สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 30 สิงหาคม 2567 )-------PwC เผยผลสำรวจล่าสุดพบผู้บริโภคชาวไทย 54% แสดงความกังวลว่าความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคจะกระทบต่อภาพรวมของประเทศ จึงส่งผลให้ตนเลือกที่จะใช้จ่ายในสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น ขณะที่โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการทำกิจกรรมชอปปิงที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุดแต่ยังกังวลข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล
อย่างไรก็ดี มากกว่าครึ่งของผู้บริโภคชาวไทย (58%) กล่าวว่าตนจะเลือกซื้อสินค้ารักษ์โลกเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะต้องจ่ายเงินสูงกว่าราคาปกติเกือบ 12% ก็ตาม
นาย พิสิฐ ทางธนกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึง รายงานผลสำรวจเสียงของผู้บริโภค ประจำปี 2567 ภาพรวมของเอเชียแปซิฟิก ฉบับประเทศไทย ของ PwC ว่า ความไม่แน่นอนของภาพรวมเศรษฐกิจได้ส่งผลให้ผู้บริโภคแสดงความกังวลต่อการจับจ่ายสินค้า โดย 54% ของผู้บริโภคชาวไทยกล่าวว่า ความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาคจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมากที่สุดในอีก 12 เดือนข้างหน้า ตามมาด้วยปัจจัยเงินเฟ้อ (53%) และความเสี่ยงทางไซเบอร์ (41%)
“ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงได้ส่งผลต่อภาพรวมพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยคนไทยส่วนใหญ่มีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ก็ยังคงพยายามที่จะรักษาสมดุลระหว่างการใช้จ่ายที่จำเป็นและการปรับไลฟ์สไตล์ของตนให้ดีขึ้น โดยมองที่ความคุ้มค่าของเงินที่ต้องจ่ายเป็นสำคัญ” นาย พิสิฐ กล่าว
ทั้งนี้ รายงานผลสำรวจของ PwC ซึ่งรวบรวมความคิดเห็นของผู้บริโภคชาวไทยจำนวน 504 รายเกี่ยวกับแนวโน้มการจับจ่ายสินค้าและปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ เช่น เทคโนโลยีเกิดใหม่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโซเชียลมีเดีย ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2567 พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยจะให้ความสำคัญกับสินค้าที่จำเป็น (necessities) มากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย (luxury items) ในอีกหกเดือนข้างหน้า โดย 69% คาดว่าจะใช้จ่ายกับสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม (60%) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (52%)
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า สี่ในสิบของผู้บริโภคชาวไทยจะพิจารณาเปลี่ยนจากการซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ตนชื่นชอบไปใช้ตัวเลือกอื่นที่ราคาถูกกว่า หากได้รับความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากกว่า ขณะที่ 51% ยังรู้สึกพึงพอใจกับการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว การปรับปรุงที่อยู่อาศัย (50%) และเสื้อผ้าและรองเท้า (46%)
คนไทยซื้อสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียสูงกว่าทั่วโลก แต่กังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล
พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่ชื่นชอบใช้งานอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ยังสอดคล้องกับรายงานของ PwC ที่พบว่า 73% ของผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยมีการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (สูงกว่าเอเชียแปซิฟิกที่ 56% และทั่วโลกที่ 34%) โดยข้อมูลจากรายงาน Digital 2024: Thailand ที่จัดทำโดย We Are Social และ Meltwater ระบุว่า ในช่วงต้นปี 2567 มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยจำนวนทั้งสิ้น 63.21 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการท่องอินเทอร์เน็ตเฉลี่ยเกือบแปดชั่วโมงต่อวัน ขณะที่มีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียในประเทศมากกว่า 49 ล้านคน
อย่างไรก็ดี รายงานของ PwC ระบุว่า แม้ว่าผู้บริโภคชาวไทยจะชื่นชอบการทำกิจกรรมการชอปปิงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียทั้งการค้นหาแบรนด์ใหม่ ๆ (82%) หรือซื้อสินค้าหรือบริการที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ (62%) แต่พวกเขากลับจัดอันดับให้บริษัทและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุด โดย 77% กล่าวว่า ตนมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (privacy) และการแบ่งปันข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย
นาย พิสิฐ กล่าวว่า ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (data protection) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยมองว่าการปกป้องข้อมูล เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจและมีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นที่พวกเขามีต่อบริษัทต่าง ๆ
ผู้บริโภคไทยยอมจ่ายแพงสำหรับสินค้าเพื่อความยั่งยืน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคชาวไทยยังหันมาให้ความสำคัญกับการบริโภคสินค้าเพื่อความยั่งยืน (sustainable products) มากขึ้น โดยรายงานระบุว่า 95% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในชีวิตประจำวัน จึงเป็นเหตุให้ผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าครึ่ง (58%) เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น และยังเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นถึง 11.7% ของราคาสินค้าโดยเฉลี่ย ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกและเอเชียแปซิฟิกที่ 9.7% และเกือบ 11% ตามลำดับ
นาย พิสิฐ กล่าวต่อว่า การดำเนินการเพื่อความยั่งยืนของผู้ประกอบการค้าปลีกจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้นในระยะข้างหน้า โดยรายงานของ PwC พบว่า การลดของเสียและการรีไซเคิลจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมากที่สุด (45%) รองลงมา คือ บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (37%) และผลกระทบเชิงบวกต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและน้ำ (35%) นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ (79%) ยังแสดงความสนใจอย่างมากในการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า (electric vehicle) หรือรถยนต์ไฮบริด (hybrid vehicle) เพื่อการเดินทางที่ยั่งยืน
“ในปัจจุบันผู้บริโภคชาวไทยตระหนักดีถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในวงกว้างมากขึ้น และยอมที่จะจ่ายแพงกว่าเดิมสำหรับสินค้ารักษ์โลก ดังนั้น บริษัทผู้ผลิตควรต้องมีกลยุทธ์ รวมทั้งหาจุดสมดุลระหว่างความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม โดยผสมผสานการใช้ช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และนำเทคโนโลยี GenAI เข้ามาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย ในขณะเดียวกันก็ควรพิจารณาการลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจและมีความภักดีต่อแบรนด์ยิ่งขึ้น” เขา กล่าว