"Selective Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "UP" ต้าน 1320/1326 จุด รับ 1297/1293 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขึ้นต่อเนื่อง ดัชนี S&P500 +0.2% เศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณ "Soft Landing" ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังทรงตัวสูง คาดการณ์ GDPnow 3Q24 ล่าสุด 2.0%(ระดับศักยภาพ) vs prev. 2.4% เป็นภาพบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนภายใน ความชัดเจนจากการเมืองเริ่มเดินหน้า หลังมีการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรี จากนี้จับตาการแต่งตั้ง ครม. และการแถลงนโยบายต่อสภา(คาดราว ก.ย.) นโยบายหลักๆ น่าจะเดินหน้าตามยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย คล้ายๆ รัฐบาลคุณเศรษฐา แต่อาจมีการปรับรูปแบบนโยบาย Digital Wallet เพื่อให้กระตุ้นการบริโภคภายในให้ไวขึ้น น่าจะทำให้ 2H24 GDP จะเร่งขึ้น วันนี้จับตารายงาน GDP ตลาดคาด 2.1%( vs Krungsri Research 1.9% prev. 1Q24 1.5%) และเม็ดเงินใหม่ ThaiESG ที่เกณฑ์ใหม่ที่มีผลแล้ว จะหนุน SET ฟื้นตัวจากปัจจุบัน(Value Zone : ERP อยู่ในระดับ AVG + 1 S.D.) กลุ่มหนุนดัชนี คาด Domestic Plays (ค้าปลีก เช่าซื้อ ธนาคาร สื่อสาร) ที่หุ้นคลาย Overhang การเมือง หุ้นได้ประโยชน์เงินบาทแข็งน้ำมันอ่อนลง โรงไฟฟ้า วันนี้แนะนำ CPALL, GULF, KTB
Daily outlook: "UP" ต้าน 1320/1326 จุด รับ 1297/1293 จุด
What happened around the world ?
•(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์ปรับขึ้นต่อ แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐจะแกร่งแต่ ตัวเลขสร้างบ้านสหรัฐต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง หนุน Fed ลดดอกเบี้ย อิง Dow Jones +0.24%d-d, S&P500 ปรับขึ้นบวกติดต่อกัน 7 วันติด +0.2%d-d, Nasdaq +0.21%d-d รับ US Bond yields ปรับลง หลัง US GDPNow งวด 3Q24 อ่อนตัว โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกือบทุก Sector ยกเว้นกลุ่ม Industrials, Energy, Real estate โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆนำ Financials, Utilities, IT ฯลฯ
• (*/+) Jackson Hole Synposium : 22-24 ส.ค. ติดตามการประชุม Jackson Hole ในหัวข้อ "Reassessing the Effectiveness and Transmittion of Monetary Policy" รัฐไวโอมิง KSS คาดว่าตลาดจะโฟกัสไปที่การกล่าวสุนทรพจน์ของ นายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ในวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. 2024 เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่า Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาใด รวมไปถึงระดับของการปรับลด (0.25% หรือ 0.5%) และมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐ เรายังมีมุมมองเป็นกลางถึงบวกโดยคาดการณ์ได้ประว่าประธานเฟดจะมีมุมมองที่ดีต่อทิศทางเศรษฐกิจโดยสามารถกดอัตราเงินเฟ้อให้ชะลอลงโดยที่เศรษฐกิจสหรัฐไม่ต้องหดตัวอย่างรุนแรงหรือถดถอย (Recession) เป็นจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
•(*) US GDP: Fed Atlanta ออกคาดการณ์ GDPNow สหรัฐ 3Q24 ล่าสุดอยู่ทีี 2.0%q-q ระดับ Potential (จากรอบก่อนคาด 2.4%) KSS ประเมินมองเป็นภาพเศรษฐกิจเตรียมเข้าสู่ภาวะ Soft Landing
• (*/+) US Election : Kamala Harris รองประธานาธิบดีสหรัฐ และตัวแทนพรรคพรรคเดโมแครตที่จะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอให้เงินช่วย 2.5 หมื่นดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก นโยบายเศรษฐกิจที่ใช้หาเสียง นอกเหนือจากนโยบายหลัก 1.)เพิ่มภาษี Corporate tax มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นสหรัฐ แต่จะบวกต่อตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย 2.)หนุนพลังงานสะอาด มองบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF ในท้ายที่สุดไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดี KSS ประเมินการกีดกันการค้าจะยังดำเนินต่อ เป็นบวกต่อกระแสการย้ายฐานการผลิต มองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เน้น WHA
• (*/+) China Stimulus นายพาน กงเซิ่ง ผู้ว่าการธนาคารกลาง(PBOC) ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม KSS ประเมินมีโอกาสจะออกเพิ่มเติมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย GDP Growth จีนที่ 5.0% มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจอิงจีน STA, SCGP
• (*/+)New Zealand Central bank นายเอเดรียนผู้ว่าการธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ส่งสัญญาณเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ภายในสิ้นปีนี้ และคาดจะลดรวม 2 ครั้งในปีนี้
•(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 21 ส.ค. ติดตามรายงานการประชุม FOMC รอบ ก.ค. 22 ส.ค. ติดตาม PMI ภาคผลิตเบื้องต้น ส.ค. คาด 49.6 จุด 20 ส.ค. PBOC ประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี คาดคงไว้ทั้งอายุ 1 ปี และ 5 ปี ที่ระดับ 3.35% และ 3.85% ตามลำดับ
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐระยะสั้น ชะลอการขึ้น อายุ 2 ปีปรับลง -2 bps ที่ 4.06% และอายุ 10 ปี ปรับลง - 3 bps ปิด 3.89% ส่วน Dollar Index พลิกอ่อนค่าลงมาบริเวณ 102.3 จุด มองเป็นปัจจัยกดดันต่อค่าเงินในฝั่งเอเซียแข็งค่า มองบวกต่อ ทิศทาง Fund Flow
•(*/-) Oil : น้ำมันดิบ Brent -1.7%DoD ปิดที่ US$ 79.34/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.93%DoD ปิดที่ US$ 76.65/barrel แรงกดดันจาก 1.) ความตึงเครียดในตะวันออกกลางลดลง กาตาร์เรียกร้องให้อิหร่านลดระดับความตึงเครียดกับอิสราเอลระหว่างการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซาที่กําลังดําเนินอยู่ 2.) มุมมอง Demand การบริโภคน้ำมันอ่อนลงจากจีน ผู้นําเข้าน้ํามันชั้นนําของโลก เศรษฐกิจจีนล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ชะลอตัว มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
•(*) Gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX -3.37%d-d ปิดที่ US$2.123/MMBtu เนื่องจากการคาดการณ์สําหรับสภาพอากาศในสหรัฐที่เย็นกว่าปกติและระดับการจัดเก็บก๊าซในสหรัฐที่สูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อน โดยมองเป็นจิตวิทยาลบต่อ BANPU แต่เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีต้นทุนเป็นก๊าซ คือ กลุ้มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC, HANA เน้น GULF
What happened in Thailand ?
• (*/+) SET : SET วันทำการล่าสุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +13.16 จุด ปิดที่ 1303 จุด หรือ +1.02% จาก 1.) คลายกังวล Recession ในสหรัฐ หลัง Retail sale ขยายตัวดีกว่าคาด หนุนตลาดหุ้นสหรัฐ และเอเซียปรับขึ้นเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET index 2.) การเมืองคลี่คลาย ได้นายก คนใหม่ ทำให้สุญญากาศการเมืองสั้นกว่าที่ตลาดกังวลไว้ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มค้าปลีก (CRC, CPAXT) มองหนุนตลาดเก็งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครม. ชุดใหม่ กลุ่มอสังหา (CPN, AWC) กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) มองตลาดเปลี่ยนกลุ่มจากฝั่ง Outperform ไปยังกลุ่มยัง Undreperform กลุ่ม REIT กองทุนอสังหาฯ (3BBIF) ขึ้นเครื่องหมายผลตอบแทนเงินคืนผู้ถือหุ้น
• (*/+) Flows: เม็ดเงินต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -73.9 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +9.5 ล้านเหรียญฯ TFEX มีสถานะ Net Long +21,707 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวโซนแข็งค่า 34.6+/- บาท
• (+) TH Politic: คุณแพทองธาร ชินวัตร Candidate นายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ได้รับเสียงโหวตเกินครึ่ง หรือเกิน 248 เสียงทำให้เป็นนายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 31 หลังจากนี้ตลาดรอการตั้ง ครม. ชุดใหม่ และการแถบลงนโยบายภายใน 15 วันหลังเข้าเฝ้าถวายสัตย์ (คาดช่วง ก.ย. 24) โดยตลาดน่าจะจับตาความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระแสข่าวเบื้องต้น คาดยังเดินหน้า 1.) นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ 2.) Soft Power 3.) การกระตุ้นเศณษฐกิจครั้งใหญ่ ส่วนนโยบายที่ยังไม่ยืนยัน ได้แก่ Digital Wallet, Landbridge และ Entertainment Complex แต่เราเชื่อว่านโยบายภาพรวมที่มีพรรคเพื่อไทยนำจัดตั้ง ครม. ตามเดิม โดยส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มคล้ายเดิม โดยอาจจะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
โดยในส่วน Digital Wallet ที่มีกระแสข่าวเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบการกระตุ้นรูปแบบอื่น เรามองจิตวิทยาลบอ่อนๆ เนื่องจากตลาดไม่เคยรวมผลบวก Digital Wallet ในประมาณการอยู่แล้วทั้ง GDP และกำไรหุ้น Domestic หากอ่อนตัวลง เชิงกลยุทธ์ยังแนะนำทยอยสะสม โดยระยะสั้นแนะนำมองน่าจับตาแนวทางงบประมาณส่วนเพิ่มปี 2567 ราว 1.22 แสนล้านบาท เรามองมีโอกาสถูกใช้เร่งด่วนในรูปแบบอื่นๆ อาทิ การออกมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินสู่ระบบโดยตรง จะบวกต่อกลุ่ม Domestic อาทิ ค้าปลีก เช่าซื้อ
• (*/+) THAIESG: ก.ล.ต. ออกประกาศปรับปรุงเกณฑ์กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) รองรับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 30 ก.ค.67 ที่เห็นชอบมาตรการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศ มีผลใช้บังคับแล้วนับแต่ 16 ส.ค.24 ความชัดเจนดังกล่าวมองช่วยลดความกังวลตลาดส่วนหนึ่งที่สุญญากาศการเมืองล่าสุด อาจทำให้นโยบายดังกล่าวมีความไม่แน่นอน ส่วนนโยบายขับเคลื่อนตลาดทุนอีกด้าน ฝั่งกองทุนวายุภักษ์ เรามองเป็นนโยบายพรรคเพื่อไทยที่ยังเป็นแกนนำรัฐบาลชุดใหม่ เชื่อว่ายังเป็นนโยบายหลักเดินหน้าต่อเนื่อง
คาดเม็ดเงิน Thai ESG เข้าหนุนตลาดช่วงที่เหลือของปีเฉลี่ย 6-7 พันล้านบาต่อเดือน และน่าจะมีเม็ดเงินเพิ่มเติมกองทุนวายุภักษ์ 1-1.5 แสนล้านบาท (ตามที่ได้มีการแถลงข่าว)
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณของ KSS ช่วงวงจร LTF ในปี 2012 - 2013 ที่มี Cycle เศรษฐกิจคล้ายกับปัจจุบัน เราพบว่า ทุกๆ เม็ดเงินใหม่ 1 หมื่นล้านบาทที่เข้าสู่ตลาดจะหนุน SET ราว 20 - 25 จุด ใกล้เคียง ผลการศึกษาของตลาดที่ประเมิน 25 - 27 จุด
แนวนโยบายที่จะลงทุนในหุ้นที่มี ESG เพิ่มขึ้น เรามองช่วยให้หุ้นหลักดัชนี SETESG ที่มีมูลค่าหุ้นต่อมูลค่าตลาดของ SETESG มีโอกาส Outperform ในช่วงที่เหลือของปี 2024 อาทิ PTT (10%), AOT (8.2%) ADVANC (7.3%) GULF (5.7%) CPALL (5.1%)
• (*/+) Budget Disbursement: ความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 (2024) วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท สิ้นสุด 9 ส.ค. 1.) ในส่วนรายจ่ายประจำ 2.75 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายได้แล้ว 87.5% ส่วนฝั่งที่ตลาดให้น้ำหนัก คือ 2.) งบลงทุน 7.22 แสนล้านบาท ล่าสุดเบิกจ่ายได้แล้ว 45% เพิ่มขึ้นจาก สิ้นสุด ก.ค. 24, มิ.ย. 24, เม.ย. 24 ที่ 42.4%, 36.7% และ 14.6% ทั้งนี้ หากมองยอดเบิกจ่ายเฉลี่ยต่อวัน จากที่เบิกจ่ายได้เร็ว มิ.ย. 24 ที่ 0.37% แล้วชะลอเหลือ 0.18% ใน ก.ค. 24 ช่วง 9 วันแรกของเดือน ส.ค. กลับมาเร่งขึ้นเป็น 0.29% ขณะที่ความชัดเจนการเมืองล่าสุด เรามองภาพการเบิกจ่ายช่วงที่เหลือของปีงบประมาณจะเร่งขึ้น มองบวกต่อหุ้นได้ประโยชน์หากงบรัฐฯเร่ง เช่น กลุ่มค้าปลีก CPALL CPAXT BJC DOHOME กลุ่ม Digital Tech เช่น BE8, BBIK และกลุ่มรับเหมา อาทิ STEC
• (*) TH GDP: วันนี้ติดตามรายงาน GDP งวด 2Q24 ของไทย ตลาดคาด +2.1%y-y vs prev. +1.5%y-y ทั้งนี้ อิง MUFG คาด +2.3%y-y (Top Rank Economists คาด 2.1%y-y )เราประเมินทิศทางของ GDP ต่อ SET และหุ้นในกลุ่มต่างๆ ออกเป็น 3 แนว ทางคือ
1) Base Case คือ GDP ขยายตัว 2%-2.4% ถือว่า In-line กับที่ตลาดคาดไว้ เราให้น้ำหนักเป็นกลางหรือบวกอ่อนๆ ต่อ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้น มองตลาดให้น้ำหนักระยะถัดไปที่โอกาสฟื้นตัวเร่งได้ต่อ จากสุญญากาศการเมืองที่สั้นกว่าตลาดคาด
2) GDP ขยายตัวมากกว่าระดับ 2.4% เรามองเป็น Positive Surprise คาดตลาดจะตอบรับในทิศทางบวกหนุนดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1315-1320 จุด กลุ่มธนาคาร และกลุ่ม Domestic Play อาทิ ค้าปลีก สื่อสาร จะเป็นเป้าหมายในการเข้าซื้อของนักลงทุน และ
3) GDP ขยายตัวน้อยกว่าระดับ 2% เรามองเป็น Negative Surprise ตลาดจะตอบรับในทิศทางลบจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำเกินไป มีโอกาสที่ดัชนีอาจจะอ่อนตัวหลุดระดับ 1300 จุด เป็นลบต่อกลุ่มธนาคารและเช่าซื้อ
• (*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายใน ติดตาม 1.) 21 ส.ค. การประชุม กนง. ตลาดคาด BOT คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมคาดแบงก์ชาติจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.5% ตามเดิม แต่แนะให้ติดตามมติของ กนง. ว่าจะเสียงแตกหรือเอกฉัณฑ์ โดยเดิม กนง.มีมติ 6:1 ให้คงอัตราดอกเบี้ย 2.5% หากมติดังกล่าวเปลี่ยนเป็น 5:2 หรือ 4:3 จะเป็นสัญญาบ่งชี้ได้ว่า กนง.อาจจะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (16 ต.ค. 2024) แนวทางนี้จะเป็นจิตวิทยาลบต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร แต่จะเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มที่มีภาระหนี้สกุลเงินบาทสูง จากแนวโน้มของต้นทุนเงินทุนและภาระดอกเบี้ยจ่ายที่กำลังจะลดลงในอนาคตทั้งนี้ แนะนำติดตามความเป็นเอกฉันท์ของมติ หลังสัญญาณฟื้นตัวเครื่องยนต์เศรษฐกิจภายในเริ่มแผ่ว 2.) FTSE Rebalance ประกาศช่วงคืน 23 ส.ค. (ไทยทราบผลเช้า 24 ส.ค.)
Daily Strategy : CPALL, GULF, KTB เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "UP" เศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีแนวโน้มเดินหน้าสู่ Soft Landing หนุนภาวะลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงต่อ ส่วนภายในแรงขับเคลื่อนจะมาจากความชัดเจนการเมือง นำมาสู่ความคาดหวังการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆเดินหน้าได้ต่อ มองหุ้นนำ 1.) หุ้น Domestic อาทิ สื่อสาร ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ 2.) กลุ่มเก็งภาพ GDP งวด 2Q24 ฟื้นตัวดีขึ้น อาทิ ธนาคาร และ 3.) หุ้นได้ประโยชน์เงินบาทเช้านี้แข็งค่าแรงสู่ 34.6 +/- บาท อาทิ โรงไฟฟ้า
หุ้นฝั่ง Global Plays ที่ตลาดยังเชื่อมั่นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing (PTTEP, TOP, GFPT, TU, CBG, OSP, DELTA, HANA )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, INTUCH, WHA, AMATA)
• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : I-Phone 16 เตรียมเปิดตัว หนุนหุ้นจำหน่ายมือถือ
กระแสการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1 -2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. ของทุกปี และในปีนี้ iPhone 16 คาดว่าจะเปิดตัว 10 ก.ย. 24 หรือราว 4 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้จุดเด่นของ iPhone 16 คือ การใช้ชิป A17 -18 สนับสนุนฟีเจอร์ AI อาทิ การแปลภาษา, การแต่งภาพ เราประเมินรอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเห็นกระแสตอบรับทางบวกจากฟีเจอร์ AI ที่ iPhone 16 จะสามารถใช้งานได้ทุกรุ่น จากปัจจุบันที่ใช้งานเฉพาะ รุ่นเรือธง (Flagship) iPhone 15 Pro เท่านั้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เดิมไม่ได้ใช้งานเครื่องรุ่นเรือธงเดิม (Flagship) มีโอกาสพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ vs ภาพหลายรุ่นช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้วงจรเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างยาวนาน กระทบยอดขายหุ้นที่ดำเนินธุรกิจช่องทางจำหน่าย
KSS ได้ทำการศึกษาสถิติการเปิดตัว i-Phone ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ
กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI (Trading), CPW (Trading) SYNEX (TP Con-13.9), ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร
• Strategy Update : Fed คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ตลาดมองดอกเบี้ยลด 3 ครั้ง ย้ำภาพดอกเบี้ยขาลง
ผลประชุม Fed : ผลประชุม Fed มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% Key Highlight คือถ้อยแถลงของ ประธาน Fed เผยข้อมูลเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะฝั่งเงินเฟ้อ และเริ่มกล่าวถึงการเปิดทางการลดดอกเบี้ยในปีนี้ หากอิง Statement ประเด็นที่เปลี่ยนแปลงรอบก่อน และสนับสนุนมุมมองการลดดอกเบี้ยคือ การอ่อนตัวลงของตลาดแรงงาน ปรับประโยคการจ้างงานเป็น "Moderated" (จากรอบก่อน Remained Strong) และ คาดอัตราการว่างงานสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ สนับสนุนมุมมองตลาดคาดโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปี 3 ครั้งๆละ 25 bps อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 4.5-4.75% สอดคล้องกับ MUFG คาดปีนี้จะเห็นการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งเช่นกัน
KSS ประเมิน หลังจากนี้ ตลาดจะเริ่มจับตารายงานทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคแรงงานมากขึ้น นำโดยอัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ก.ค. 24 ที่จะประกาศ 2 ส.ค. ไม่ควรสูงเกิน 4.2% อิงเกณฑ์ Sahm's Rule เสี่ยง "US Recession" ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า หรือช่วงต้นปี 2025 (Consensus คาดเฉลี่ย 4.1%) อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักอัตราว่างงานยังต่ำกว่าระดับดังกล่าวและเห็นด้วยกับมุมมอง Consensus ซึ่งจะเป็นภาพ Soft landing หากอิงดัชนีชี้นำฝั่ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
ทั้งนี้ น้ำหนักหลักในส่วนอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงทิศทางดังกล่าวจะหนุนภาพ Search for Yield มายัง SET Index ยังแกว่งที่ระดับ Current และ Forward ERP สูง 3.75% และ 4.31% ล้วนใกล้ระดับ Avg + 1 S.D. ที่ 4.07% น่าจะหนุน SET ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง กลยุทธ์เน้นกลุ่ม Yield ลดลง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF, BGRIM กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มหนี้สูง เน้น CPALL, CPAXT, TRUE, MINT
• MSCI Rebalance: •MSCI ประกาศหุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี โดยการ Rebalance จะมีผลวันที่ 30 ส.ค.24
MSCI Global Standard ▪️หุ้นเข้า : ไม่มี ▪️หุ้นออก : AWC (-95 ล้านเหรียญฯ), GPSC(-90 ล้านเหรียญฯ), EA(-35 ล้านเหรียญฯ) และ IVL ( -90 ล้านเหรียญฯ)
MSCI Global Small Cap ▪️หุ้นเข้า : BJC, EA, KAMART, TLI ▪️หุ้นออก : BAFS, BYD, EPG, NEX, ORI, PTG, RBF, THANI, SC, SJWD, SKY, SNNP, THCOM
• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย
การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21
อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%
ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA
• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index
รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.
เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC
• NEO (Buy, TP63): We maintain a positive outlook on NEO, anticipating earnings growth in 2H24F both yoy and hoh, driven by new product launches in 1H24, increased export orders from market expansion, and sustained high gross margins compared to last year. We have slightly revised up our earnings forecasts for 2024-26F upward, projecting an average growth rate of 10% per annum. Furthermore, the stock remains attractive, trading at a 12x PER for 2025F, which is below the sector average of 18-20x.
• ROJNA (Buy, TP9.2): Core earnings jumped 79% yoy and 240% qoq to Bt732m in 2Q24, which took 1H24 core profit to Bt947m (+28% yoy) accounting for 46% of our FY24F profit. However, 3Q24 outlook will depend on deed transfer backed by 1,783 rai backlog, and stable ops at SPP unit. The share price rose 3% in past week did not fully reflect its better outlook. The counter trading at undemanding at 5.5x FY24F PER (-1.5SD of mean multiple). We maintain a BUY rating.
• WHA (Buy, TP5.9): WHA raises its land sales target to 2,400 rai and we leave it will reach our 2,700 rai forecast backed by big-lot in pipeline or VN recovery faster. We cut earnings by 2-14% for FY24F-FY26F due to smaller assets monetization and Gheco-One profit. Multiple upsides from power units and big-lot land seal would act as share price catalyst. Maintain BUY rating with Bt5.9 TP.
• STA (Buy, TP9.2): เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ STA กำไรสุทธิ 628 ลบ.ใน 2Q24 สูงกว่าเราและตลาดคาด 112% เพราะ GPM ดีกว่าคาดทั้งธุรกิจถุงมือและยางส่งออก ส่วนกำไรสุทธิฟื้นตัว y-y q-q จากต้นทุนยางที่เพิ่มขึ้น แต่ปรับเพิ่มราคาขายยางส่งออก ยาง EUDR และถุงมือยางได้ ทำให้ GPM เพิ่มขึ้น ส่วนปริมาณขายยางเพิ่มทั้ง y-y q-q แต่ถุงมือปริมาณขายเพิ่ม y-y แต่ลด q-q เพราะค่าขนส่งไปยุโรปเพิ่มขึ้น แนวโน้ม 3Q24F ยังดี q-q ทั้งถุงมือและยางส่งออกเพิ่มขึ้น ความคืบหน้าส่งออกยาง EUDR จาก 5% ใน 2Q24 เป็น 15-20% ใน 3Q24F เร่งเป็น 50% ในธค.นี้และ 80% ในมีค-25 นับเป็นปัจจัยที่ยังทำให้ STA น่าสนใจ เราคงแนะนำ Trading Buy และ roll over ไป TP 25F ที่ 22.20 บาท (วิธี Sum of the Part มูลค่าถุงมือ 7.4 บาท ยาง 14.6 บาท
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP