"Vayupak + Defensive Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "พักตัวสั้นๆก่อนฟื้นตัว" ต้าน 1372/1375 จุด รับ 1360/1352 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน ดัชนี S&P500 -2.1% กดดันจากกลุ่มเทคโนโลยี NVIDIA ปัจจัยเฉพาะตัวถูกส่งหมายเรียกสอบสวนละเมิดกฎหมายผูกขาด และกลุ่มพลังงาน ตอบรับ PMI ภาคผลิต (ISM) ต่ำคาด อยู่ที่ 47.2 จุด เป็นระดับหดตัว (ต่ำกว่า 50 จุด) ต่อเนื่อง 5 เดือน ถ่วง GDPNow ล่าสุดหดลงเหลือ 2.0% vs prev. 2.5% ทำให้ตลาดกลับมากังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ราคาน้ำมัน -4.6% ทั้งนี้ เราเชื่อว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐยังต้องติดตามภาคบริการ (60-65% ของ GDP) ผ่าน PMI ภาคบริการ (ISM) และภาคแรงงาน (รายงานปลายสัปดาห์) เพิ่มเติม ขณะที่เชื่อว่า SET มีปัจจัยหนุนการเมืองภายในชัดเจน ช่วยขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ หนุน GDP ช่วงที่เหลือของปี รวมถึงมาตรการตลาดทุนกองทุนวายุภักษ์ จะประคองผันผวนต่ำกว่าต่างประเทศและน่าจะเป็นภาพพักสั้นๆก่อนฟื้นตัว หุ้นเด่น คือ กลุ่ม Anti-Commodities (โรงไฟฟ้า กลุ่มวัสดุฯ) หุ้น Domestic (ค้าปลีก ธนาคาร) หุ้น Defensive (ร.พ. สื่อสาร กลุ่ม REIT) หุ้น Big Cap (วายุภักษ์ใกล้ชัด) วันนี้แนะนำ ADVANC, AOT, CHG
Daily outlook: พักตัวสั้นๆก่อนฟื้นตัว" ต้าน 1372/1375 จุด รับ 1360/1352 จุด
What happened around the world ?
•(-) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงแรง รับตัวเลข PMI ภาคผลิตสหรัฐ เดือน ส.ค. มาต่ำ < 50 จุด และแรงกดดันมาจากหุ้น Tech นำโดย NVDIA อิง Dow Jones -1.51%d-d S&P500 -2.1%d-d, Nasdaq -3.2%d-d โดยดัชนี S&P 500 ปรับลงเกือบทุก Sectors โดยกลุ่มที่ขึ้นมีเพียง กลุ่ม Consumer Staples, Real estate ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ลงแรงคือ IT , Energy (Chevron , Exxon ลงแรงตามราคาน้ำมันดิบโลก) ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ NVDIA -9.5% จากประเด็นกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯได้ส่งหมายเรียกให้ Nvidia และบริษัทอื่นๆ เข้ามาสืบหาหลักฐานว่าบริษัทผู้ผลิตชิปรายนี้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดหรือไม่ ซึ่งเป็นการยกระดับการสอบสวน, AMD -7.8%, Microsoft -1.8%, โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นตัว high growth ไทย อาทิ กลุ่ม ชิ้นส่วน กลุ่ม ICT
• (-) US PMI : ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐ อิง S&P Global (ครอบคลุมภาคอุตสาหกรรมและเน้นสำรวจเอกชน) ออกมาต่ำกว่าที่คาด หดตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน อยู่ที่ 47.9 จุด แม้ สถาบัน ISM จะรายงานPMI ภาคการผลิต เดือนเดียวกันสูงขึ้นจากเดือนก่อนที่ 47.2 จุด แต่ยังต่ำคาดและต่ำกว่า 50 จุด โดยรวม KSS ประเมินภาคผลิตสหรัฐยังอยู่ในภาวะหดตัว แต่ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐยังคงให้น้ำหนักไปที่ PMI ภาคบริการมากกว่าเนื่องจากมีสัดส่วนราว 70%ของ GDP เมื่อเทียบกับภาคผลิตสหรัฐมีสัดส่วนเพียง 8% ของ GDP 2.)US GDPNow งวด 3Q24 จาก Fed สาขา Atlanta ออกมาต่ำกว่าคาดเยอะมาก ล่าสุด 2.0% ต่ำกว่าที่คาดที่ 2.5%
• (*/+) To monitor สหรัฐ 5 ก.ย. ติดตามการจ้างงานสำนัก ADP ส.ค. คาด +1.48 แสนราย vs prev. +1.22 แสนราย, 6 ก.ย. ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ส.ค. คาด +1.65 แสนราย vs prev. +1.14 แสนราย และอัตราการว่างงาน คาด 4.2% vs prev. 4.3% ยุโรป 6 ก.ย. ติดตามรายงาน GDP 2Q24 (ครั้งสุดท้าย) คาด +0.3%q-q, +0.6%y-y เท่าการรายงานครั้งก่อน จีน 4 ก.ย. PMI ภาคบริการสำนัก Caixin คาด 52.1 จุด เท่าเดือนก่อน
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ พลิกลงแรงหลังจากก่อนหน้าแกว่งออกข้างอีกครั้ง และ แนวโน้มระยะกลางเป็นขาลง อายุ 2 ปี ปรับลง -7 bps ที่ 3.86% และอายุ 10 ปีปรับลง -9 bps 3.83% ส่วน Dollar Index แกว่งตัวในบริเวณ 101.6 จุด
•(-) Oil : น้ำมันดิบปรับลงและทำจุดต่ำสุดในอบ 8 เดือน อิง Brent -4.86%d-d ปิดที่ US$ 73.75/barrel น้ำมันดิบ West Texas -4.36%d-d ปิดที่ US$ 70.34/barrel แรงกดดันมาจาก 1.)ลิเบียสามารถแก้ไขข้อพิพาทที่นําไปสู่การหยุดชะงักการผลิตน้ำมันจะกลับมาผลิตและส่งออกน้ำมันตามเดิม 2.) PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ (ประเทศหัวเรือใหญ่ของโลก) เมื่อคืนยังต่ำกว่า 50 จุด กระทบคาดการณ์บริโภคน้ำมัน 3.) ตลาดคาด OPEC+ จะเพิ่มกำลังการผลิตเดือน ต.ค. โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อ SET Index และหุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP ในทางตรงข้ามเป็นจิตวิทยากบวกต่อหุ้นที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อาทิ สายการบิน AAV, BA กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO
•(+) BDI : ดัชนีค่าระวางเรือ BDI +1.46%d-d และ +7.7%mtd ปิดที่ 1947 จุดแรงหนุนจาก Demand การใช้เรือ Capesize เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเรือเทกอง อาทิ PSL, TTA อย่างไรก็ตามแนะนำเพียง Trading ประเมินตลาดยังให้น้ำหนักต่อการเติบโตเศรษฐกิจหลัก สหรัฐ จีน
What happened in Thailand ?
(*/+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้น +10.96 จุด หรือ +0.81% ปิดที่ 1364.6 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CRC) กลุ่มธนาคาร (KTB, KBANK) ฟื้นตัวรับความคืบหน้าการจัดตั้ง ครม. ใหม่ที่น่าจะมีการทูลเกล้าฯภายในสัปดาห์นี้ คาดช่วยขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจหนุนกลุ่ม Domestic ได้ไวขึ้น กลุ่มถ่วง คือ กลุ่ม Property Fund &REIT (LPF, FTREIT, WHART) จิตวิทยาลบ US Bond Yield ช่วงสัปดาห์นี้กลับมาปรับขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ทรุดเร็วเท่าที่ตลาดกังวล ขณะที่ผ่านช่วงการขึ้นเครื่องหมาย XD เงินปันผล/เงินคืนผู้ถือหน่วย กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC, DCC) มองภาพพักตัว หลังรีบาวน์ขึ้นมาเร็ว
(*/-) Flows: กระแสเงินทุนนักลงทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลออก ขายพันธบัตร -27.9 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -20.4 ล้านเหรียญฯ TFEX มีสถานะ Net Short -1,583 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าสู่ 34.3 +/- บาท
(*/+) Cabinet: ที่ประชุม ครม. วานนี้ 1.) อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ 2567 รวมทั้งหมด 5 โครงการ วงเงินรวม 7,402 ล้านบาท แบ่งเป็น
ส่วนที่ 1 วงเงินรวม 2,289 ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานนำไปพัฒนาแหล่งน้ำทั่วประเทศที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมล่าสุด รวม 1,072 โครงการ
ส่วนที่ 2 วงเงินรวม 3,017 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และภัยพิบัติ ของกระทรวงคมนาคม
ส่วนที่ 3 วงเงินรวม 1,214 ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กระทรวง พม.) นำไปใช้เป็นเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ถึง 6 ปี
แนวทางซ่อมแซ่มจุดที่เสียหายจากผลกระทบน้ำท่วม เรามองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ประโยชน์จากการซ่อมแซ่มหลังน้ำท่วม อาทิ TASCO, DOHOME, GLOBAL
2.) เห็นชอบ 5 มาตรการสกัดสินค้าราคาถูกผิดกฎหมาย งัดมาตรการตรวจเข้ม บังคับอีคอมเมิร์ซจดทะเบียนภาษีในไทยเสียภาษีถูกต้อง กรณีดังกล่าวเรามองช่วยลดผลกระทบธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก SMEs ระยะถัดไป บวกต่อธนาคารที่มีฐานลูกค้าดังกล่าวสูง อาทิ KBANK, TTB และกลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะฝั่งกลุ่มขายสินค้าที่ต้องแข่งขันกับกลุ่มดังกล่าวโดยตรง เช่น สินค้าปรับปรุงบ้าน (HMPRO, DOHOME) สินค้าแฟชั่น (CRC)
(+) Vayupak: นอกเหนือนโยบาย Digital Wallet ที่เบิกจ่ายไวขึ้น หลัง ครม. ชุดใหม่ใกล้มีความชัดเจน อีกหนึ่งนโยบายที่มีผลต่อตลาดทุน คือ การนำกองทุนวายุภักษ์ เราคาดว่าจะมีความชัดเจนได้เร็วเช่นกัน o เชิงกลยุทธ์การลงทุนเราแนะนำลงทุนในหุ้น 3 กลุ่มดังต่อไปนี้
1. หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ PTT, AOT, KTB
2. หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, CRC, MINT, HMPRO, SCGP
3. หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ ADVANC, GULF
(*/-) TH Tourism: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุดอยู่ที่ 5.43 แสนคน -12.7%w-w มองเป็นจิตวิทยาลบอ่อนๆต่อกลุ่มท่องเที่ยว การบิน แต่ทิศทางดังกล่าวถือเป็นรูปแบบปกติในแต่ละปี เพราะผ่านช่วงปิดภาคเรียนในต่างประเทศ อิงนักท่องเที่ยว YTD (1 ก.ย.) ที่ 23.6 ล้านคน คิดเป็นเฉลี่ยวันละ 9.7 หมื่นคน ซึ่งน่าจะเร่งขึ้นในช่วงที่เหลือของปีจากการเข้าสู่ฤดูกาล ยังเชื่อว่านักท่องเที่ยวทั้งปี 2024 จะอยู่ในกรอบที่ตลาดคาด 35.5-36 ล้านคน เชิงกลยุทธ์มองหุ้นอ่อนตัวลงตอบรับยอดที่ชะลอลงระยะสั้น น่าสะสม อาทิ AOT, AAV, BA
(*) Minimum Wage: ผลการประชุมอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดทั่วประเทศ พบว่า มีการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำรายกลุ่มจังหวัดใหม่ ดังนี้
1.) มี 13 จังหวัดที่ปรับขึ้นค่าแรง 10-42 บาท (จากฐานค่าแรงเฉลี่ย 355 บาท โดยมี จ.ภูเก็ตและสมุทรปราการที่แตะระดับ 400 บาท
2.) มี 32 จังหวัดที่มีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 2-9 บาท
3.) ส่วนที่เหลือ 23 จังหวัดไม่มีการปรับเพิ่มค่าแรง
เราประเมินการปรับลักษณะดังกล่าวน่าจะเพิ่มค่าแรงเฉลี่ยทั่วประเทศราว 2% +/- ผสาน การปรับในระดับสูงอยู่ในจังหวัดที่มีการขยายเศรษฐกิจดี โดยรวมมองผลกระทบจำกัด แต่อาจสร้างจิตวิทยาลบต่อกลุ่มที่มีสัดส่วนค่าแรงต่อต้นทุนสูง ขณะที่มีมาร์จิ้นจากการดำเนินธุรกิจไม่มาก อาทิ รับเหมา อสังหา สถานีบริการน้ำมัน ส่วนกลุ่มได้รับจิตวิทยาบวก อาทิ กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มติดตามหนี้ กลุ่มที่จำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง ทั้งนี้ กระบวนการถัดไปคาดจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการชุดใหญ่ และ ครม. ก่อนมีผลบังคับใช้
(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ติดตาม 1.) 5 พ.ค. รายงานเงินเฟ้อ CPI ส.ค. 24 ตลาดคาด +0.48%y-y, +0.2%m-m vs prev. +0.83%y-y, +0.19%m-m 2.) 3-5 ก.ย. คาดว่า สภาผู้แทนราษฏรจะพิจารณา ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2568 วงเงิน 3.7527 ล้านล้านบาท วาระที่ 2 และ 3 ส่วนการเสนอ ส.ว. พิจารณาจะอยู่ระหว่าง 9-10 ก.ย.
Daily Strategy : ADVANC, AOT, CHG เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "พักตัวสั้นๆก่อนฟื้นตัว" แม้ปัจจัยต่างประเทศอาจสร้างความผันผวนฝั่งกลุ่มพลังงาน แต่ระยะสั้นเรามองปัจจัยในประเทศเป็นบวกน่าจะช่วยตลาดฟื้นตัวหลังพักตัวช่วงเปิดตลาดได้ จากแรงขับเคลื่อนภาพการเมืองชัดเจน หนุนนโยบายระยะสั้นน่าจะขับเคลื่อนได้เร็ว อาทิ Digital Wallet ที่เบิกจ่ายชุดแรกได้เร็ว รวมถึงนโยบายขับเคลื่อนตลาดทุนในฝั่งกองทุนวายุภักษ์ มองหุ้นนำวันนี้ กลุ่ม Anti-Commodities (โรงไฟฟ้า กลุ่มวัสดุฯ) หุ้น Domestic (ค้าปลีก ธนาคาร) หุ้น Defensive (ร.พ. สื่อสาร กลุ่ม REIT) หุ้น Big Cap (วายุภักษ์ใกล้ชัดเจน)
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, HANA, ADVICE, CPALL, CPAXT, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (PTT, GULF, GPSC, BA, AAV, COM7, SYNEX, ADVICE, ADVANC, TRUE, BE8, BBIK)
หุ้นลุ้นรับกองทุนวายุภักษ์มีความคืบหน้าเร็วๆนี้ (AOT, KTB, PTT, CPALL, SCC, CRC, MINT, HMPRO, SCGP)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, BJC, AOT, MINT, ERW, VGI, BA)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, CPAXT, TRUE, MINT, MTC, AAV, BA)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Flood2024
สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือล่าสุด แม้ภาพหน้าข่าวน่ากังวล แต่หากพิจารณาระดับน้ำในเขื่อนทั่วประเทศปัจจุบัน ณ 25 ส.ค. 24 อยู่ที่ 61% ของความจุทั้งหมด โดยระดับดังกล่าวยังอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำในเขื่อนปี 2005-23 และยังต่ำกว่า หากเทียบกับระดับปี 2022 (ปีที่ระดับน้ำสูงสุดในรอบ 5 ปีหลัง) นอกจากนี้ หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2011 (25 ส.ค. 11) ที่เกิดวิกฤติมหาอุทกภัย ระดับน้ำสูง 73% ของความจุเขื่อน โดยมีภาคที่เริ่มเฝ้าระวัง คือ พื้นที่ภาคเหนือและตะวันตก อย่างไรก็ตาม หากมองภาพความเสี่ยงที่จะมีพายุ/ไต้ฝุ่นเข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์ ความเสี่ยงหลักของเอเชีย คือ พายุไต้ฝุ่น Shanshan ปัจจุบันมีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางเอเชียเหนือมากกว่า ขณะที่น้ำในส่วนที่สร้างผลกระทบไปแล้ว เขื่อนที่ยังอยู่ในโซนพื้นที่ภาคกลาง - ใต้ - ตะวันออก ยังน่าจะรองรับได้
ทำให้ประเมินความเสี่ยงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2024 จะรุนแรงเท่ามหาอุทกภัยยังจำกัด และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อห้างค้าปลีกน่าจะอยู่ในวงจำกัดเฉพาะภาคเหนือ (3-10% ของรายได้ โดยมี CRC และ GLOBAL สูง 17% และ 25% ซึ่ง CRC น่าจะอยู่ในส่วนเชียงใหม่ที่อยู่นอกพื้นที่น้ำท่วมเป็นหลัก)
กลยุทธ์ลงทุนภายใต้สถานการณ์น้ำท่วมบาง Zone ประเมินเป็นปัจจัยบวกต่อการเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม Home Improvement อาทิ HMPRO, GLOBAL, DOHOME เน้น DOHOME (TP-12.3) , และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อาทิ DCC ,TASCO, SCGD TOA เน้น TASCO(TP-17.6) หนุนจากการฟื้นฟู ซ่อมแซม, บ้าน สถานที่ถูกน้ำท่วม ส่วนหุ้นอิงการบริโภค อาทิ ค้าปลีกสินค้าจำเป็น เช่าซื้อ ธนาคาร และสื่อสาร ที่อ่อนตัวรับความกังวลดังกล่าว แนะนำมองเป็นจังหวะซื้อลงทุน KTB (TP-21), KBANK (TP-145), CPALL(TP-84) CPAXT(TP-40), MTC(TP-58), TRUE(TP-12), ADVICE(TP Con-6.55)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด
จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• Strategy Update : FTSE Rebalance
FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)
• Strategy Update : I-Phone 16 เตรียมเปิดตัว หนุนหุ้นจำหน่ายมือถือ
กระแสการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1 -2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. ของทุกปี และในปีนี้ iPhone 16 คาดว่าจะเปิดตัว 10 ก.ย. 24 หรือราว 4 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้จุดเด่นของ iPhone 16 คือ การใช้ชิป A17 -18 สนับสนุนฟีเจอร์ AI อาทิ การแปลภาษา, การแต่งภาพ เราประเมินรอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเห็นกระแสตอบรับทางบวกจากฟีเจอร์ AI ที่ iPhone 16 จะสามารถใช้งานได้ทุกรุ่น จากปัจจุบันที่ใช้งานเฉพาะ รุ่นเรือธง (Flagship) iPhone 15 Pro เท่านั้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เดิมไม่ได้ใช้งานเครื่องรุ่นเรือธงเดิม (Flagship) มีโอกาสพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ vs ภาพหลายรุ่นช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้วงจรเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างยาวนาน กระทบยอดขายหุ้นที่ดำเนินธุรกิจช่องทางจำหน่าย
KSS ได้ทำการศึกษาสถิติการเปิดตัว i-Phone ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ
กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI (Trading), CPW (Trading) SYNEX (TP Con-13.9), ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร
• LHHOTEL (Unrated): LHHOTEL is the largest hotel REIT in Thailand who invests in five prime assets in Bangkok and Pattaya. This pave the way for it for diversified risks (location, customer profile, revenue structure). Its performances have rapid recovery to higher than pre-Covid level and would likely higher than FA's estimate of Bt1.1 DPU for FY24 (1H DPU of Bt0.61). In the same manner, its appraisal value would increase which will pull down P/NAV from currently 1.01x. At latest close, the counter offer attractive gross yield of 10% and real yield of 5.1% based on annualized 1H DPU.
• Aviation (Bullish): เรามอง Slightly Negative sentiment ยอด นทท. สัปดาห์ที่ 35/24 อยู่ที่ 0.54 ล้านคน (+8% y-y -13% w-w) เทียบเท่า 69% to Pre COVID ต่ำที่สุดในรอบปี 2024 อย่างไรก็ตาม เป็นการลดลงตามปัจจัยฤดูกาลที่เป็น Low season ของการท่องเที่ยว เราคาดยอด นทท. จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในเดือน ต.ค.24 มองเป็นโอกาส "ทยอยสะสม" คงน้ำหนัก Bullish กลุ่มการบิน และยังเลือก BA (Buy, TP 25.75) และ AOT (Buy, TP 64.5) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ
• GUNKUL (Buy, TP3.85): เรามอง Neutral ต่อ Opportunity day โดยบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้เดิมที่ 9,500 ลบ. เนื่องจากงาน Backlog งาน EPC และ Trading ยังทรงตัวสูงระดับ 4000 ลบ. และธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะเข้าช่วง High season ซึ่งปีนี้คาดกระแสลมที่แรงจากสภาวะน้ำท่วมจะหนุนกำไรปกติ 3Q24F เติบโต y-y, q-q ในขณะที่กำหนดการโรงไฟฟ้าโซล่าร์ที่จะ COD ในปี 26F ยังเป็นไปตามแผนและจะสามารถเข้ามาชดเชย Adder โรงไฟฟ้าพลังงานลมที่หมดในปี 26F ได้ โดยรวมคงประมาณการกำไรปี 24F ที่ 1,618 ลบ. (+10% y-y) และในระยะกลาง-ยาวมีแผนเปิดคัดเลือกพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 คงคำแนะนำ "Buy" และปรับไปใช้ TP25F ที่ 3.85 บาท อิง SOTP
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP