สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (21 สิงหาคม 2567)------นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยว่า ประเมินทิศทางผลประกอบการปี2567 ในส่วนของกำไรสุทธิคาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงปีก่อนหากไม่รวมกำไรพิเศษ ซึ่งในปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรพิเศษจากจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนใหม่สำหรับธุรกิจแบตเตอรี่ของบริษัทร่วม 1,336 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,319.20 ล้านบาท แต่หากตัดกำไรพิเศษออกจากมีกำไรสุทธิประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในงวดครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 1,658.91 ล้านบาท และครึ่งปีหลังแนวโน้มผลประกอบการยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (CCGT) ได้แก่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple II ที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกา จะเป็นช่วงไฮซีซั่น ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง มองว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการให้สามารถขยายตัวได้ตามแผนที่วางไว้

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ เตรียมปรับแผนธุรกิจและเป้าหมายแผนการผลิตไฟฟ้าใหม่โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นเป้าหมายในระยะยาวช่วงปี 2568 - 2573 ซึ่งคาดว่าจะจะเปิดเผยแผนได้ในช่วงพฤศจิกายน 2567 โดยแผนงานดังกล่าวประกอบไปด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้า, โครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน โดยเฉพาะด้านพลังงานไฮโดรเจน แอมโมเนีย, เทคโนโลยีพลังงาน จากเดิมบริษัทฯ ที่บริษัทฯ วางเป้าหมายในปี 2568 จะมีกำลังการผลิตรวมแตะ 5,300 เมกะวัตต์ (MW) จากปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิต 3,656 MW รวมการ COD โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ponder Solar ขนาด 2.5 MW ที่เพิ่ง COD เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ วางงบลงทุนในช่วง3 ปี (2567-2569) ไว้จำนวน 500-700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองรับการเข้าซื้อกิจการ(M&A) เป็นหลัก โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า CCGT ในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) อยู่จำนวนหนึ่ง โดยบริษัทฯ บริษัทฯ จะรุกกลุ่ม CCGT ในสหรัฐฯ มากขึ้นเนื่องจากเป็นตลาดเสรี ทำให้มีโอกาสสำหรับการขยายธุรกิจได้อีกมาก

ทั้งนี้ในปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนกำไรก่อนหักภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) ธุรกิจโรงไฟฟ้าและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในสัดส่วน 90-95% ส่วนเหลือกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า

นายอิศรา กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ มีความพร้อมในด้านแหล่งเงินทุน โดยมีอัตรส่วนทางการเงินที่อยู่ระระดับต่ำ เช่นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน อยู่ที่ประมาณ 0.5 เท่า ทำให้ยังมีรูมในการหาแหล่งเงินทุนเข้ามารองรับแผนการลงทุนได้ ไม่ว่าจะเป็นการออกบอนด์ หรือการเจรจากับสถาบันการเงินต่างๆ