Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Matket Talk

402

 


พักฐาน สะสมกำลังสำหรับเดินหน้าต่อ
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน ยังไม่เห็นปัจจัยใหม่เข้ามาขับเคลื่อนต่อ โดยการจัดตั้งรัฐบาล สัปดาห์นี้คงเป็นช่วงการตรวจสอบคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรี ซึ่งดำเนินการควบคู่ไปกับการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเราเห็นว่าแม้เกิดกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคหายไป พรรคร่วมที่เหลือก็ยังเป็นเสียงข้างมากสามารถที่จะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลต่อไปได้เบื้องต้นคงประเมินว่ารัฐบาลใหม่จะเริ่มปฎิบัติหน้าที่ราวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน กันยายน ส่วนประเด็นอื่นเป็นการรายงานตัวเลขการส่งออกนำเข้า พบว่าออกมาเติบโตสูงกว่าคาดทั้ง 2 ส่วน โดยการส่งออกเดือนก.ค. โต 15.2% YOY(คาด6.95%) และนำเข้าโต 13.1%(คาด 1.35%) แม้จะมียอดขาดดุลการค้าสูงขึ้น แต่ก็ยังถือเป็นสัญญาณที่ดี ขณะที่วันนี้จะเริ่มงาน THAILAND FOCUS หวังดึงดูด FUND FLOW เข้ามาคาดว่า SET INDEX วันนี้ยังอยู่ในช่วงการพักฐานระยะสั้น ภายใต้ทิศทางหลักที่เป็นขาขึ้น ประเมินกรอบ 1358 – 1373 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้
เลือก BDMS, CK และ GPSC

 


ส่งออกโตเกินคาด แต่ NPL ยังน่าห่วง จับตาผลกระทบเศรษฐกิจ
วานนี้กระทรวงพาณิชย์เผยส่งออกไทยเดือน มิ.ย. 67 แม้จะหดตัว -0.3%YOY ติดลบมากกว่าคาดที่ 2.6% แต่เมื่อเทียบมูลค่า 24.80 หมื่นล้านเหรียญฯ สูงกว่ามูลค่าเฉลี่ย36 เดือน ที่ 23.46 หมื่นล้านเหรียญฯ ขณะที่ดุลการค้าเกินดุล 2 เดือนติดต่อกัน ส่วนยอดส่งออก 1H67 ขยายตัว +2.0%YOY
สำหรับดุลการค้าล่าสุด แม้จะขาดดุล 1,370 ล้านเหรียญฯ แต่การนำเข้าที่ขยายตัวสูง+13.1% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป +17.8%YOY (มีสัดส่วน40.97%) คาดช่วยหนุนให้ปริมาณการผลิตในช่วงที่เหลือของปีสูงขึ้น

 

สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทยตามโครงสร้างสินค้าส่งออกในเดือน ก.ค. 2567เติบโตเด่นในทุกๆ หมวด ขณะที่กลุ่มสินค้าส่งออกที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือน ก.ค. 67 ขยายตัวได้ดีทั้ง MOM และ YOY อาทิ ยางพารา(STA, NER) ทูน่ากระป๋อง (TU) ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง (CPF, GPFT) อาหารสัตว์เลี้ยง (ITC,CPF, ASIAN, AAI) ฯลฯ

 

ภาพรวมการส่งออกที่ดูดีขึ้น เชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจไทย แต่อย่างไรก็ตาม บ้านเรายังต้องติดตามเรื่องเสถียรภาพการเงินมากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ กนง. ให้น้ำหนักต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน

หากพิจาณาจากหนี้เสีย (NPL) ของ ธ.พ. ใน 2Q67 ที่ ธปท. เผยออกมา พบว่า NPLสินเชื่อธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 2.84% (ไตรมาสก่อน 2.8%) อีกทั้งกลุ่มSME เข้าถึงสินเชื่อจำกัดมากขึ้น ขณะที่ NPL สินเชื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่3.13% (ไตรมาสก่อน 2.95%) นอกจากนี้ยังมีตัวเลขหนี้ครัวเรือน/GDP ใน 2Q67 ที่ทรงตัวในระดับสูงที่ 90.8% ซึ่งปัจจัยเหล่านี้หากส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวมในระยะถัดไป อาจเพิ่มโอกาสที่จะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในเดือน ธ.ค


สรุป ภาคการส่งออกที่ดูดีขึ้น น่าจะถึงกรอบเป้าหมายทั้งปีที่ 1-2% ได้ไม่ยากเชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจไทย แต่อย่างไรก็ตาม บ้านเรายังต้องติดตามเรื่องเสถียรภาพการเงินมากเป็นพิเศษ เพราะหากระยะถัดไปมีผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม อาจเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในเดือน ธ.ค.

การเมืองไทย น่าจะเห็นรัฐบาลใหม่เริ่มปฎิบัติหน้าที่ ครึ่งหลังของเดือน ก.ย.67
ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ในช่วงสัปดาห์นี้ คงเป็นเรื่องของการตรวจสอบคุณสมบัติของว่าที่ รัฐมนตรี ซึ่งดำเนินการควบคู่ไปกับการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลประเมินว่าการนำรายชื่อ รัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ น่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ตามด้วยพิธีการต่างๆ คือ การรอโปรดเกล้าฯ ลงมา การถวายสัตย์ปฏิญาณ และสุดท้ายก่อนปฎิบัติหน้าที่คือการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงนครึ่งหลังของเดือนก.ย.67


สำหรับสถานการณ์การเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล ล่าสุด มติกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยแถลง ออกมาว่าไม่มีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมรัฐบาล ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่าจะมีการส่งเทียบเชิญอย่างเป็นทางการ ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) กล่าวว่าจะพยายามรวมรวบเสียงสมาชิกในสภาฯให้มากที่สุดเพื่อที่จะสร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาล ซึ่งฝ่ายวิจัยฯไม่ได้กังวลกับประเด็นดังกล่าวมากนัก เนื่องจากพรรคแกนนำของรัฐบาลชุดดังกล่าว ยังคงเป็นพรรคเพื่อไทย + พรรคภูมิใจไทยที่มีคะแนนเสียงรวมกัน 211 เสียง จึงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายหลักไปจากเดิมมากนัก และน่าจะเห็นช่วงเวลาของการดำเนินการนโยบายต่างๆคล้ายเดิม


ดังนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ยังมีโอกาสเห็นการเติบโตแบบขึ้นบันไดใน 2H67 หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นไปตามกระบวนการที่คาดหมายไว้ โดยรัฐบาลรักษาการได้เตรียมเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสำรองไว้แล้ว จากงบฯ เพิ่มเติมปี 2567 และงบประมาณปี68 อีกราว 3.24 แสนล้านบาท คาดหวังว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นออกมา อาทิ โครงการ DIGITAL WALLET ที่ล่าสุดมีแนวทางว่าจะจัดสรรเม็ดเงินให้กับกลุ่มเปราะบาง-ผู้พิการก่อน 1 หมื่นบาท/รายภายใน 30 ก.ย.67 ส่วนเฟสที่ 2จะเป็นการจัดสรรให้กับผู้ลงทะเบียน 30 ล้านคนที่ไม่ซ้ำกับกลุ่มแรก โดยหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ MTC BAM TIDLOR TU TFG GFPT CPALL CPAXT BJCสรุป แม้กระแสการจัดตั้ง ครม.ชุดใหม่จะติดขัดไปบ้าง แต่โดยรวมคาดแล้วเสร็จช่วงกลาง ก.ย.67 ตามกรอบ TIMELINE เดิม หนุนให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ยังมีโอกาสเห็นการเติบโตแบบขึ้นบันไดใน 2H67 ซึ่งมาจาก DIGITAL WALLET ที่เตรียมแจกเงินสดแก่กลุ่มเปราะบาง-ผู้พิการก่อน 1 หมื่นบาท/ราย ภายใน 30 ก.ย.67 ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มเช่าซื้อ เกษตร-อาหาร และค้าปลีก อาทิ MTC BAM
TIDLOR TU TFG GFPT CPALL CPAXT BJC เป็นต้น


หวังต่างชาติมั่นใจลงทุนหุ้นไทยเพิ่ม
ในช่วง 28 – 30 ส.ค. 67 มีการจัดงาน THAILAND FOCUS 2024 โดยมีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมงานถึง 113 บริษัท

ต่อเนื่องด้วย 3 มาตรการกำกับดูแลเพิ่มเติมเพื่อช่วยตลาดทุน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 2 ก.ย.67 ดังนี้

3 มาตการยกระดับกำกับดูแล เริ่ม 2 ก.ย. 67

▪ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติ (“CASH BALANCE”) จากมาตรการฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเพิ่มวิธีจับคู่ซื้อขายในคราวเดียว (AUCTION) ตามช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด คือ ช่วง PRE-OPEN 1, PRE-OPEN 2 และPRE-CLOSE โดยใช้สำหรับหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ CASH BALANCE ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป
▪ กำหนดกรอบราคาซ ื้อขายแบบ DYNAMIC PRICE BAND เป็นรายหลักทรัพย์ (±10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้นๆ) เพิ่มเติมจากCEILING & FLOOR ในปัจจุบัน (±30% จากราคาปิดในวันทำการก่อนหน้า)เพื่อลดความผันผวนในเชิงราคาของแต่ละหลักทรัพย์
▪ กำหนดเวลาขั้นต่ำของคำสั่งซื้อขาย ก่อนที่จะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งซื้อขาย (MINIMUM RESTING TIME) โดยคำสั่งซื้อขายจะต้องคงอยู่ในระบบอย่างน้อย 250 มิลลิวินาที จึงจะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งได้
▪ นอกจากนี้หากพิจารณามูลค่าซื้อขายเห็นเพิ่มขึ้นแบบมีคุณภาพมากขึ้น คือมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน หลังจากได้นายกฯ คนที่ 31 (4 วันทำการ) เท่ากับ4.68 หมื่นล้านบาท บวก 27% จากเดือน ก.ค. (มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยเดือน ก.ค.ที่ 3.67 หมื่นล้านบาท) และบวก 10% จาก YTD (มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยในปีนี้4.25 หมื่นล้านบาท)

ทั้งงาน THAILAND FOCUS 2024 รวมถึง 3 มาตรการยกระดับกำกับดูแลจากทางตลาดฯ น่าจะช่วยหนุนให้มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยที่มีคุณภาพ (หัก SHORT SELL ออก)ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากเดือน ส.ค. ที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยแบบหัก SHORT SELL ออกสูงถึง4.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมาแล้ว 21%MOM, 11.9%YTD ให้เพิ่มขึ้นไปอีก รวมถึงน่าจะช่วยผลักดันให้ TURNOVER ต่อปี เดือน ส.ค. ที่ 67% ให้กลับไปยืนเหนือ 70%ได้

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้