"Oil Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1373/1380 จุด รับ 1350/1346 จุด ดัชนี S&P500 -0.32% กลุ่มที่ถ่วง คือ กลุ่มเทคโนโลยี สินค้าฟุ่มเฟือย กดดันหลักจาก PDD (เจ้าของ Temu Platform) ผู้บริหารให้ความกังวลความเสี่ยงต่อการขยายตัว จากการแข่งขันและรอรายงานผลประกอบการ NVIDIA ส่วนกลุ่มอื่นแกว่งขึัน นำโดยหุ้น Value ที่ยัง Laggard อาทิ พลังงาน ค้าปลีก จากแรงหนุนน้ำมันดีดตัวแรง 3% หลังลิเบีย (2% ของกำลังผลิต) ที่มีปัญหาการเมืองภายใน ทำให้ประกาศลดผลิตน้ำมัน ทั้งนี้ ทิศทางเม็ดเงินภาพรวม เป็นที่สังเกตว่าเริ่มหมุนเข้ากลุ่ม, ประเทศที่ Laggard และมีปัจจัยขับเคลื่อน ทำให้วันนี้เรามอง SET เคลื่อนไหว Sideways/Up โดยมีหุ้นเด่น คือ กลุ่มน้ำมัน (พลังงานต้นน้ำ) รับภาพบวกราคาน้ำมัน กลุ่มที่คาดหวังแรงหนุนมาตรการกระตุ้น ครม.ใหม่ บริโภค (ค้าปลีก ธนาคาร) Entertainment Complex (ท่องเที่ยว รับเหมา กลุ่มทุนใหญ่ AWC, BTS) กลุ่มสัญญาณ Data Center เป็นบวก Western Digital เร่งขยายโรงงานรองรับการขยายตัว (นิคม, สื่อสาร) กลุ่มเด่นหลังวายุภักษ์ยืนยันเดินหน้า (AOT, PTT, KTB) วันนี้แนะนำ PTT, PTTEP, STA
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1373/1380 จุด รับ 1354/1348 จุด
What happened around the world ?
• (*) US Stocks: US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อวานชะลอการขึ้น แนวต้านสำคัญคือ จุดสูงสุดในเดือน ก.ค. ประเด็นหลัก ตลาดรอรายงานตัวเลข GDP สหรัฐ และ PCE. อิง Dow Jones +0.16%d-d (หนุนจาก Coca-cola +1.5%IBM +0.96%), S&P500 -0.32%d-d, Nasdaq -0.83%d-d โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นทุก Sector โดยกลุ่มที่ขึ้นเด่นคือ Energy, Consumer staples, Utilities ฯลฯ กลุ่มที่ปรับลง หลักๆคือ IT ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นหลักๆคือ กลุ่มชิป อาทิ Super micro computer -8.3%, AMD-3.2% NVDIA-2.2% จากก่อนหน้ากลุ่มนี้ปรับขึ้นแรง มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นชิ้นส่วนไทย Tesla -3.2% รับข่าวรัฐบาลแคนาดาประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนในอัตรา 100% , BOEING -0.85% รับข่าว NASA เลือกใช้ยานอวกาศ SpaceX ของอีลอน มัสก์ แทนที่จะเป็นยานอวกาศ Starliner ของโบอิ้ง ฯลฯ Temu บริษัท E – commerce ประเทศจีน -29% แรงกดดันหลักคือ เจ้าของ Temu ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าการเติบโตของรายได้จะลดลง ความท้าทายในการรักษาอัตราการขยายตัวให้คงที่เมื่อต้องแข่งกับคู่แข่ง
• (*) NVDIA : NVDIA ผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะรายงานงบ 2Q24 วันพุธ (28 ส.ค.)
• (*) To monitor : 27 ส.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ส.ค. คาด 100.0 29 ส.ค. ติดตาม GDP 2Q รายงานครั้งที่สอง คาด +2.8%q-q เท่าการรายงานครั้งก่อน, 30 ส.ค. ติดตามเงินเฟ้อ PCE ก.ค. คาด +0.2%m-m, +2.7%y-y ฝั่งจีน 20 ส.ค. PBOC ประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี คาดคงไว้ทั้งอายุ 1 ปี และ 5 ปี ที่ระดับ 3.35% และ 3.85% ตามลำดับ ฝั่งญี่ปุ่น 30 ส.ค. ติดตามดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ก.ค. คาด +3.9%m-m vs prev. -4.2%m-m
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ชะลอการลง อายุ 2 ปีปรับขึ้น 1 bps ที่ 3.91% และอายุ 10 ปี +1 bps ปิด 3.82% ส่วน Dollar Index แกว่งตัวในแนอ่อนวโน้มอ่อนค่าลงมาบริเวณ 100.7 จุด
•(+)Oil : น้ำมันดิบ Brent +3.05%d-d ปิดที่ US$ 81.43/barrel น้ำมันดิบ West Texas +3.46%d-d ปิดที่ US$ 77.42/barrel แรงหนุนหลักคือ ความกังวล Supply shortage จากประเทศใน OPEC+ คือ ลิเบีย การเมืองภายใน รัฐบาลประกาศว่าการผลิตน้ํามันจะลดลง และความตึงเครียดในตะวันออกกลางตึงเครียด จากล่าสุด อิสราเอลและฮิซบุลเลาะห์โจมตีกันในวันอาทิตย์ โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ แนะนำเก็งกำไร PTTEP, PTT
•(*) Nataural gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX -3.26%d-d ปิดที่ US$1.956/MMBtu ต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์จาก Over supply อิงตัวเลข Storage การจัดเก็บยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยห้าปี ราว 12.6% โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF, BGRIM ในทางตรงข้ามจิตวิทยาลบต่อ BANPU
•(+) Sugar Price : น้ำตาล +3.53%d-d ปิดที่ 19.04US$/lb ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจน้ำตาล อาทิ KTIS KSL KBS แนะเก็งกำไร ในทางตรงข้ามเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มเครื่องดื่ม
What happened in Thailand ?
(*/+) SET : SET วันทำการล่าสุด ปรับตัวขึ้น +9.94 จุด ก่อนปิดที่ 1364.81 จุด ตอบรับจิตวิทยาบวกความเชื่อมั่นวงจรดอกเบี้ยขาลงสหรัฐที่ Fed ให้สัญญาณชัดเจนแล้ว ส่วนภายในขับเคลื่อนกระแสเก็งกำไร หุ้นได้ประโยชน์สถานการณ์น้ำท่วมและความคาดหวังเชิงบวกโครงการ Entertainment Complex หลังราชตฤณสมาคมประกาศลงทุนเม็ดเงิน 2.0 แสนล้านบาท กลุ่มหนุน คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) และ กลุ่มอสังหาฯ (AWC) มองจากกระแส Entertainment Complex ยกระดับภาคบริการระยะกลาง-ยาว กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC) มองเป็นการขายทำกำไรช่วงสั้น หลังปรับตัวขึ้นมาเร็ว ตอบรับความคาดหวังเชิงบวกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เม็ดเงินจะลงสู่ระบบไวขึ้น กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม (ITC, CPF) มองจิตวิทยาลบเงินบาทแข็งค่าเร่งหลุด 34 บาท
(*/+) Flows: เม็ดเงินต่างชาติวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลออก ซื้อหุ้น 16.3 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -36.6 ล้านเหรียญฯ TFEX เป็นสถานะ Net Long ที่ 4,480 สัญญา ส่วนเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าทรงตัวบริเวณ 33.98 +/- บาท
(*/+) Entertainment Complex: กระแสความเชื่อมั่นตลาดต่อการเดินทางนโยบาย Entertainment Complex เพิ่มขึ้น หลังราชตฤณสมาคมประกาศลงทุนเม็ดเงิน 2.0 แสนล้านบาท หากอิงธุรกิจที่วางในโครงการดังกล่าว อาทิ กาสิโนถูกกฎหมาย สนามม้า โรงแรม 6 ดาว สนามกอล์ฟ ยอร์ชคลับ ภัตตาคารหรู โรงพยาบาล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ศูนย์การเรียนรู้ รวมถึงกิจกรรมกีฬาและบันเทิงอื่นๆ เราประเมินโครงการขนาดย่อยที่มีจำนวนมาก + ภาพยอร์ชคลับน่าจะจุดบ่งชี้สถานที่เป้าหมายได้ระดับหนึ่งว่าควรจะเป็นที่ดินขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำ โดยในส่วนกรุงเทพปัจจุบันที่ดินเข้าข่าย คือ ท่าเรือคลองเตย ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และรัฐบาลมีแผนที่จะปรับปรุงอยู่แล้ว
ทั้งนี้ แม้กลไกก่อนที่โครงการจะเกิดขึ้นยังต้องใช้เวลา แม้อาจมีภาพการลงทุนโครงการ Mixed Use โดยยังไม่รวมโครงการกาสิโนที่รอข้อกฎหมายนำไปก่อน แต่หากมองอนุรักษ์นิยม การลงทุนก็น่าจะเกิดขึ้นหลังจากการผ่านร่าง พ.ร.บ.กฎหมายควบคุมธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ในช่วง Public Hearing หลังจากนั้นจะต้องผ่านขั้นตอนหลักๆ คือ
เสนอร่างกฎหมายต่อ ส.ส. และ ส.ว. ทั้งสิ้น 3 วาระ
ศาลรัฐธรรมนูญพิจรณาร่างกฎหมาย
ราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้กฎหมาย
ขั้นตอนเฉพาะโครงการ เช่น การคัดเลือกผู้ประกอบการ
หากขั้นตอนต่างๆเดินหน้าต่อเนื่อง หรือ เรามองต่อ SET ที่เศรษฐกิจไทยจะมีภาพ New S Curve ใหม่ๆ ต่อเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่ตลาดขาดความเชื่อมั่นต่อภาพดังกล่าวของประเทศ โดยหากอิงกรณีศึกษาประเทศมาเก๊า ที่เริ่มอนุญาตให้เอกชนลงทุน Entertainment Complex ช่วงปี 2000-01 หลังทยอยสร้างแล้วเสร็จปี 2006-2011 เราพบว่านักท่องเที่ยวปี 2011 เพิ่มขึ้นจากปี 2005 ถึงราว 49.7% ทำให้เราเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับภาคบริการไทยขึ้นจากจุดสูงสุดในอดีตที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยสูงสุดในปี 2019 ที่ 39.4 ล้านคน
ส่วนกลุ่มหุ้นจึงให้น้ำหนักจิตวิทยาทางบวกต่อกลุ่มต่างๆ ดังนี้
หุ้นในกลุ่มที่มีฐานทุนสูงและมีกระแสข่าวเข้าร่วมโครงการ อาทิ AWC, กลุ่ม บ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ UTA (BA+BTS+STEC), กลุ่ม CP และกลุ่มเดอะ มอลล์
หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะมีโอกาสจาก Mega Projects ขนาดใหญ่ เน้น STEC ที่มีโอกาสเดินหน้าไปกับกลุ่ม UTA
หุ้นธนาคารที่คาดมีการปล่อยสินเชื่อขนาดใหญ่สนับสนุนโครงการ อาทิ BBL, KBANK, KTB
หุ้นภาคบริการ เน้น AOT, MINT, BDMS
(*/+) Vayupak : รักษาการ รมว. คลัง คุณพิชัย ชุณหวชิร กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ว่าขณะนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณารายละเอียด แต่คาดว่าจะสามารถเปิดให้ประชาชนซื้อขายให้กับนักลงทุนได้ในปลาย ก.ย. นี้ หรืออย่างช้า ต้น ต.ค. เรามองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีสัดส่วนในกองทุนวายุภักษ์ปัจจุบันสูงๆ อาทิ PTT (36.3%), SCB (24.3%) TTB (4.9%) BCP (3.47%) KTB (3.3%) AOT (1.81%) ADVANC (1.63%) SCC (0.89%) เราแนะนำเน้น PTT, KTB, AOT, SCC
(*/+) BOI : บีโอไอ อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการใหญ่ของบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (WD) มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท เพื่อขยายฐานผลิต Hard Disk Drive ที่อยุธยาและปราจีนบุรี สะท้อนแนวโน้มอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง รองรับการขยายตัวของเทคโนโลยีคลาวด์และ Data Center ประเมินบวกต่อ CCET ที่มี WD เป็นลูกค้าหลัก นอกจากนี้ เชิงจิตวิทยาทิศทางดังกล่าวหนุนเรามองบวกต่อในหุ้น Ecosystem ของ Data Center อาทิ WHA, GULF, ADVANC, INSET, BE8
(*/+) I-Phone 16 : Apple เตรียมจัดงาน It's glowtime วันที่ 9 ก.ย. คาดว่าจะมีการเปิดตัว I-Phone 16 มองบวกต่อหุ้นในกลุ่มขายสินค้าไอที มือถือ เน้น COM7, ADVICE เก็งกำไร SPVI
(*) SET200 Rebound Plays: ทีมกลยุทธ์คัดเลือกหาหุ้นที่ปรับฐานลงแรงกว่าตลาด YTD โดย SET Index -3.6% และมีความน่าสนใจทางพื้นฐานรวม 10 บริษัท คือ JMT (ผลตอบแทน -41.5%) BTS (-39.3%) SCGP (-31%) CRC (-30%) MOSHI (-29.9%) SCGD (-29.5%) SCC (-28.1%) ERW (-26.7%) AP (-24.9%) CENTEL (-21.5%)
(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ 1.) 27 ส.ค. ยอดนำเข้า - ส่งออก ไทย ตลาดคาด 1.2% และ 8% vs prev. 0.3%y-y และ -0.3%y-y ตามลำดับ 2.) 30 ส.ค. ดุลบัญชีเดินสะพัด ก.ค. 24 3.) MSCI Rebalance รอบ ส.ค. มีผล 30 ส.ค. (ราคาปิด) MSCI Global Standard หุ้นเข้า : ไม่มี หุ้นออก : AWC (-95 ล้านเหรียญฯ), GPSC(-90 ล้านเหรียญฯ), EA(-35 ล้านเหรียญฯ) และ IVL ( -90 ล้านเหรียญฯ) 4) ทิศทางนโยบายของ ครม. ใหม่ที่คาดจะแถลงต่อสภาใน 15 วันหลังโปรดเกล้าแต่งตั้ง ครม. ใหม่
Daily Strategy : PTT, PTTEP, STA เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" มองแรงหนุนวันนี้จะมาจากฝั่งราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 3% หลังลิเบียหยุดผลิตจากปัญหาภายใน ขณะที่ภาพเม็ดเงินต่างประเทศยังเป็นลักษณะการหมุนสู่ Bond และกลุ่ม Value ที่ยัง Laggard ส่วนภายในมองเก็งไปกับภาพนโยบาย ครม. โดยกลุ่มที่มีความชัดเจน อาทิ การบริโภค , Entertainment Complex, Data Center รวมถึงกองทุนวายุภักษ์ มองหุ้นนำ 1.) กลุ่มน้ำมัน 2.) กลุ่มที่คาดหวังแรงหนุนมาตรการกระตุ้น ครม.ใหม่ บริโภค (ค้าปลีก ธนาคาร) Entertainment Complex (ท่องเที่ยว รับเหมา กลุ่มทุนใหญ่ AWC, BTS) กลุ่มสัญญาณ Data Center เป็นบวก Western Digital เร่งขยายโรงงานรองรับการขยายตัว (นิคม, สื่อสาร) 3.) กลุ่มเด่นหลังวายุภักษ์ยืนยันเดินหน้า (AOT, PTT, KTB)
หุ้นฝั่ง Global Plays ที่ตลาดยังเชื่อมั่นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing (PTTEP, TOP, GFPT, TU, CBG, OSP, DELTA, HANA )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, OSP, AOT, MINT, ERW, VGI, BA)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (PTT, GULF, BGRIM, GPSC, BA, AAV, COM7, SYNEX, ADVICE, ADVANC, TRUE, BE8, BBIK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, INTUCH, WHA, AMATA)
• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Flood2024
สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือล่าสุด แม้ภาพหน้าข่าวน่ากังวล แต่หากพิจารณาระดับน้ำในเขื่อนทั่วประเทศปัจจุบัน ณ 25 ส.ค. 24 อยู่ที่ 61% ของความจุทั้งหมด โดยระดับดังกล่าวยังอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำในเขื่อนปี 2005-23 และยังต่ำกว่า หากเทียบกับระดับปี 2022 (ปีที่ระดับน้ำสูงสุดในรอบ 5 ปีหลัง) นอกจากนี้ หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2011 (25 ส.ค. 11) ที่เกิดวิกฤติมหาอุทกภัย ระดับน้ำสูง 73% ของความจุเขื่อน โดยมีภาคที่เริ่มเฝ้าระวัง คือ พื้นที่ภาคเหนือและตะวันตก อย่างไรก็ตาม หากมองภาพความเสี่ยงที่จะมีพายุ/ไต้ฝุ่นเข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์ ความเสี่ยงหลักของเอเชีย คือ พายุไต้ฝุ่น Shanshan ปัจจุบันมีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางเอเชียเหนือมากกว่า ขณะที่น้ำในส่วนที่สร้างผลกระทบไปแล้ว เขื่อนที่ยังอยู่ในโซนพื้นที่ภาคกลาง - ใต้ - ตะวันออก ยังน่าจะรองรับได้
ทำให้ประเมินความเสี่ยงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2024 จะรุนแรงเท่ามหาอุทกภัยยังจำกัด และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อห้างค้าปลีกน่าจะอยู่ในวงจำกัดเฉพาะภาคเหนือ (3-10% ของรายได้ โดยมี CRC และ GLOBAL สูง 17% และ 25% ซึ่ง CRC น่าจะอยู่ในส่วนเชียงใหม่ที่อยู่นอกพื้นที่น้ำท่วมเป็นหลัก)
กลยุทธ์ลงทุนภายใต้สถานการณ์น้ำท่วมบาง Zone ประเมินเป็นปัจจัยบวกต่อการเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม Home Improvement อาทิ HMPRO, GLOBAL, DOHOME เน้น DOHOME (TP-12.3) , และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อาทิ DCC ,TASCO, SCGD TOA เน้น TASCO(TP-17.6) หนุนจากการฟื้นฟู ซ่อมแซม, บ้าน สถานที่ถูกน้ำท่วม ส่วนหุ้นอิงการบริโภค อาทิ ค้าปลีกสินค้าจำเป็น เช่าซื้อ ธนาคาร และสื่อสาร ที่อ่อนตัวรับความกังวลดังกล่าว แนะนำมองเป็นจังหวะซื้อลงทุน KTB (TP-21), KBANK (TP-145), CPALL(TP-84) CPAXT(TP-40), MTC(TP-58), TRUE(TP-12), ADVICE(TP Con-6.55)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด
จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• Strategy Update : FTSE Rebalance
FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 6 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)
• Strategy Update : I-Phone 16 เตรียมเปิดตัว หนุนหุ้นจำหน่ายมือถือ
กระแสการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1 -2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. ของทุกปี และในปีนี้ iPhone 16 คาดว่าจะเปิดตัว 10 ก.ย. 24 หรือราว 4 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้จุดเด่นของ iPhone 16 คือ การใช้ชิป A17 -18 สนับสนุนฟีเจอร์ AI อาทิ การแปลภาษา, การแต่งภาพ เราประเมินรอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเห็นกระแสตอบรับทางบวกจากฟีเจอร์ AI ที่ iPhone 16 จะสามารถใช้งานได้ทุกรุ่น จากปัจจุบันที่ใช้งานเฉพาะ รุ่นเรือธง (Flagship) iPhone 15 Pro เท่านั้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เดิมไม่ได้ใช้งานเครื่องรุ่นเรือธงเดิม (Flagship) มีโอกาสพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ vs ภาพหลายรุ่นช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้วงจรเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างยาวนาน กระทบยอดขายหุ้นที่ดำเนินธุรกิจช่องทางจำหน่าย
KSS ได้ทำการศึกษาสถิติการเปิดตัว i-Phone ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ
กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI (Trading), CPW (Trading) SYNEX (TP Con-13.9), ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร
• Strategy Update: MSCI Rebalance
MSCI ประกาศหุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี โดยการ Rebalance จะมีผลวันที่ 30 ส.ค.24
MSCI Global Standard ▪️หุ้นเข้า : ไม่มี ▪️หุ้นออก : AWC (-95 ล้านเหรียญฯ), GPSC(-90 ล้านเหรียญฯ), EA(-35 ล้านเหรียญฯ) และ IVL ( -90 ล้านเหรียญฯ)
MSCI Global Small Cap ▪️หุ้นเข้า : BJC, EA, KAMART, TLI ▪️หุ้นออก : BAFS, BYD, EPG, NEX, ORI, PTG, RBF, THANI, SC, SJWD, SKY, SNNP, THCOM
• TKN (Neutral, TP-10.3) : We initiate with NEUTRAL, TP Bt10.30. We view TKN as a good long-term investment, with the popularity of its seaweed products in international markets (such as China). Nevertheless, in the short term, the outlook is still marred by the uncertainty about seaweed prices (33% of COGS) that have gone up by 50% YTD but the valuation of -1SD of long-term average suggests that the seaweed price risk is priced-in.
• CKP (Buy, TP4.4) : Despite CKP's share price reflected a negative tone following yesterday's analyst meeting, we view neutral due to expected mixed outlook through 2025F. We expect the impact of the shutdown at XPCL to be nearly finished. Additionally, NN2's robust performance should help partially mitigate this effect. We cut our earnings forecasts accordingly but continue to reiterate BUY (New TP of Bt4.40).
• ANAN (Reduce, TP0.7) :
• มุมมอง positive ต่อความคืบหน้าของโครงการ Ashton Asoke จากประเด็นที่กฤษฎีกาให้ความเห็นเรื่อง "สามารถกลับไปขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ได้" โดยขั้นตอนหลังจากนี้คือ รฟม. จะเสนอเรื่องไปที่กระทรวงคมนาคม เพื่อนำเรื่องเข้าสู่ ครม. อีกครั้ง ภายหลังครม. อนุมัติเรื่องใบอนุญาตก่อสร้างใหม่ โครงการนี้ก็จะถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย โดยคาดขั้นตอนจบใน 3Q24F เป็นอย่างเร็ว แต่ช้าสุดคาดไม่เกิน 4Q24F โดยคาดราคาหุ้นในระยะสั้นตอบรับเชิงบวกต่อประเด็นนี้ เพราะประเด็น overhang จะหมดไป โดยแผนการออก bond ในช่วง 4Q24F หรือการเปิดโครงการใหม่ใน 4Q24F น่าจะทำได้ เพราะโอกาสในการหา source of fund ทั้งจาก bank และ bond จะมีโอกาสมากขึ้น โดย ANAN มีแผนเปิด 2 โครงการ condo ใหม่ใน 4Q24F มูลค่ารวม 16.4 พันลบ. อย่างไรก็ตามระยะ 3-4 ไตรมาส ยังเป็นช่วงเวลาประคองตัว โดยพยายามรักษา core operation ให้ breakeven ให้ได้ ผ่านการระบาย stock และเตรียมแผนคืนหุ้นกู้รอบ Jan-25 อีก 3.0 พันลบ. มองโอกาสกลับมา turnaround อยู่ใน 2H25F เป็นอย่างเร็ว ภายหลังโครงการใหม่เริ่มโอนหรือ active การกลับมาเปิดโครงการมากขึ้น
• มุมมอง neutral ต่อข้อมูลใน analyst meeting จาก i) 3Q24F outlook ทั้ง presale, transfer มีโอกาสเพิ่ม y-y, q-q และคาด core operation เพียง breakeven หรือขาดทุนเล็กน้อย ซึ่งไม่เหนือความคาดหมาย ii) ความชัดเจนจาก Ashton Asoke คาดมองเป็นปัจจัยบวกระยะสั้น iii) business direction ใน 2H24-1H25F ยังเน้นเรื่องบริหารสภาพคล่อง ผ่านการระบาย stock ด้วย price promotion ทำให้คาด % GPM residential ยังต่ำเพียง 21-22% iv) bond รอชำระคืนอีกครั้งใน Jan-25 ที่ราว 3.0 พันลบ. โดย ANAN มีแผนออก bond ชุดใหม่มาเพื่อชำระคืน v) ถึงแม้ IBD/E น่าจะเริ่มทรงตัวที่ 1.4x แต่ cost of debt ที่ยังสูงกว่าปกติที่ 6.0-6.5% น่าจะยังกดดัน core operation โดยภาพรวมแผนธุรกิจ 2H24-1H25F เป็นเพียงการประคับประคองตัวและรักษาสภาพคล่อง โดยเราคง core operation ใน 2024F ที่ขาดทุน -150 ลบ. เราคง TP25F ที่ 0.70 บาท/หุ้น คงแนะนำ Reduce โดยมองโอกาส turnaround จะเห็นเร็วสุดใน 2H25F เป็นต้นไป
• Energy & Petrochemical (Neutral) : ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) -3% w-w คาดหวังการเจรจาหยุดยิงในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามช่วงปลายสัปดาห์การโจมตีกลับมารุนแรงขึ้นทั้งในตะวันออกกลางและรัสเซีย-ยูเครน ส่งให้ราคาน้ำมันดิบผันผวนขึ้น คงมุมมองน้ำมันดิบ ส.ค. 24 ลดลง m-m (mtd -8%) จากความกังวล U.S. recession และ supply ที่จะออกมาเพิ่มขึ้นของ OPEC+
ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ -12% w-w ตาม product spread หลัก -4-11% w-w ยังถูกความกังวลโควต้าส่งออกน้ำมันของจีน Batch3 กดดัน และ demand น้ำมันของออสเตรเลียลดลง w-w คงมุมมองค่าการกลั่น ส.ค. 24 ฟื้น m-m (mtd 4.8 $/bbl Vs. ก.ค. 4.3 $/bbl) ได้ supply ที่ตึงตัว และ U.S. driving season หนุน ส่วนเดือน ก.ย. อาจผันผวนจากโควต้าน้ำมันจีน ผสมกับความกังวลสงครามฯ
ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ฟื้น w-w หนุนจาก feedstock และ supply กลบขา demand ที่ยังไม่ดี i) สายโอเลฟินส์ PE/PP spread +1-2% w-w ราคา feedstock ลดลง ii) สายอะโรเมติกส์ BZ flat w-w แม้ผ่านช่วง re-stock จากราคา feedstock ลดลง แต่ PX -9% w-w demand downstream ในจีนลดลงจากมีปิดโรงงาน ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread +9% w-w ตามราคา feedstock ที่ลดลง เดือน ส.ค. 24 มีเพียง PET ที่เริ่มเห็นการฟื้นตัว จาก supply ที่ตึงตัวมากขึ้นหลังโรงผลิตในจีนบางส่วนทยอยปิด/ cut run
ภาพสัปดาห์ PET ฟื้นตัวเด่นสุด แต่ไม่ได้มาจากขา demand คงมุมมองราคาหุ้นโรงกลั่นสะท้อนปัจจัยลบไปมากเก็งกำไรการฟื้นใน 3Q24F ได้ ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 0.7-0.9 เท่า (ต่ำเท่าช่วงวิกฤตโควิดที่ค่าการกลั่น 0.4 $/bbl Vs. ปัจจุบัน 5$/bbl) คงมุมมองเป็นโอกาสเก็งกำไรหากรับความเสี่ยงกฏหมายคุมราคาน้ำมันได้ คง SPRC (Buy; TP10.5) เป็น top pick
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP