"Anti-Commodity Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1439/1446 จุด รับ 1420/1414 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัว ก่อนการ Debate ผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีเช้าวันนี้ (เวลาไทย 8.00น.) และเงินเฟ้อ CPI ส.ค. 24 ตลาดคาด +2.6%y-y, +0.2%m-m vs prev. +3.2%y-y, +0.2%m-m โดยราคาน้ำมันวานนี้ลงแรงเฉลี่ย -4% OPEC ปรับลดคาดการณ์ความต้องการ อีกทั้งวันนี้มีจิตวิทยาลบกรณี รมว. พลังงาน ยืนยันแผนปรับโครงสร้างราคาพลังงาน กดดันกลุ่มพลังงาน ล่าสุดหุ้นพลังงานต้นน้ำ YTD –8.8% Underperform SET ที่ +0.9% ขณะที่ภายใน ความคาดหวังเชิงบวกจาก ครม. ใหม่ คือ การพิจารณาโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มเติมจาก Digital Wallet ตั้งแต่ประชุมนัดแรก กระทรวงคมนาคม จะเสนอพิจารณา Mega Projects 3 โครงการใหญ่ 1.0 แสนล้านบาท มองหนุนเศรษฐกิจไทยนับจาก 3Q24 ผสาน เม็ดเงินใหม่ กองทุน TESG+วายุภักษ์ 1.7-1.8 แสนล้านบาทหนุนตลาดตั้งแต่ 4Q24 คาด SET วันนี้ฟื้นตัว หุ้นนำ กลุ่ม Anti-Commodities (รับเหมา โรงไฟฟ้า สายการบิน วัสดุ) Domestic (ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ) กลุ่มที่อยู่ในธีมกองทุนวายุภักษ์+TESG ที่ยัง Laggard SET (ERW, BGRIM, AMATA, INTUCH, BDMS, BCH, WHA, ADVANC) วันนี้แนะนำ CPALL, BGRIM, STEC
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1439/1446 จุด รับ 1420/1414 จุด
What happened around the world ?
• (*)US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยหุ้น Tech ยังเป็นกลุ่มนำ รอรายงานเงินเฟ้อสหรัฐคินนี้ และการ Debate ของ Kamala VS. Trump เช้าวันนี้ตามเวลาไทย อิง Dow Jones -0.23%d-d (ถูกดดันจากกลุ่ม ธนาคาร คือ JPMorgan -5.2%, Goldman Sachs -4.3%, หCitigroup -2.7% ฯลฯ รับข่าว CEO ของ Goldman Sachs เผยคาดรายได้ธุรกิจของธนาคารใน่สนของการ Trading จะลดลง 10%) S&P500 +0.45%d-d, Nasdaq +0.84%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ Outperform ปรับขึ้นเกือบทุก Sectors หลักๆนำโดยกลุ่ม Real estate, Consumer Discretionary, IT, Health care ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ปรับลงแรงคือ Energy (Exxon -3.6%, Chevron -1.5% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงแรง)
• (-) Tech Company: Apple และ Google มีปัจจัยลบเฉพาะตัว โดย Apple แพ้คดีภาษีในไอร์แลนด์ หลังจากวานนี้ ศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) ตัดสินให้ Apple ต้องจ่ายภาษีย้อนหลังมูลค่า 1.3 หมื่นล้านยูโร (4.85 แสนล้านบาท) เนื่องจากบริษัทได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผิดกฏหมายจากไอร์แลนด์เป็นเวลากว่า 20 ปี ในขณะเดียวกัน Google ถูกศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปตัดสินให้บริษัทต้องจ่ายค่าปรับมูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (9.18 หมื่นล้านบาท) หลังจากเมื่อปี 2017 ยุโรปกล่าวหา Google ชี้นำให้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตใช้บริการ Google shopping โดยกำหนดให้ผู้ซื้อเห็นรายการแนะนำสินค้าเฉพาะของ Google
