุด

(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 18 ก.ย. ยอดการขอสร้างบ้านใหม่ คาด 1.31 ล้านหลัง vs prev. 1.238 ล้านหลัง, 19 ก.ย. ติดตามยอดขายบ้านมือสอง ส.ค. คาด 3.9 ล้านหลัง vs prev. 3.95 ล้านหลัง 19 ก.ย. ติดตามผลการประชุม Fed ตลาดคาดปรับลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.0% - 5.25

(*/+)Oil : น้ำมันดิบเป็นขาขึ้นระยะสั้น แต่แนวโน้มใหญ่ยังอยู่ในทิศทางขาลง Brent +1.31%d-d ปิดที่ US$ 73.7/barrel , น้ำมันดิบ West Texas +1.57%d-d ปิดที่ US$ 71.19/barrel หนุนจากการหยุดการผลิตน้ํามันในอ่าวสหรัฐฯ และความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed. เกือบ 20% ของการผลิตน้ํามันในอ่าวเม็กซิโกยังคงออฟไลน์เนื่องจากพายุเฮอริเคนฟรานซีน มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำระยะสั้น เน้น PTTEP (เก็งกำไร และมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมัน) และ PTT

(*/+) Soft commodity : ยาง TOCOM +4.35%DoD ปิดที่ 374.5JPY/kg แรงหนุนจาก Demand จากการที่สหรัฐเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าถุงมือยางกับจีน และ Supply ที่คาดว่าฝนที่ตกต่อเนื่องในไทยและภาคเหนือของเวียดนาม เกาะไหหลำของจีน และฟิลิปปินส์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตยางพารา โดยรวมมองบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจยาง อาทิ STA, NER, TRUBB เน้น STA(trading buy TP@22.2) และ NER(trading buy TP@5.85)

 

What happened in Thailand ?

(*/+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวขึ้น +1.07 จุด หรือ +0.07% ปิดที่ 1436.6 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) ปรับตัวขึ้นตอบรับกระทรวงท่องเที่ยวฯ เตรียมนำมาตรการ "เราเที่ยวด้วยกัน" กลับมาขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภายในอีกครั้ง ผสาน นักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุดกลับมาฟื้นตัว +19%w-w กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE, INTUCH) เริ่มฟื้นตัว หลังผ่านช่วงพักฐาน กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT) มีจิตวิทยาลบ บริษัทแจ้งเตรียมหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. ถึง 2 ต.ค. นี้ เพื่อทำธุรกรรมควบรวมระหว่าง CPAXT กับ Ek-Chai เป็นบริษัทใหม่ คือ CPAXTT ซึ่งจะกลับมาซื้อขายอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 2024 กลุ่มพลังงาน (EA) จากกรณี ตลท. ออกประกาศขอคำชี้แจงประเด็นในงบการเงิน

(*) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -103.2 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -12.5 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long 4,137 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยสู่ 33.4 +/- บาท

(*/+) Cabinet: ที่ประชุม ครม. วานนี้ มีมติหลักๆ คือ

1.) อนุมัติมาตรการพยุงกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมุ่งไปที่การบริโภค เดินหน้าการสนับสนุนเงินให้กับประชาชนจับจ่ายเฟสที่ 1 จ่ายเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบาง 1 หมื่นบาทในคราวเดียว 14.5 ล้านคน งบประมาณราว 1.4 แสนล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 25 -30 ก.ย. เป็นไปตามที่ตลาดคาด ส่วนเดินหน้าแจกเงินเฟสที่ 2 รมว.คลัง ยืนยัน รอ คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะรูปแบบ ฯลฯ ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ KSS ประเมินเม็ดเงิน 1.45 แสนล้านบาท คิดเป็น 0.81% ของ Nominal GDP 2023 (17.922 ล้านล้านบาท) และกระทรวงการคลังคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.35 ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ และน่าจะทยอยเห็นการปรับเพิ่ม GDP ของสำนักเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึงประมาณการกลุ่มค้าปลีก โดยรวมหนุนมุมมองบวกต่อกลุ่มหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก (CPALL, BJC) ธนาคาร (KBANK, BBL) เช่าซื้อ (MTC, JMT)

2.) อนุมัติขยายเวลาคง VAT ที่ 7% ต่ออีก 1 ปีสิ้นสุด 30 ก.ย.68

3.) อนุมัติงบกลาง 3,045.51 ล้านบาท ตามที่มหาดไทยเสนอ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนใน 57 จังหวัด ครอบคลุม 338,391 ครัวเรือน มองบวกโอกาสนำเงินมาปรับปรุงบ้านเรือนที่เสียหาย มองบวกต่อหุ้นในกลุ่มสินค้าปรับปรุงบ้าน อาทิ HMPRO DOHOME GLOBAL ทั้งนี้ ให้เน้น HMPRO ที่มีแรงขับเคลื่อนอีกด้านจากโอกาสเพิ่มน้ำหนักของกองทุนวายุภักษ์ใหม่

(*/+) Vayupak: แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผย หลังจากเปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อกองทุนรวมวายุภักษ์ ยอดจองวันแรกถือว่ามีผลตอบรับดี โดยมียอดจองซื้อเข้ามา > 1.0 หมื่นล้านบาท และคาดว่าตลอด 5 วันทำการจะมียอดเข้ามาไม่ต่ำกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท มองจิตวิทยาบวกต่อ SET และหุ้นในธีมวายุภักษ์ที่เราแนะนำ รวมถึงแรงจูงในให้เกิดการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG เกณฑ์ใหม่

(*/+) TH Tourism: สัญญาณภาคท่องเที่ยวทยอยกลับมาเป็นบวก

1.) รมว.การท่องเที่ยวฯ เปิดเผยแนวคิดการนำโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวกลับมาในส่วนมาตรการ 'เราเที่ยวด้วยกัน' เรามองบวกหุ้นท่องเที่ยวที่มีฐานธุรกิจในประเทศสูง ฝั่ง ERW

2.) กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬาฯ รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ (9-15 ก.ย.) มีจำนวน 636,932 คน เพิ่มขึ้น 19.31%w-w เป็นภาพฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดตามที่เราประเมินจากรายงานผู้ใช้บริการสนามบินไป ตปท. สัปดาห์ล่าสุด 7-14 ก.ย. เร่งขึ้น

ระยะถัดไป เรามองแรงขับเคลื่อนต่อจาก การท่องเที่ยวเมื่อผ่านจุดต่ำสุด ก.ย. 24 จะเร่งขึ้นในอีก 2 ไตรมาสถัดไปที่เป็น Hi-season และภาพการเติบโตต่อเนื่องระยะกลาง-ยาวคาดหวังมากขึ้น จากแนวทางการผลักดัน Entertainment Complex

เชิงกลยุทธ์ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวยัง YTD ยังถือว่า Underperform SET ทำให้เรามองโซนปัจจุบันอยู่ในจุดน่าสะสม เน้น ERW ส่วนการบิน เน้น AOT ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเป็นภาพเร่งจะได้ประโยชน์สูงจากรายได้รอบด้าน ทั้งภาษีสนามบินและส่วนแบ่งผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังถือเป็นหุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ใหม่

(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม

1.) ติดตามกระแสตอบรับกองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไประหว่าง 16-20 ก.ย.

2.) 19 ก.ย. วันสุดท้ายยื่นใบสมัคร Virtual Bank กับ BOT คาดว่าจะมีภาพผู้สนใจคึกคักไมต่ำกว่าโควตาที่เปิด 3 ราย มองบวกต่อกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BE8, BBIK และหุ้นในธีม Infra Tech

3.) FTSE Rebalance มีผลช่วงปิดตลาด 20 ก.ย. จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้

o FTSE All World (Large + Mid Cap)

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : BLA

***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้

• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR

• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Mid Cap : BLA

***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก

o FTSE Small Cap :

หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT

หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL

o FTSE Micro Cap :

หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE

หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S

กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT, FTREIT, FUTURPF, SYMC, WHART

 

Daily Strategy : ADVANC, DELTA, BDMS เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "แกว่งในกรอบ" มองบรรยากาศโดยรวมจะอยู่ในลักษณะการรอผลประชุม Fed (ไทยทราบผลเช้า 19 ก.ย.) มองการเก็งกำไรเป็นรายกลุ่ม รายธีม วันนี้มองธีมเด่น ได้แก่ หุ้นธีม Infra Tech (Microsoft x Blackrock ประกาศแผนลงทุน Data Center รับกระแส AI 1.0 แสนล้านเหรียญฯ + วันนี้วันสุดท้ายยื่นขออนุญาต Virtual Bank) กลุ่มได้ประโยชน์ผลประชุม ครม. วานนี้ การเดินหน้าสนับสนุนเงินเฟส 1 ให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ภายใน ก.ย. 24 และเดินหน้า เฟส 2 ต่อ บวกต่อกลุ่ม Domestic นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุดที่เด่น +19%w-w และคาดเป็นจุดเริ่มฟื้นตัวก่อนเข้า Hi-season ปลายปี (บวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว การบิน ร.พ.) กลุ่มอิงดอกเบี้ยขาลง

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)

• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Vayupak Plays

การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่

1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24

2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก

3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป

4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น

5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท

เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท

ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)

กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

• Strategy Update : Data Center

กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด

จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP

มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)

Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้

o FTSE All World (Large + Mid Cap)

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : BLA

***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้

• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR

• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Mid Cap : BLA

***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก

o FTSE Small Cap :

หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT

หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL

o FTSE Micro Cap :

หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE

หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S

กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)

 

 

• Aviation (Bullish) เรามอง Positive ยอด นทท. สัปดาก์ที่ 37/24 ฟื้น +19% w-w เป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์จากการเดินทางล่วงหน้าก่อนวันหยุดยาวในหลายประเทศ ขณะเดียวกันราคาน้ำมันลดลง -2% w-w และค่าเงินข็งค่า +0.36 บาท/USD w-w เป็น Upside ต่อผลประกอบการหุ้นกลุ่มสายการบิน เราคงน้ำหนัก Bullish กลุ่มการบิน และเลือก BA (Buy, TP 25.75) และ AOT (Buy, TP 64.5) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ

• Soft Commodity – Sugar (Neutral) International Sugar Organization คาดว่าปี 24/25 อุตฯน้ำตาลโลกจะมีความต้องการน้ำตาล 182 ล้านตัน ผลผลิตน้ำตาล 179 ล้านตัน ทำให้เกิดอุปทานส่วนขาด -3.5 ล้านตัน บราซิลผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลอันดับ 1 ของโลก ภัยไฟป่าและภัยแล้งส่งผลความเสียหายอ้อยราว 5 ล้านตัน จากผลผลิตอ้อย 600 ล้านตัน ทาง ISO คาดบราซิลมีผลผลิตน้ำตาล 39.2 ล้านตัน ลดจากคาดเดิมที่ 40 ล้านตัน อินเดียผู้ผลิตน้ำตาลอันดับ 2 ของโลก มีนโยบายเน้นผลิตน้ำตาลเพื่อการบริโภคในประเทศ คาดมีผลผลิตน้ำตาลปี 24/25 ที่ 34.5 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปี 23/24 เพราะอากาศชุ่มชื่น แต่อาจยังต้องนำเข้าน้ำตาล เพราะการบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้นและมีนโยบายเพิ่มการผสมเอทานอลจากB15 ในปี 24 เป็น E20 ในปี 25 ไทยผู้ผลิตอันดับ 5 ผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก คาดไทยมีอ้อยปี 24/25 ที่ 92-95 ล้านตัน (vs 82 ล้านตันในปี 23/24) คาดผลผลิตน้ำตาล 11 ล้านตัน (vs.8.8 ล้านตันในปี 23/24) ราคาน้ำตาลในประเทศปัจจุบันอยู่ที่ 21-22 บาท/กก แต่ราคาในปี 25 อาจมีการปรับขึ้นหรือลงขึ้นอยู๋กับ 1)ต้นทุนอ้อยที่เพิ่มขึ้น 2)ราคาน้ำตาลโลกที่ลดลง ผลกระทบน้ำท่วมภาคเหนือ+ภาคอีสาน หากน้ำท่วมยาวถึงเดือนตค-พย จะทำให้ประมาณการน้ำตาลไทยปัจจุบันที่ 11 ล้านตันมี downside เนื่องจากน้ำท่วมทำให้น้ำตาลในอ้อยต่ำกว่าปกติมากถึง 15%

ความเห็นของ KSS ประมาณการอ้อย+น้ำตาลไทยในปี 24/25 ที่ OCSB คาดแตกต่างกับ KSL โดย KSL คาดไทยมีอ้อย 95 ล้านตัน น้ำตาล 10 ล้านตัน โดยผลผลิตน้ำตาลที่ OCSB คาดที่ 11 ล้านตันสูงกว่า KSL คาด แต่ถ้า discount กรณีน้ำท่วมกระทบความหวานอ้อยหายไป 15% จะได้น้ำตาลเพียง 9.35 ล้านตันจะต่ำกว่า KSL คาด และหากเกิดจริงจะทำให้ผลผลิตน้ำตาลโลกต่ำกว่าคาด และอาจทำให้ราคาน้ำตาลโลกเพิ่มขึ้น ปัจจุบันแนะนำ Neutral KSL ราคาเป้าหมายปี 25 ที่ 2.80 บาท เพราะราคาหุ้นมักปรับตัวตาม sentiment ราคาน้ำตาล ซึ่งกังวลเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันดิบอ่อนตัว เราให้สมมติฐานราคาน้ำตาลโลกที่ 19 เซ็นต์ เท่ากับราคาในปัจจุบัน และหากราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้น 1% จากสมมติฐานจะทำให้ประมาณการและราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น +1.4%

 

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

เฟด คงดอกเบี้ย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดหุ้นไทย พัก แบบปรับฐาน ในเช้าวันนี้ หลังจากวานนี้ ดัชนฯพุ่งแรง ประกอบกับ เฟด ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้