สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 28 สิงหาคม 2567 )---นางสาวสุรียส โควสุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน)UBE เปิดเผยว่า ตามที่ บริษัท อุบล ไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน)UBE (“บริษัทฯ”) มีแผนกลยุทธ์ในการขยายการลงทุนไปในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ กระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนของธุรกิจเดิมที่พึ่งพิงมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักเพียงอย่างเดียว และทำให้บริษัทฯ ต้องแบกรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ อาทิ ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้แสวงหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอาหารที่มีศักยภาพดี มีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ และมีทีมงานที่มีประสบการณ์รวมถึงเพิ่มโอกาสในการกระจายสินค้าของบริษัทฯ สู่ผู้บริโภค
ในการนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติให้บริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อยของบริษัทฯ เข้าลงทุนในบริษัท โอชิเน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (“โอชิเน” หรือ “Oshinei”) โดยแบ่งเป็นดังนี้การเข้าลงทุนในโอชิเนครั้งที่ 1 ภายใต้สัญญาจองซื้อหุ้นและสัญญาซื้อขายหุ้น บริษัทฯ จะทำการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 67,962 หุ้น หรือเท่ากับสัดส่วนร้อยละ 12.75 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดในโอชิเนภายหลังจากการเพิ่มทุน คิดเป็นจ านวนเงินรวมทั้งสิ้น 76,000,000 บาท และเข้าซื้อหุ้นสามัญเดิมของโอชิเนจำนวน 251,816 หุ้น หรือเท่ากับสัดส่วนร้อยละ 47.25 ของจ านวนหุ้นทั้งหมดของโอชิเนจากกลุ่มผู้ขายโดยมีรายละเอียด ดังนี้
(1) จำนวน 229,680 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 49.39ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของโอชิเน ซื้อจาก Miso Harmony Limited นิติบุคคลซึ่งจะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในประเทศฮ่องกงเพื่อประโยชน์ในการจัดการการลงทุนในโอชิเน โดยผู้ถือหุ้นที่แท้จริง (UltimateShareholder) ของ Miso Harmony Limited จะมีดังนี้
• นายทศสีห์ โควสุรัตน์ ผู้ถือหุ้นและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทางอ้อมของบริษัทฯ (“นายทศสีห์”) ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ11.80 ของหุ้นทั้งหมด
• นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ (“นายสิทธิชัย”) ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 30.37 ของหุ้นทั้งหมด
• นางวราพร ภาคโพธิ์นายกิตติศักดิ์ ลีล้อม นายสมพร โพธิ์ษาราชและนางสาวอัจฉรา ผการัตน์ ถือหุ้นที่เหลืออีกสัดส่วนรวมร้อยละ 57.83ของหุ้นทั้งหมด
(2) จำนวน 11,068 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 2.38ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของโอชิเน ซื้อจากบริษัท ยูเอ็มพี แล็บ จำกัด นิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย ซึ่งมีนาย ณพัชร อัมพุช ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.60 ของหุ้นทั้งหมดในบริษัท ยูเอ็มพีแล็บ จำกัด
(3) จำนวน 11,068 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 2.38ของจ านวนหุ้นทั้งหมดของโอชิเน ซื้อจากบริษัท ทรัพย์มั่นคง อินเวสต์จำกัดซึ่งจะจดทะเบียนและจัดตั้งขึ้นในประเทศไทย โดยจะมีนายปณต กิตติประสาธน์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของหุ้นทั้งหมด
สำหรับการเข้าลงทุนในโอชิเนครั้งที่ 1 นี้ บริษัทฯ จะชำระค่าตอบแทนเป็นเงินสดจำนวน 281,600,796.48 บาท ทั้งนี้ภายหลังการเข้าลงทุนใน Oshinei ครั้งที่ 1 เสร็จสมบูรณ์ บริษัทฯ จะถือหุ้นใน Oshinei รวมทั้งสิ้นจำนวน 319,778 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 60.00 ของจ านวนหุ้นทั้งหมดของโอชิเน (“การเข้าลงทุนครั้งที่1”)ในการนี้ เนื่องจากนายทศสีห์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทางอ้อมของบริษัทฯ และนายสิทธิชัย ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งเป็นบิดาของนายทศสีห์ และนางสาวสุรียส โควสุรัตน์ ซึ่งเป็นกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทางอ้อมของบริษัทฯ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Miso Harmony Limited (ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 10 ของหุ้นทั้งหมด) Miso Harmony Limited จึงเข้าข่ายเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือใช้แทนที่) และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือใช้แทนที่) (รวมเรียกว่า “ประกาศเรื่องรายการที่เกี่ยวโยงกัน”)