• (+) China Trade : ยอดส่งออกจีน ส.ค. 24 ขยายตัว +8.7%y-y ดีกว่าคาด เร่งขึ้นจาก prev. +7.0%y-y (กลับสู่ภาวะปกติ) ส่วนนำเข้า +0.5%y-y vs prev. 7.2%y-y (สะท้อน Demand ในประเทศยังคงอ่อนแอ และผลจากประเทศคู่ค้าเร่งนำเข้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศใน ยุโรป ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน อาทิ กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ผสานกับยอดนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ตอกย้ำกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศของจีนที่ยังชะลอตัว ปัจจัยนี้อาจมีผลให้กลุ่มบริษัทของไทยซึ่งมีสินค้าส่งออกไปจีนอาจจะได้รับผลกระทบและมีผลให้ตัวเลขส่งออกรวมของไทยเดือน ส.ค.ที่กำลังจะประกาศในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้ามีโอกาสที่จะเห็นการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตามมองจะหนุนให้รัฐฐาลจีนจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ยังคงมุมมอง เน้นสะสมหุ้น China Plays อาทิ IVL, SCGP, SCC
• (*/+) EU CPI : เยอรมนีเผยคาดการณ์ครั้งที่ 2 ว่า เงินเฟ้อเดือน ส.ค.ของเยอรมนีลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีหลือเพียง 2.0%y-y เข้าสู่กรอบเป้าหมาย ECB อาจเป็นสัญญาณบวกให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) พิจารณาลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้การประชุม ECB 12 ก.ย.Consensus คาดว่า จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 bp ในการประชุม 12 ก.ย. ทำให้ Deposit Facility Rate เหลือ 3.5% โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจอิงยุโรป อาทิ XO, MINT, SHR
(*) Kamala VS. Trump Debate : ติดตามวันนี้ 8 โมงเช้า 11 ก.ย. เวลาไทยการ Debate ระหว่างผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ระหว่าง Kamala Harris (พรรค Democrat) นโยบายเน้นกลุ่มฐานราก VS. Donald trump (พรรค Republlican) นโยบายเน้นไปทางชาตินิยม หนุนธุรกิจขนาดใหญ่ เสนอลด Corporate Tax เหลือ 15%, เน้นการกีดกันการค้า Tariff และนโยบายใหม่ อาทิ เก็บภาษี 100% (ยังไม่ทราบภาษีประเภทใด) ต่อประเทศที่เลิกใช้เงิน Dollar ฯลฯ KSS ประเมินความผันผวนจากนโยบายจะสร้างกระแสเม็ดเงินย้ายไปลงทุนในประเทศในฝั่งเอเซีย โดยหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ไม่ว่าฝั่งใดจะชนะเลือกตั้งคือ กลุ่มนิคม เน้น WHA
• (*/+) To monitor ฝั่งสหรัฐ 11 ก.ย. CPI ทั่วไป CPI ส.ค. คาด +0.2%m-m, +2.6%y-y vs prev. +0.2%m-m, +2.9%y-y Core CPI คาด +0.2%m-m, +3.0%y-y vs prev. +0.2%m-m, +3.2%y-y
• (*) US Bond Yields & Dollar Bond yield สหรัฐ อายุสั้นปรับลงแรงและแนวโน้มขาลง อายุ 2 ปี ปรับลง -9 bps อยุ่ที่ 3.59%(ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 5 เดือน) อายุ 10 ปีปรับลง -5 bps มาอยู่ที่ 3.65%(ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 2 เดือน) US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว)ยังคงมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ การเงิน MTC, กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มชิ้นส่วน DELTA ส่วน Dollar Index แกว่งตัว 101.6 จุด
• (-)Oil : ราคาน้ำมันดิบพลิกลงแรงอีกครั้ง อิง Brent -3.69%d-d ปิดที่ US$ 69.19/barrel น้ำมันดิบ West Texas -4.31%d-d ปิดที่ US$ 65.75/barrel แรงกดดันหลักๆมาจาก OPEC+ ปรับลดคาดการณฺการบริโภคน้ำมันของโลกปี 2024-2025 ลดลงเป็นครั้งที่ 2 ของปี โดยลด 8 หมิ่นบาร์เรล และ 4 หมื่นบาร์เรล จากคาดการณ์เดิม ตามลำดับ มองเป็นจิตวิทยาลบระยะสั้น ต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ เน้น PTTEP และ PTT ในทางตรงข้ามเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anti Commodity อาทิ กลุ่มโรงฟฟ้า GULF, BGRIM กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO (แนะเก็งกำไร) และกลุ่มที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อาทิ กลุ่มสายการบิน BA, AAV
What happened in Thailand ?
(*/+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวลดลง -3.1 จุด หรือ -0.22% ปิดที่ 1428.03 จุด (vs Low วันที่ 1422 จุด) กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) หนุนจากจิตวิทยาหุ้นเทคโนโลยีฟื้นตัว เงินบาทสลับมาอ่อนค่า กลุ่มกองทุนอสังหาฯ และ REIT (DIF, 3BBIF, TFFIF) ตลาดเก็งกำไรเป็นอีกหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ใหม่มีโอกาสเข้าลงทุน กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) กังวลเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า ผสาน เศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มมีจุดเปราะฝั่งภาคอ่อนตัวน่าจะกดดันราคาน้ำมันต่อ ขณะที่ PTT การเพิ่มสัดส่วนกองทุนวายุภักษ์ใหม่ทำได้ไม่มาก กลุ่มก่อสร้าง (SCC) มองเป็นการพักตัว
(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออกเล็กน้อย ขายพันธบัตร –21.3 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +16.5 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Short -1,327 สัญญา เงินบาทยังอยู่ในโซนแข็งค่า 33.65 +/- บาท
(*/+) Mega Projects: รมว. คมนาคม เปิดเผยในการประชุม ครม. ครั้งแรก (17 ก.ย.) คาดว่าจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณา ครม. ชุดใหม่ได้ทันที 3 โครงการลงทุน วงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 1.) โครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 5 อุตราภิมุข (รังสิต-บางปะอิน) ส่วนต่อขยายดอนเมือง โทรลล์เวย์ วงเงิน 3.1 หมื่นล้านบาท 2.) โครงการมอเตอร์เวย์ หมายเลข 9 ช่วงบางขุนเทียน – บางบัวทอง วงเงิน 5.6 หมื่นล้านบาท และ บางบัวทอง - บางปะอิน วงเงิน 1.59 หมื่นล้านบาท 3.) โครงการรถไฟส่วนต่อขยาย รังสิต - มธ.ศูนย์รังสิต วงเงิน 6.4 พันล้านบาท
ทั้งนี้ หากผสาน ปัจจัยบวก 1.) การประมูลโครงการอื่นๆ ที่คาดทยอยนำเสนอช่วงที่เหลือของปี อาทิ รถไฟความเร็วสูง รภไฟรางคู่ อีกราว 6.6 แสนล้านบาท และยังไม่รวมถึงโครงการขนาดใหญ่ระยะยาวที่อยู่ระหว่างศึกษา อาทิ การทมทะเลชายฝั่ง Landbridge รวมถึง Entertainment Complex 2.) ความเสี่ยงการปรับค่าแรงมีโอกาสต่ำกว่าตลาดกังวล แม้เริ่มมีกระแสข่าวการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท แต่คาดว่ารัฐบาลน่าจะพิจาณามาตรการภาษีชดเชย
ทีมกลยุทธ์ มองหุ้นรับเหมาที่ยัง Underperform ตลาด (YTD -5.4% vs SET 0.9%) มีโอกาสกลับมา Outperform ขึ้น เรามอง STEC น่าสนใจจาก Upside อื่นๆที่ยังลุ้นเพิ่มเติม ทั้งกรณีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท หากชัดเจนจะช่วยบรรเทาผลขาดทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ชมพู + กระแสร่วมกับกลุ่ม BTS BA ลงทุน Entertainment Complex) รองมาคือ CK
(*) Mass Transit: รมว. คมนาคม เปิดเผยความคืบหน้า โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จำเป็นต้องผลักดันกฎหมาย 2 ส่วน คือ พ.ร.บ.กรมราง และ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม เรื่องนี้ต้องพยายามผลักดันให้มีผลบังคับใช้ก่อนเดือน ก.ย.25 โดย พ.ร.บ. กรมราง จะสามารถเจรจาและให้เอกชนเข้าร่วมได้ โดยเงินชดเชยรายได้ของเอกชน เรายังจะตั้งกองทุนขึ้นมา โดยมีกำไรสะสม ร.ฟ.ม. 1.6 หมื่นล้านบาทเป็นทุนส่วนแรก เรามองประเด็นดังกล่าว ตราบจนกว่าจะเม็ดเงินชดเชยเอกชนจะมีความชัดเจนหรือลงตัว จะยังเป็น Overhang ต่อ BEM ส่วน BTS จะเป็นมุมบวกมากกว่า จากสัญญาเส้นหลักที่ใกล้สิ้นสุดอายุ บวกกับ สายสีเหลือง+ชมพูที่ให้บริการอยู่ยังขาดทุน จะมีตัวช่วยเข้ามา
(*) TH Tourism: นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ที่ 2-8 ก.ย. อยู่ที่ 5.33 แสนคน ลดลง -1.8%w-w เป็นระดับที่ลดลง w-w ต่ำสุดในรอบ 4สัปดาห์ และเราคาดว่าจะน่าจะเป็นฐานรายสัปดาห์ ก.ย. 24 ที่มักเป็นจุดต่ำสุดก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูกาลไตรมาสที่ 4 แล้ว ผสาน ยอดนักท่องเที่ยว YTD ที่ยังสูง 24.2 ล้านคน หรือ เฉลี่ยวันละ 9.5 หมื่นคน หากมองนักท่องเที่ยวช่วงที่เหลือของปีเร่งขึ้นตามฤดูกาล เรามองนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024F กรอบที่ตลาดคาด 35.5-36 ล้านคน เชิงกลยุทธ์ มองหุ้นการบิน ท่องเที่ยวที่ยัง Underperform เป็นโซนน่าทยอยสะสม โดยเฉพาะกลุ่มที่แรงหนุนกองทุนวายุภักษ์และกองทุน ThaiESG เพิ่มปลายปี อาทิ AOT, BA, CENTEL, MINT
(-) Energy: รมว. พลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการตรากฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไม่ใช่การอ้างอิงราคาในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ราคาพลังงานถูกลง ทั้งน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันมีการปรัลเปลี่ยนราคาได้เพียงเดือนละครั้งเดียว เรามองยังเป็นประเด็นสร้าง Overhang ต่อเนื่องสำหรับผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมัน และ โรงกลั่น
(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายใน ติดตาม 1.) 12 ก.ย. ติดตามการแถลงนโยบาย ครม. ใหม่
Daily Strategy : CPALL, BGRIM, STEC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ฟื้นตัว" แม้ราคาน้ำมันดิ่งลง -4% คาดกดดันกลุ่มพลังงานต้นน้ำวันนี้ ร่วมกับประเด็น กระทรวงพลังงงานยืนยันแผนปรับโครงสร้างราคาพลังงาน แต่จุดดี คือ หุ้นพลังงานต้นน้ำ Underpeform SET ไปแล้ว แต่จะดีกับกลุ่ม Anti-Commodities ส่วนความคาดหวังแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใน เริ่มภาพครอบคลุมฝั่งการลงทุน Mega Projects ที่กระทรวงคมนาคมเตรียมเร่งเสนอ 3 โครงการมูลค่า 1.0 แสนล้านบาท ให้ ครม. พิจารณาตั้งแต่ประชุมนัดแรก กลุ่มนำ 1.) กลุ่ม Anti-Commodities (รับเหมา โรงไฟฟ้า สายการบิน วัสดุ) 2.) Domestic (ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ) 3.) กลุ่มที่อยู่ในธีมกองทุนวายุภักษ์+TESG ที่ยัง Laggard SET ซึ่งฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด 14 ส.ค. +10.5% (ERW, BGRIM, AMATA, INTUCH, BDMS, BCH, WHA, ADVANC)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, PTT, KTB
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด
จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• Strategy Update : FTSE Rebalance
FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)
• AP (Buy, TP11.8): มุมมอง slightly positive ต่อ Jul-Aug 24 presale ที่ราว 9.5 พันลบ. ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีกว่าที่คาด ทั้งนี้หาก Sep-24 presale ยังดี จะทำให้ 3Q24F presale มีโอกาสโต y-y มาที่ราว 12.0-13.0 พันลบ. ได้ (Vs. 3Q23 ที่ 11.7 พันลบ.) แนวโน้มการโอน 3Q24F คาดดีขึ้นมาก q-q และคาดกำไรสุทธิ 3Q24F โต q-q หรืออยู่ในระดับที่สูงราว 1.4-1.5 พันลบ. สำหรับ Backlog รอโอนใน 2H24F สูงถึง 23.8 พันลบ. หรือ secured รายได้ของเรา 93% ถือว่าสูง เราคงประมาณกำไรสุทธิ 2024F ที่ 5.6 พันลบ. (-8% y-y) โดยส่วนต่างราว 3.3 พันลบ. ใน 2H24F คาดว่าเป็นไปได้ เพราะแนวโน้มกำไร 2H24F ดีกว่า 1H24 จาก condo โครงการใหม่เข้ามาโอน รวมถึง low-rise ที่มีโครงการรอขายมาก จะมีส่วนช่วยยอดขาย / ยอดโอน เราคง TP25F ที่ 11.80 บาท คง BUY และเป็น top pick โดยเรายังชอบแผนธุรกิจที่ยังแข็งแกร่งกว่ากลุ่มฯ ทำให้ยังคาดรักษาอันดับหนึ่งด้าน market share ได้ต่อเนื่อง ราคาปัจจุบัน trade ที่ PER 5.1x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ และคาดเงินปันผลจ่ายสูง 7.0% ผลตอบแทนน่าสนใจบน downside ที่ค่อนข้างจำกัด
• KCG (Buy, TP13): We reiterate our BUY recommendation, TP Bt13. We see KCG as a prime beneficiary of appreciating Baht, which has strengthened 8% QTD. KCG is a net importer company with 50% of its COGS is imported, mostly in USD. We estimate that every 1% stronger Baht could lead to 1.5% upside to FY25F core profit.
• Mass Transit - Land (Neutral): We rate sector as Neutral only from undemanding valuation for both BEM and BTS. Regulatory risk particularly from Bt20 flat fare price will remain since the repurchase of concession contracts from operators won't go away, just the delay. Implementation of Bt20 flat fare price in September 2025 will stem from the government subsidy to the operators, which mitigate the concerns on the repurchase of concession contract, at least in the short term.
• Energy (Neutral): เรามอง Overhang ความคืบหน้ากฏหมายคุมราคาน้ำมัน แม้ไม่ได้มีข้อมูลใหม่ แต่อาจทำให้นักลงทุนกังวลต่อความสามารถทำกำไรในระยะยาวของกลุ่มโรงกลั่นและสถานีบริการฯอีกครั้ง คงมุมมองกรณี worst case ที่ภาระตกอยู่กับเอกชน แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนทั้งโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมัน (sensitivity ใน fig 8-9 ทั้งนี้เราคงมุมมอง Neutral ต่อกลุ่มพลังงานฯ และไม่มี top pick
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP