สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(5กันยายน2567)-----บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AAA(tha)’ ให้กับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS (AAA(tha)/เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ) มูลค่าไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท อันดับเครดิตของหุ้นกู้ มีเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้จะนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้ที่มีอยู่ สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อันดับเครดิตของหุ้นกู้ดังกล่าวอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ AIS เนื่องจากหุ้นกู้มีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท
ฟิทช์ได้ประกาศนำอันดับเครดิตทั้งหมดของ AIS เข้าสู่เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 หลังจากที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศแผนควบรวมกิจการกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ AIS คือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และจะจัดตั้งบริษัทใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยผู้เกี่ยวข้องหลักคือ อินทัช, กัลฟ์ และบริษัท สิงคโปร์ เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (Singtel) จะทำการเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ AIS ที่ถือโดยผู้ถือหุ้นรายย่อยก่อนการควบรวมกิจการ
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
การปรับลดอันดับเครดิตที่อาจเกิดขึ้น: หากบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการมีอำนาจควบคุม AIS ฟิทช์จะใช้หลักเกณฑ์การจัดอันดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Linkage Rating Criteria) เพื่อประเมินความสัมพันธ์ระหว่าง AIS และบริษัทแม่ ซึ่งฟิทช์คาดว่า บริษัทแม่น่าจะมีสถานะทางเครดิตที่อ่อนแอกว่า AIS โดยฟิทช์คาดว่าจะพิจารณาเรื่องความสามารถในการเข้าถึงและการควบคุม (Access and Control) ของบริษัทแม่ต่อ AIS อยู่ในลักษณะกึ่งเปิด (Porous) หรือเปิด (Open) และกลไกการป้องกันทางกฎหมาย (Legal Ring-fencing) อยู่ในลักษณะเปิด (Open) ซึ่งหมายความว่าอันดับเครดิตของ AIS จะถูกจำกัดอยู่ที่สถานะทางเครดิตของกลุ่มบริษัทแม่ หรือสูงกว่าได้หนึ่งระดับ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตของ AIS หลายระดับ
การคงอันดับเครดิตที่อาจเกิดขึ้น: ฟิทช์จะยกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบและคงอันดับเครดิตที่ ‘AAA(tha)’ โดยพิจารณาจาก สถานะทางเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ของ AIS หากบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการไม่ได้มีอำนาจควบคุม AIS หลังจากการเสนอซื้อหุ้น ซึ่งกรณีดังกล่าว น่าจะมีความเป็นไปได้มากขึ้น เนื่องจากราคาเสนอซื้อหุ้นเดิมและราคาที่ปรับลดลงที่ 216.3 บาทต่อหุ้น และ 211.4 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ ต่ำกว่าราคาตลาด (247 บาทต่อหุ้น ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2567) อย่างไรก็ตาม ผลการเสนอซื้อหุ้นดังกล่าวยังคงไม่แน่นอน และขึ้นอยู่กับราคาตลาดในช่วงที่มีการเสนอซื้อหุ้น
บริษัทแม่ที่มีสถานะทางเครดิตที่อ่อนแอกว่า: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการ (ซึ่งรวมงบการเงินของ AIS และหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเสนอซื้อหุ้น) จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 เท่าซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนหนี้สินของ AIS ณ ปัจจุบันที่ระดับประมาณ 1.5 เท่า อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การรวมอินทัชและ AIS เข้ากับบริษัทใหม่จะทำให้มีการกระจายตัวที่ดีขึ้นของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ครอบคลุมทั้งธุรกิจโทรคมนาคมและพลังงาน
สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่แข็งแกร่งของ AIS: สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ AIS ยังคงสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการประมาณร้อยละ 48 การเข้าซื้อกิจการของบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบรอดแบนด์รายใหญ่อันดับสองของประเทศไทย ได้สนับสนุนการกระจายตัวของแหล่งที่มาของรายได้ของ AIS ไปสู่บริการที่ไม่ใช่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้สถานะทางการตลาดของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นและสนับสนุนการเติบโตของรายได้และความมั่นคงของกำไรในระยะกลาง ฟิทช์คาดว่า AIS จะรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วย EBITDA net leverage ประมาณ 1.5 เท่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า (2566: 1.5 เท่า)
สภาวะการแข่งขันที่ปรับตัวดีขึ้น: ฟิทช์เชื่อว่าอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันด้านราคาที่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะสนับสนุนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ และการเติบโตของรายได้ของ AIS ทั้งนี้ อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยเริ่มมีสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นจากการแข่งขันที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เสร็จสิ้นในปี 2566 ผู้ประกอบการได้มุ่งเน้นไปที่การทำกำไรมากกว่าการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และค่อย ๆ ปรับลดการเสนอแพ็คเกจข้อมูลแบบไม่จำกัด
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
อันดับเครดิตของ AIS มีความแข็งแกร่งกว่าอันดับเครดิตของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ ThaiBev ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดสุราและเบียร์ในประเทศไทย เวียดนาม และเมียนมาร์ AIS และ ThaiBev มีสถานะทางธุรกิจในระดับใกล้เคียงกัน เนื่องจากบริษัททั้งสองเป็นผู้นำในธุรกิจที่ตนดำเนินการอยู่ AIS มีการกระจายตัวของธุรกิจในด้านภูมิภาคที่น้อยกว่า ThaiBev แต่อันดับเครดิตภายในประเทศของ AIS อยู่ในระดับสูงกว่า ThaiBev อยู่สองอันดับเนื่องจาก AIS มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ AIS อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย AIS มีสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่ากว่า ปตท. เล็กน้อย โดย ปตท. มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่า และมีการกระจายตัวของธุรกิจมากกว่า AIS ซึ่งช่วยลดทอน ความผันผวนที่เกิดจากธุรกิจย่อยแต่ละธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมของ AIS มีความผันผวนน้อยกว่า นอกจากนี้ AIS มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า โดยมีอัตราส่วน EBITDA Net Leverage อยู่ที่ระดับประมาณ 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับ ปตท. ที่ระดับ 2.0 เท่า
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- รายได้จากการให้บริการเติบโตประมาณร้อยละ 3 ต่อปี ในปี 2567 และ 2568 เนื่องจากเศรฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นและสภาวะการแข่งขันที่ปรับตัวดีขึ้น
- Operating EBITDA margin ที่ลดลงเหลือร้อยละ 38 ในปี 2567 (ปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 40.7) หลังจากการเข้าซื้อกิจการ บรอดแบนด์ ที่มีอัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่ต่ำกว่า
- เงินลงทุนในการขยายโครงข่ายอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2567 (ปี 2566 อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท)
- จ่ายเงินปันผลในอัตราร้อยละ 95 ของกำไร
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ฟิทช์คาดว่าจะมีการนำอันดับเครดิตออกจากเครดิตพินิจแนวโน้ม เมื่อการเสนอซื้อหุ้นเสร็จสิ้น และโครงสร้างการถือหุ้นของ AIS มีความชัดเจน ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่า 6 เดือน
ปัจจัยบวก
- ฟิทช์อาจยกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบและประกาศคงอันดับเครดิตด้วยแนวโน้มมีเสถียรภาพ หากการควบกิจการไม่ถูกดำเนินต่อ การเสนอซื้อหุ้นถูกยกเลิก หรือหากบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการ มิได้มีอำนาจควบคุม AIS
ปัจจัยลบ
- ฟิทช์อาจปรับลดอันดับเครดิตของ AIS หากการเสนอซื้อหุ้นส่งผลให้บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการมีอำนาจควบคุม AIS โดยอันดับเครดิตของ AIS จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาสถานะทางเครดิตของกลุ่มบริษัทแม่ และและ กลไกการป้องกันทางกฎหมาย (Legal Ring-fencing) หากมี รวมถึง พิจารณาเรื่องความสามารถในการเข้าถึงและการควบคุม (Access and Control) ของบริษัทแม่ ต่อ AIS ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูก (Parents and Subsidiary Rating Linkage Criteria)
สภาพคล่องและโครงสร้างหนี้
สภาพคล่องที่บริหารจัดการได้: AIS มีหนี้จำนวน 5.31 หมื่นล้านบาท ที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 12 เดือนนับตั้งแต่สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 โดยจำนวน 3.7 หมื่นล้านบาทเป็นเงินกู้ระยะสั้นชั่วคราว (bridging loan) เพื่อสนับสนุนการเข้าซื้อกิจการ ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2566 โดยฟิทช์คาดว่า AIS จะทำการรีไฟแนนซ์เงินกู้ระยะสั้นดังกล่าวบางส่วนด้วยหุ้นกู้ที่เสนอใหม่นี้ โดยหนี้ที่เหลือ 1.61 หมื่นล้านบาท น่าจะถูกรองรับด้วยเงินสดจำนวน 1.41 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องของ AIS ยังได้รับการสนับสนุนจากความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ภายในประเทศ เนื่องจากสถานะทางเครดิตที่แข็งแกร่งของบริษัท
เกี่ยวกับบริษัท: AIS เป็นผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามรายได้จากการให้บริการร้อยละ 48.5 และเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ โดยมีลูกค้าจำนวน 4.9 ล้านราย บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดตามจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงประมาณร้อยละ 46.5 บริษัท อินทัช โฮลดิงส์ จำกัด (มหาชน) และ Singtel เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 40 และ 23 ตามลำดับ
อันดับเครดิตที่เกี่ยวโยงกับอันดับเครดิตอื่น
อันดับเครดิตของ AWN ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ AIS อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของ AIS