ทั้งนี้ บริษัท ยูเอ็มพี แล็บ จำกัด และบริษัท ทรัพย์มั่นคง อินเวสต์ จำกัด รวมถึงผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ของ Miso HarmonyLimited (นอกเหนือจากนายทศสีห์ และนายสิทธิชัย)ข้างต้นไม่เข้าข่ายเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ ตามประกาศเรื่องรายการที่เกี่ยวโยงกัน
การเข้าลงทุนใน Oshinei ครั้งที่ 2 ภายใต้สัญญาให้สิทธิในการเข้าลงทุนครั้งที่ 1 และสัญญาให้สิทธิในการเข้าลงทุนครั้งที่ 2 บริษัทฯ มีสิทธิจะซื้อหุ้นสามัญจาก Miso Harmony Limited จากบริษัท ยูเอ็มพี แล็บ จำกัด และบริษัท ทรัพย์มั่นคงอินเวสต์ จำกัด โดยแยกเป็นการลงทุน ดังนี้
(1) ภายใต้สัญญาให้สิทธิในการเข้าลงทุนครั้งที่ 1(First Call Option Agreement) ในกรณีที่ผลการดำเนินงานรวมของ Oshinei ในปี 2567 และปี 2568 ที่ปรากฏในงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของ Oshinei ต่ำกว่า 97,000,000 บาท บริษัทฯ มีสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของ Oshinei ในราคาซึ่งเท่ากับมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของหุ้น (หุ้นละ 100 บาท) เพิ่มเติมเป็นจ านวนรวมไม่เกิน 53,296 หุ้น คิดเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 แต่ไม่เกินร้อยละ 10ของจำนวนหุ้นทั้งหมดตามอัตราส่วนที่คู่สัญญาจะตกลงกัน โดยบริษัทฯ สามารถใช้สิทธิได้ในปี 2569 และหากบริษัทฯ ใช้สิทธิในการเข้าลงทุนครั้งที่1 นี้ บริษัทฯ จะถือหุ้นของโอชิเนรวมทั้งสิ้นไม่เกินร้อยละ 70 ของหุ้นทั้งหมด
(2) ภายใต้สัญญาให้สิทธิในการเข้าลงทุนครั้งที่ 2(Second Call Option Agreement) ในปี 2570 บริษัทฯมีสิทธิซื้อหุ้นจำนวนไม่เกิน 53,296 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 10.00ของหุ้นทั้งหมด
อย่างไรก็ดี การเข้าทำธุรกรรมทั้งหมดข้างต้นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อบริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเข้าทำรายการดังกล่าว และต่อเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่ระบุไว้ในสัญญาที่เกี่ยวข้องเสร็จสมบูรณ์ หรือได้รับการผ่อนผัน
บริษัทฯ คาดว่าจะเข้าลงนามในสัญญาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดภายในกลางเดือนกันยายน 2567 และการเข้าลงทุนในOshinei ครั้งที่ 1 คาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2567และการเข้าลงทุนใน Oshinei ครั้งที่ 2 คาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2570
อนึ่ง บริษัท โอชิเน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ประกอบธุรกิจแบ่งออกเป็น 1) ธุรกิจขายแฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่นในนามร้านโอชิเน 2) ลงทุนในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นจำนวน 6 สาขา และธุรกิจร้านอาหารยากินิคุ 1 สาขาอันประกอบไปด้วย บริษัท ส.เขมราฐ เจแปน ฟู้ด จำกัด บริษัท อุดร เจแปน ฟู้ด จำกัด บริษัท ส.เขมราฐ อินเตอร์ ฟู้ด จำกัด บริษัท โอชิเน เอ็นเตอร์ไพรส์เชียงใหม่ จำกัด บริษัท โอชิเน เอ็นเตอร์ไพรส์ สุรินทร์ จำกัด และ บริษัท โอชิเน เอ็นเตอร์ไพรส์ โคราช จำกัด และบริษัท โอชิเนยากินิกุ แอนด์ ซาชิมิ จำกัด และ3) ลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่ายวัตถุดิบให้แก่ร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือ Oshinei
แหล่งเงินทุนสำหรับการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ Oshinei จำนวน 357,600,000.00 บาท มีรายละเอียดดังนี้
1) กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท ฯ จ านวน 120,000,000.00 บาท
2) เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จำนวน 237,600,000.00 บาท (“เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน”)ซึ่งบริษัทฯ
อยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับข้อเสนอจากสถาบันการเงินในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567
ทั้งนี้ การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินดังกล่าว จะส่งผลให้บริษัทฯ มีภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น โดย ณวันที่ 30 มิถุนายน 2567 บริษัทฯ มีหนี้สินรวม เท่ากับ 2,364.63 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม เท่ากับ 5,829.19 ล้านบาทส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.41เท่า อย่างไรก็ตาม หากคำนวณวงเงินกู้ยืมเพิ่มเติมจากการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน จ านวน 237.6 ล้านบาท จะส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.45เท่าซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมของบริษัทฯ