Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

491

 

"Selective Plays"

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "พักสั้นๆก่อนฟื้นตัว" ต้าน 1438/1446 จุด รับ 1412/1406 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งลง S&P 500 -1.73% vs Dow Jones ลงน้อยกว่า -1.01% สะท้อนตลาดยังเลือก Value (ค้าปลีก, การแพทย์) เป็นกลุ่ม "Outperform" หลักๆ เกิดจากเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอลงต่อเนื่อง การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐ ส.ค. 24 แม้เพิ่ม m-m แต่มาจากฐานที่ถูกปรับลงและต่ำคาด ขณะที่อัตราว่างงานลดลงเหลือ 4.2% สะท้อนตลาดแรงงานยังประคองตัว สอดรับดัชนีภาคบริการ (65-70% ของ GDP) ที่ขยายตัวเด่น หนุน US Soft-landing ในปีนี้ ภายในพัฒนาการทางการเมืองเป็นบวก วันนี้คาด ส.ว. อนุมัติงบประมาณปี 2568 และ 12 ก.ย. นายกแถลงนโยบาย และติดตามการแถลงกองทุนวายุภักษ์วันนี้ ผสาน สรรพากรเตรียมเรียกเก็บภาษีการลงทุนต่างประเทศ หนุนการลงทุนภายใน คาด SET พัก สั้นๆ ก่อนฟื้นตัว หุ้นแนะนำสะสม หุ้นดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ) หุ้นธีมวายุภักษ์ (AOT, PTT, KTB, CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, ADVANC, GULF, BBL, KBANK, HMPRO, INTUCH) และหุ้น Domestic + หุ้น Anti-Commodities วันนี้เน้น BGRIM, MINT, MTC

 

 

 

Daily outlook: "พักสั้นๆก่อนฟื้นตัว" ต้าน 1438/1446 จุด รับ 1412/1406 จุด

What happened around the world ?

(*/-) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงรับตัวเลขการจ้างงานสหรัฐออกมาต่ำคาด Dow Jones -1.01%d-d S&P500 -1.73%d-d, Nasdaq -2.55%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ Outperform คือ กลุ่ม Real estate อาทิ Real estate, Consumer staples, Health care ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ปรับลงแรงคือ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ กลุ่ม Tesla -8.4%, NVDIA -4.1%, Broadcom -10.3% รับบริษัทคาดการณ์ รายได้ในไตรมาส 4 จะต่ำกว่าที่คาด เนื่องจากการใช้จ่ายในธุรกิจบรอดแบนด์ซบเซา , AMD -3.6% เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไทย Alphabet -4.08% ฯลฯ

(-) US Econ: สหรัฐประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payrolls) เดือน ส.ค.เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดแต่อัตราว่างงาน(Unemployment rate) ลดลงตามที่คาด โดยจำนวนการจ้างงาน + 1.42 แสนรายต่ำกว่าที่ Consensus คาดที่ 1.6 แสนราย, อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.2% จาก 4.3% ในเดือน ก.ค. ตามที่ Consensus คาดไว้ หลังรายงานตัวเลขดังกล่าวพบว่านักลงทุนตอบรับในทางลบ แม้อัตราการว่างงานที่เคยปรับขึ้นไปแตะ Trigger ของ Sham Rule ที่ระดับ 4.3% ในเดือน ก.ค. (บ่งชี้จะเกิด Recession ในสหรัฐ) จะปรับตัวลงสู่ระดับ 4.2% ในเดือน ส.ค. แต่นักลงทุนกลับไม่วางใจกับตัวเลขเพราะทางการ Revise down บ่อยครั้ง โดยเฉพาะตัวเลข Nonfarm Payrolls ซึ่งล่าสุดสหรัฐ Revise down ตัวเลขเดือน ก.ค. จาก 1.14 แสนราย เหลือ 8.9 หมื่นราย และ มิ.ย. ปรับลงจาก 2.06 แสนราย เหลือ 1.79 แสนราย ปัจจัยนี้ทำให้ตัวเลขขาดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะการนำไปใช้เพื่อประเมินสถานการณ์ต่างๆ ยิ่งยากลำบาก ทำให้เป็น Uncertainty กดดันให้นักลงทุนขายลดความเสี่ยงเพื่อรอประเมินสถานการณ์ อย่างไรก็ตามในมุมของ KSS ซึ่งอิงจาก Leading Indicator ในหลายๆ กิจกรรมเศรษฐกิจของสหรัฐ อาทิ ภาคบริการ (PMI ภาคบริการ) ซึ่งคิดเป็น 70% ของ GDP สหรัฐยังแข็งแกร่ง KSS คงมุมมองเดิม คือ Sof landing (เงินเฟ้อลด เศรษฐกิจยังมีเสถียรภาพ) เป็นจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ,ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึงตลาดหุ้นไทย

(*/+) Fed Speaks : 1.) คุณ Chistopher Waller คณะกรรมการ Fed (Voter) แสดงความเห็นหนุนให้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.2024 เพื่อกระตุ้นตลาดแรงงานที่อ่อนแอ 2.) John William ประธาน Fed สาขา New York เผยเศรษฐกิจกำลังอยู่ในดุลยภาพ และเงินเฟ้อกำลังปรับตัวสู่เป้าหมาย 2% ถึงเวลาเหมาะสมที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย

(*) Bird Flu ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(CDC)สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดนกชนิดเอในรัฐมิสซูรี นับเป็นครั้งแรกที่พบ โดยสหรัฐเป็นผู้บริโภคสัตว์ปีกรายใหญ่ของโลก มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจส่งออกสัตว์ปีก อาทิ GFPT, CPF, BR

(*/+) To monitor ฝั่งสหรัฐ 11 ก.ย. CPI ทั่วไป CPI ส.ค. คาด +0.2%m-m, +2.6%y-y vs prev. +0.2%m-m, +2.9%y-y Core CPI คาด +0.2%m-m, +3.0%y-y vs prev. +0.2%m-m, +3.2%y-y ฝั่งจีน 9 ก.ย. เงินเฟ้อ CPI ส.ค. เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +0.7%y-y vs prev. +0.5%y-y 10 ก.ย. ยอดส่งออก ส.ค. +6.7%y-y vs prev. +7.0%y-y, นำเข้า +2.3%y-y vs prev. +7.2%y-y, เกินดุล +81.5 พันล้านเหรียญ vs prev. เกินดุล +84.65 พันล้านเหรียญ ฝั่งญี่ปุ่น 9 ก.ย. ติดตามรายงาน GDP งวด 2Q24 รอบสุดท้าย คาด +0.8%y-y เท่ารายงานรอบก่อน

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับลงต่อทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี 4 เดือนแนวโน้มระยะกลางเป็นขาลง อายุ 2 ปี ปรับลง -9 bps อยุ่ที่ 3.66% และอายุ 10 ปีปรับลง -1 bps มาอยู่ที่ 3.72% มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ การเงิน MTC, กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มชิ้นส่วน DELTA ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่า 101 จุด

(-) Oil : ราคาน้ำมันดิบยังเป็นขาลง และทำจุดต่ำสุดตั้งแต่ มิ.ย.2023 น้ำมันดิบ Brent -2.24%d-d ปิดที่ US$ 71.06/barrelน้ำมันดิบ West Texas -2.14%d-d ปิดที่ US$ 67.67/barrel แรงกดดันหลักคือ การกลับมาเพิ่มการผลิตน้ำมันจากลิเบีย และ PMI ภาคการผลิตสหรัฐ จีน รายงานสัปดาห์ก่อนออกมาต่ำกว่า 50 จุด โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อ หุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP ในทางตรงข้ามเป็นจิตวิทยากบวกต่อหุ้นที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อาทิ สายการบิน AAV, BA กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO

 

What happened in Thailand ?

(+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก +23.36 จุด หรือ +1.66% ปิดที่ 1428 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1.07 แสนล้านบาท ตลาดยังคงเก็งภาพความชัดเจนกรอบเวลากองทุนวายุภักษ์ที่หนุนเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาด (เปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 16-20 ก.ย.) กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (GULF, PTT) กลุ่มธนาคาร (SCB, KBANK, BBL) กลุ่มค้าปลีก (CRC, HMPRO, CPALL) โดยเป็นกลุ่มถูกเก็งว่าจะถูกเพิ่มน้ำหนักจากองทุนวายุภักษ์ใหม่ กลุ่มที่ถ่วงหรือปรับตัวขึ้นน้อย คือ กลุ่มอิงความต้องการต่างประเทศ อาทิ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA, KCE, HANA) กลุ่มอาหาร (CPF)

(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ขายพันธบัตร -0.64 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +321.1 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Short -37,982 สัญญา เงินบาทยังอยู่ในโซนแข็งค่า 33.7 +/- บาท

(+) Vayu pak: วันนี้ (9 ก.ย.) ช่วงบ่ายจะมีการแถลงข่าวและนำเสนอข้อมูล "กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง" ข้อมูลเบื้องต้นหลักๆ 1.) ผลตอบแทนขั้นต่ำต่อปีราว 3% แต่ไม่เกินกว่า 9% 2.) เป็นกองทุนปิดที่ต้องถือครบอายุ 10ปี มองความคืบหน้าดังกล่าวและกรอบเวลาการขายหน่วยลงทุนที่มีความชัดเจนจะหนุนหุ้นในธีมดังกล่าวต่อเนื่อง โดย KSS ยืนยันมุมมองเชิงบวกต่อเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด 1.0-1.5 แสนล้านบาท โดยทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท อิงผลศึกษาช่วงปี 2012-13 ที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในวงจรกำลังฟื้นตัวเช่นเดียวกับปัจจุบัน จะหนุน SET ได้ราว 20 +/- จุด ทั้งนี้ ธีมลงทุนเรื่องกองทุนวายุภักษ์ เราแนะนำ 4 ธีมหลัก ดังนี้

กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, PTT, KTB

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

(+) Economic Policy Statement: ิงเอกสารคำแถลงของ ครม. ใหม่ที่นายกจะแถลง 12 ก.ย. นี้ พบว่า มีนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนทั้งสิ้น 7 นโยบาย โดยรวมเรามองบวกต่อหุ้นฝั่ง Domestic ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC) ธนาคาร (BBL, KBANK) เช่าซื้อ (MTC) ท่องเที่ยว(AOT (ตั้งรับ), BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK) กลุ่ม Infra Tech (GULF, WHA, ADVANC, TRUE, BE8, BBIK), Entertainment Complex

1) นโยบายที่จะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถ สินเชื่อทั้งในและนอกระบบ โดยจะดำเนินนโยบายผ่านสถาบันการเงินรัฐฯ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ เรามองบวกต่อกลุ่มธนาคาร เช่าซื้อที่กำลังเผชิญแรงกดดันคุณภาพสินทรัพย์ ทั้งนี้ มีโอกาสเป็นจิตวิทยาลบเล็กๆ ต่อกลุ่มติดตามหนี้ที่ปริมาณการขายหนี้เสียสู่ระบบระยะสั้นอาจจะลดลง แต่ระยะกลาง-ยาว เชื่อหนุนจากความสามารถจ่ายหนี้ดีขึ้น นโยบายดังกล่าวเน้นลงทุน KBANK, KTB, BBL, MTC

2) รัฐบาลจะดูแล+ส่งเสริมพร้อมปกป้องผลประโยชน์ธุรกิจ SMEs เรามองบวกต่อธนาคารที่มีสินเชื่อ SMEs สัดส่วนสูงๆ อาทิ KBANK, TTB

3) รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธาณณูปโภค (ปรับโครงสร้างราคาพลังงงาน เช่น Direct PPA บวกต่อกลุ่มหุ้นในธีม Infra Tech ที่ดึงดูดการลงทุน Data Center จากต่างประเทศเร็ว+เร่งขึ้น อาทิ GULF, WHA, ADVANC, TRUE, BE8, BBIK) การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนพลังงาน บวกต่อ PTTEP การผลักดันระบบขนส่งมวลชน ค่าโดยสารราคาเดียว บวกต่อ BTS

4) นโยบายนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีเข้าสู่ระบบภาษี บวกต่อการเงินภาษีสร้างสวัสดิการที่ดีและการพัฒนาประเทศระยะยาว

5) นโยบายเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญกลุ่มเปราะบางลำดับแรก คาดเป็นการนำเงินส่วนเพิ่มงบประมาณปี 2024 แจกตรงสู่กลุ่มดังกล่าว และผลักดันโครงการ Digital Wallet ต่อเนื่อง บวกต่อกลุ่ม Domestic ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC) ธนาคาร (BBL, KBANK) เช่าซื้อ (MTC, JMT)

6) รัฐบาลจะยกระดับเกษตรดั้งเดิมเป็นเกษตรทันสมัย บวกต่อหุ้นกลุ่มเกษตร – อาหารที่มีความพร้อมลงทุน อาทิ CPF กลุ่ม Digital Tech ในฐานะผู้ให้คำปรึกษา Digital Transformation อาทิ BE8 BBIK

7) นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวมนุษย์สร้าง สวนน้ำ สวนสนุก สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) รวมถึงการดึงเทศกาลระดับโลกเข้ามาจัดในไทย เรามองบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวที่ตลาดจะเห็นภาพการยกระดับการเติบโตนักท่องเที่ยวระยะถัดไป หลังยอดปัจจุบันใกล้แตะระดับก่อน COVID แล้ว (AOT (ตั้งรับ), BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)

ส่วนนโยบายระยะกลาง-ยาว อาทิ การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปสู่ยานยนต์อนาคต (HEVs PHEVs BEVs และ FCEVs) การส่งเสริม Soft Powet การส่งเสริมอุตสาหกรรมอนาคต (Green Economy, Digital Economy, Medical Hub, Financial Hub, การลงทุน Infrastructure และ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ อาทิ การศึกษาแนวทาง Negative Income Tax)

(+) TH Annual Budget 2024: วันนี้ (9 ก.ย.) คาดว่า ส.ว. จะพิจารณา ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2568 วงเงิน 3.7527 ล้านล้านบาท รวดเดียว 3 วาระ มองความคืบหน้าดังกล่าว จะหนุนหุ้นกลุ่ม Domestic อาทิ ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC) ธนาคาร (BBL, KBANK) เช่าซื้อ (MTC, JMT) รับเหมา+วัสดุก่อสร้าง (STEC, SCC)

(+) Telcos: กสทช. ได้จัดทำแผนการจัดสรรคลื่นความถี่กิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลของประเทศไทยระยะ 5 ปี (2567 – 2571) เพื่อรองรับในปี 2568 และ 2570 ที่ประเทศไทยจะมีคลื่นที่ได้จัดสรรให้เอกชนสิ้นสุดการอนุญาตให้ใช้งานประกอบด้วย 850 MHz 1500 MHz 2100 MHz และ 2300 MHz เรามองคลื่นส่วนใหญ่ที่จะเป็นคลื่นในมือเดิมของผู้ประกอบการที่ถูกนำกลับมาประมูลใหม่ มีโอกาสเห็นต้นทุนลดลงจากเดิม หนุนเรามองบวกต่อกลุ่มสื่อสารต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในกลุ่มคลื่นเดิมดังกล่าวส่วนใหญ่เป็น TRUE จึงเป็นประโยชน์กับ TRUE มากกว่า

(*/+) Tax: อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างเร่งเสนอกฎหมาย และเตรียมความพร้อมรองรับการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม

การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ (Global Minimum Tax) ที่กำหนดให้กลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่ เสียภาษีเงินได้ในอัตราภาษีที่แท้จริงไม่น้อยกว่า 15% แม้ระยะสั้นประเด็นดังกล่าวอาจสร้างจิตวิทยาลบต่อกลุ่มนิคมฯ แต่เรามองเป็นกลางถึงบวกอ่อนๆ และเชิงกลยุทธ์ทยอยตั้งรับหากหุ้นอ่อนตัวลง เนื่องจากภาษีดังกล่าวจะมีการปรับใช้ในทุกประเทศ และคาดว่าจะการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะเป็นหน้าที่หน่วยงานรัฐฯจะต้องมีแนวทางในการชดเชย อุดหนุนหรือสนับสนุนทดแทน นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะช่วยให้ภาครัฐฯมีรายได้ภาษีเพิ่มเติมมากขึ้น
การปรับแก้ไขกฎหมายให้บุคคลผู้มีเงินได้จากต่างประเทศ และพำนักอยู่ในประเทศไทยเกินกว่า 180 วัน มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากปัจจุบันที่หากมีเงินได้จากต่างประเทศ และเมื่อได้นำเงินเข้ามาในประเทศไทย จึงค่อยเสียภาษีเงินได้ เรามองกรณีดังกล่าวมีโอกาสจะเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศกลับสู่ไทย เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีเม็ดเงินใหม่ในส่วนกองทุนวายุภักษ์และ ThaiESG เกณฑ์ใหม่
(*) Minimum Wage: รมว.แรงงาน ยืนยัน เตรียมปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในวันที่ 1 ต.ค.นี้แน่นอน แต่จะไม่เท่ากันทั่วประเทศ เป็นเพียงบางอาชีพเท่านั้น พร้อมเดินหน้าทำตามนโยบายที่รัฐบาลชุดใหม่กำหนด ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับความคืบหน้าคณะอนุกรรมการค่าแรงล่าสุดที่มีมติ ดังนี้ 1.) มี 13 จังหวัดที่ปรับขึ้นค่าแรง 10-42 บาท (จากฐานค่าแรงเฉลี่ย 355 บาท โดยมี จ.ภูเก็ตและสมุทรปราการที่แตะระดับ 400 บาท 2.) มี 32 จังหวัดที่มีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 2-9 บาท 3.) ส่วนที่เหลือ 23 จังหวัดไม่มีการปรับเพิ่มค่าแรง เราประเมินการปรับลักษณะดังกล่าวน่าจะเพิ่มค่าแรงเฉลี่ยทั่วประเทศราว 2% +/- ผสาน การปรับในระดับสูงอยู่ในจังหวัดที่มีการขยายเศรษฐกิจดี โดยรวมมองผลกระทบจำกัด แต่อาจสร้างจิตวิทยาลบต่อกลุ่มที่มีสัดส่วนค่าแรงต่อต้นทุนสูง ขณะที่มีมาร์จิ้นจากการดำเนินธุรกิจไม่มาก อาทิ รับเหมา อสังหา สถานีบริการน้ำมัน ส่วนกลุ่มได้รับจิตวิทยาบวก อาทิ กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มติดตามหนี้ กลุ่มที่จำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง

(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายใน ติดตาม 1.) 9 ก.ย. คาดว่า ส.ว. จะพิจารณา ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2568 รวดเดียว 3 วาระ 2.) 12 ก.ย. ติดตามการแถลงนโยบาย ครม. ใหม่

 

Daily Strategy : BGRIM, MINT, MTC เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "พักสั้นๆ ก่อนฟื้นตัว" ภาพต่างประเทศยังผันผวนจากความกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ยังมีจุดดีที่หุ้น Value ผันผวนน้อยกว่าภาพรวม ยังสะท้อนภาพบวกต่อตลาดหุ้นไทยที่มีน้ำหนักหุ้น Value สูง ส่วนภายในแรงขับเคลื่อนมาจากความคาดหวังเชิงบวกแนวโน้มเศรษฐกิจ 2H24F ความคืบหน้างบประมาณปี 2568 มีต่อเนื่อง ขณะที่เม็ดเงินใหม่เข้าหนุนตลาด นอกจากกองทุนวายุภักษ์ที่จะชัดเจนวันนี้ และยังมีโอกาสเห็นภาพเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ แม้ไม่นำเงินกลับที่มีโอกาสโยกกลับ หุ้นนำ มอง 1) หุ้นดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ) 2) หุ้นธีมวายุภักษ์ (AOT, PTT, KTB, CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, ADVANC, GULF, BBL, KBANK, HMPRO, INTUCH) และ 3)หุ้น Domestic + หุ้น Anti-Commodities

 

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, PTT, KTB

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)

• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Vayupak Plays

แนวโน้มกระแสเชิงบวกจากการลงทุนด้วยธีม ESG จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นนับจากนี้ไป จากแรงหนุน

1.) กองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG หลักเกณฑ์ใหม่ ปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงินและสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสานระยะเวลาการถือครองเพื่อลงทุน พร้อมรับสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีสั้นลง คาดส่งผลบวกมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหุ้นไม่ต่ำกว่า LTF ในอดีต โดยเราประเมินปีละ 7.8 หมื่นล้านบาท

2.) กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท ที่กลับมาเสนอขายนักลงทุนทั่วไปภายใน 3Q24 นี้ ซี่งนโยบายลงทุนจะประกอบด้วยการลงทุน Passive หุ้นที่มีผลประกอบการและกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงสูง และการลงทุนแบบ Active ขณะที่ในด้านหนึ่งเกณฑ์การลงทุนในหุ้นที่มี ESG จะถูกนำมาพิจารณาเพิ่มเติม

Analysis : ประเมินว่าเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหลัก ๆ 2 ส่วนในปี 2024 ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท (กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท บวกกับ เม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท) ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 2025 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท น่าจะหนุน SET ที่ปัจจุบันมีปัจจัยขับเคลื่อนการเมืองภายในชัดเจน และรัฐบาลใหม่ค่อนข้างมีเสถียรภาพมากขึ้น

กลยุทธ์แนะนำลงทุนในหุ้น 4 กลุ่มดังต่อไปนี้:

1. หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, PTT, KTB

2. หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO

3. หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

4. หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

• Strategy Update : Data Center

กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด

จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP

มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)

Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้

o FTSE All World (Large + Mid Cap)

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : BLA

***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้

• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR

• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Mid Cap : BLA

***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก

o FTSE Small Cap :

หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT

หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL

o FTSE Micro Cap :

หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE

หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S

กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)

 

 

•TRUE (Buy, TP13.2) TRUE now becomes a laggard play, trading a 14% discount to ADVANC's EV/EBITDA. Closing the gap implies Bt14.5 for TRUE, 35% upside from this level. But we believe TRUE deserve to trade at premium (not even on par) due to following reasons: i) it offers higher EBITDA growth this year and next; ii) it is entering into develeraging stage after turning profit this year and has rising FCF. Paying down debt not only boosts EPS but also makes TRUE even cheaper on EV/EBITDA. Blue-sky scenario (TRUE's debt equals ADVANC), EV/EBITDA will fall to only 6x. Buyer on TRUE with new TP Bt13.2 from roll-over to end-25 (up from Bt12).

•KBANK (Buy, TP155) เรามีมุมมอง slightly positive ต่อการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์กับ BAM เพราะ BAM มีประสบการณ์ด้านบริหารหนี้เสีย และติดตามหนี้ ดังนั้นเราคาดว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภายในการติดตามหนี้ และเพิ่มทางเลือกให้ KBANK ในการจัดการกับ NPL นอกจากนั้นการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนของทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้ KBANK มีส่วนแบ่งจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 50% ทั้งนี้ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นพัฒนาการการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ของ KBANK ในทางบวก และการจัดตั้ง บริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์เพิ่มอีก 1 แห่ง ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นที่จะเห็นค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) กลับสู่ระดับปกติในปี 2025F

•MEB (Buy, TP39) เรามีมุมมอง 'เป็นกลาง' ต่อข้อมูลที่ได้จากการประชุม เพราะส่วนใหญ่ยังสอดคล้องกับที่เราและตลาดคาดไว้ จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024F ที่ 451 ลบ. (+17%) ภายใต้สมมติฐานการเติบโตของยอดขายปี 24F ที่ +13% (vs เป้าบริษัท +11-15%) และอัตรากำไรขั้นต้นขึ้น +50 bps y-y ส่วน 3Q24F คาดกำไรสุทธิเติบโตดี y-y ตามจำนวนสมาชิกที่ยังเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.4-0.5 แสนคนต่อไตรมาสจากสิ้น 1H24 ที่มีแล้วราว 12 ล้านราย จึงคงคำแนะนำ BUY มี TP25F ที่ 39.0 บาท/หุ้น (อิง PER23x)

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ประคับประคอง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย คงประคับ ประคอง แกว่งตัวไปมา ท่ามกลาง บริษัทจดทะเบียนไทย...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้