"Selective Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัว" ต้าน 1300/1310 จุด รับ 1280/1275 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐขยับขึ้นดัชนี S&P500 +1.6% แม้ผลผลิตอุตสาหกรรม ก.ค. 24 -0.1%y-y ต่ำกว่าคาด แต่ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ต่ำสุดใน 5สัปดาห์ และยอดค้าปลีก ก.ค. 24 ดีกว่าคาด +1%m-m บ่งชี้ภาคบริการสหรัฐ( 70%ของ GDP) ยังประคองภาพ "US Soft Landing" หนุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก ส่วนภายใน กำไรตลาด 2Q24 อยู่ที่ 2.55 แสนล้านบาท เติบโต 17.6%y-y ทำให้กำไร 1H24 อยู่ที่ 5.23 แสนล้านบาท คิดเป็น 47% ของกำไรตลาดระดับ 90 บาท ผสาน กำไร 2H24 ที่จะเร่งขึ้นตามเศรษฐกิจ หนุนคาดการณ์กำไรตลาดทั้งปี 90บาทต่อหุ้น+/- ทำได้ และสถานการณ์การเมืองที่ผ่อนคลายลง สุญญากาศอาจสั้นกว่าตลาดกังวล สภาฯเตรียมเลือกนายกวันนี้ และพรรคร่วมรัฐบาลล้วนหนุน Candidate พรรคเพื่อไทย ทำให้ SET ที่เป็น Value Zone (Current และ Forward ERP สูง 4.03% และ 4.42% vs จุดกลับตัวกรณีไม่มีวิกฤติ ค่าเฉลี่ย + 1 S D. ที่ 4.07%) น่าจะหนุน SET ฟื้นตัว หุ้นนำ Global Plays (น้ำมัน ชิ้นส่วน อาหาร) และ Domestic อาทิ สื่อสาร ค้าปลีก ธนาคาร วันนี้แนะนำ ADVANC, CPF, CPAXT
Daily outlook: "ฟื้นตัว" ต้าน 1300/1310 จุด รับ 1280/1275 จุด
What happened around the world ?
•(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแรงต่อ อิง Dow Jones +1.39%d-d , S&P500 ปรับขึ้นบวกติดต่อกัน 6 วันติด +1.61%d-d, Nasdaq +2.32%d-d รับตัวเลข Retail sale สหรัฐแกร่ง โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกือบทุก Sector ยกเว้นกลุ่ม Real estate, Utilities, โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆนำ IT, Consumer discretionary ,Materials ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น ส่วนใหญ่คือ Walmart +6% หลังรายงานรายได้ 2Q24 ดีกว่าคาด และปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายสุทธิทั้งปี 2024 ขึ้น หุ้นกลุ่มชิปปรับตัวขึ้น Micron Technology กับ ON Semiconductor +6% ASML +5% AMD มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทยวันนี้ ฯลฯ
• (+) US Econ: ตลาดคลายกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐหลังจาก รายงานตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 1%m-m และ 2.7%y-y ดีขึ้นจากเดือน มิ.ย.ที่หดตัว 0.2%mom และ +2%y-y และมากกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ +0.3%m-m และ +1.8%y-y ในขณะเดียวกันตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์อยู่ที่ระดับ 2.27 แสนตำแหน่ง (ต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์) ต่ำกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ 2.35 แสนตำแหน่ง (ยอดค้าปลีกที่ปรับตัวขึ้น และมีผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงบ่งชี้ได้ว่ากิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะยอดค้าปลีกซึ่งเป็น leading indicator ของการจับจ่ายใช้สอยหรือการบริโภคซึ่งคิดเป็น 60-70% ของ GDP สหรัฐ ปัจจัยนี้สอดคล้องกับสมมติฐานของเราที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะค่อยๆ ชะลอตัวลงในรูปแบบของ Soft landing (เฟดค่อยๆ ลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจไม่ได้พังลงอย่างรวดเร็ว) เป็นบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้น
• (*/+) Fed Speaks : คุณราฟาเอล บอสติก ประธาน Fed สาขา Atlanta (Voter) เผยในบทสัมภาษณ์ Financials ว่า เขาพร้อมพิจารณาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.โดยระบุว่า Fed "ไม่มีเวลามาชักช้า" ในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
• (*/-) China Econ : จีนรายงานดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจเดือน ก.ค. มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ :1.) Industrial Production: +5.1%y-y ต่ำกว่าคาดระดับ 5.2%y-y 2. Retail Sales: ดัชนีภาคค้าปลีก +2.7%y-y ดีกว่าตลาดคาดที่ระดับ 2.6%y-y 3. Fixed Asset Ex Rural: +3.6%y-y ytd ต่ำกว่าคาดระดับ +3.9%y-y ytd 4.Property Investment: -10.2%y-y ytd ต่ำกว่าคาดที่ระดับ -9.9%y-y ytd KSS ประเมิน เศรษฐกิจจีนที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ประเมินทำให้นโยบายการเงินการคลังจะผ่อนคลายได้อีก Consensus จาก Trading economics คาดว่าดอกเบี้ย Loan prime rate 1 ปี จะลดลงอีก 15 bp เหลือ 3.15% ใน 4Q24 และอัตราการกันสำรอง (Reserve Requirement Ratio) จะลดลงเหลือ 9.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10%
• (*) Japan GDP : GDP 2Q24(Preliminary) +3.1%q-q มากกว่าคาดและขยายตัวมากที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส แรงหนุนหลักมาจากองค์ประกอบการบริโภค 4.4%q-q หนุนจากการขึ้นค่าจ้างเฉลี่ย 5.17% และภาคการลงทุนฟื้นตัวจากกลุ่ม Auto โดยรวม KSS ให้น้ำหนัก Neutral สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น คือ "หากมีสถานะการลงทุนอยู่ไม่ใช่จุดที่ขายออก และไม่ได้มองบวกแนะนำสะสมเพิ่ม " แม้แรงกดดัน Yen Carry Trade ลดลง และตลาดหุ้นญี่ปุ่นเริ่มฟื้น แต่มอง Upside ในการขึ้นยังจำกัด
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐระยะสั้น พลิกขึ้นรับ US retail sale ดีกว่าคาด อิง อายุ 2 ปีปรับขึ้น 14 bps ที่ 4.08% และอายุ 10 ปี ปรับขึ้น 9 bps ปิด 3.92% ส่วน Dollar Index แกว่งตัวแข็งค่าขึ้นมาบริเวณ 102.8 จุด
•(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ ติดตาม 16 ส.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค คาด 67.2 จุด
•(-) World Container Index : WCI พลิกปรับลง 4 สัปดาห์ติด สัปดาห์ล่าสุด -2%w-w ) อยู่ที่ 5,428 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ แรงกดดันหลักๆมาจากความตึงเคร่ยดในะตวันออกลางล่าสุดลดลง ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ยังแนะนำเพียง ชะลอการลงทุน
•(+) Oil : ราคาน้ำมันดิบ ฟื้นตัวจากขาลงระยะสั้น Brent +1.6%d-d ปิดที่ US$ 81.04/barrel น้ำมันดิบ West Texas 1.5%d-d ปิดที่ US$ 78.16/barrel แรงหนุนจากมุมมองตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแกร่ง แต่ลดช่วงลบ รับตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาชะลอ ระยะสั้นมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำวันนี้ เน้นเก็งกำไร PTTEP, PTT
What happened in Thailand ?
• (*/+) SET : แกว่งผันผวนตอบรับทิศทางการเมืองไม่ชัดเจนช่วงเช้า ก่อนค่อยๆฟื้นตัวปิดลบ -2.8 จุดตอนปิดตลาด หลังมีความชัดเจนในส่วน candidate นายกใหม่ และทิศทางพรรคร่วมรัฐบาลที่สนับสนุน กลุ่มหนุน คือ กลุ่มปิโตรเคมี (IVL) ธุรกิจผ่านจุดเลวร้าย ขณะที่วานนี้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.175 บาท กลุ่มสื่อสาร (TRUE) ตลาดมองฐานะหุ้น Defensive ช่วงการเมืองไม่แน่นอน กลุ่มถ่วง คือ กลุ่ม ร.พ. (BDMS, BH) กลุ่มพลังงาน (PTTEP, GPSC) ราคาน้ำมันพักตัว ส่วน GPSC มองประเด็นการหลุดดัชนี MSCI
• (*/-) Flows: เม็ดเงินต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -252.3 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -14.7 ล้านเหรียญฯ TFEX มีสถานะ Net Short -2,008 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวโซนแข็งค่า 35.1+/- บาท
• (+) TH Politic: พััฒนาการการเมืองภายในเป็นบวก รอยต่อล่าสุดที่เกิดขึ้นจากกรณีคุณเศรษฐาต้องยุติการปฎิบัติหน้าที่ ผลกระทบมีแนวโน้มต่ำกว่าตลาดกังวลล่วงหน้าพอสมควร จากความคืบหน้า
การนัดประชุมสภาวันนี้จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำมีมตินำเสนอ คุณแพรทองธาร ชินวัตร เป็น Candidate
พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดที่แสดงท่าทีสนับสนุน
ทิศทางดังกล่าว มองช่วยมีโอกาสที่พรุ่งนี้จะมีข้อสรุปนายกฯใหม่ หลังจากนั้นน่าจะเป็นการแต่งตั้ง ครม. ชุดใหม่ (ต้องได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส. 493 เสียง)
โดยรวมคาด ทำให้ประเด็นที่ตลาดกังวล ในส่วนงบประมาณปี 2568 ล่าช้า รวมถึงนโยบายหลักต่างๆ ที่ รัฐบาลชุดก่อนวางไว้เดินหน้าได้ต่อ โดยมีผลกระทบจำกัด
ส่วนนโยบาย Digital Wallet ที่มีกระแสข่าวความไม่แน่นอน เรามองถ้าเปลี่ยนแปลง เชื่อว่างบประมาณจะถูกจัดสรรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านอื่นๆ แทนอยู่ดี
มองกรอบ SET ใน 1 เดือน จะค่อยๆ ฟื้นตัวสู่กรอบ 1290-1360 จุด
เลือกลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์เชื่อว่าเดินหน้าต่อได้ KTB, PTT, AOT กลุ่ม Defensive ที่มีปัจจัยขับเคลื่อน สื่อสาร ADVANC, TRUE, INTUCH ร.พ. BDMS โรงไฟฟ้า GULF ส่วนค้าปลีกทยอยตั้งรับ CPALL, CPAXT
• (*/+) SET 2Q24 Earnings KSS รวบรวมข้อมูลกำไร บจ. งวด 2Q24 ที่รายงานแล้ว 613 บริษัท พบว่า กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.55 แสนล้านบาท เติบโต 17.6%y-y ขณะที่ลดลงเล็กน้อย -4.6%q-q โดยรวมกำไร 1H24 อยู่ราว 5.23 แสนล้านบาท ขณะที่องภาพรอยต่อการเมืองที่ราบรื่น คาดหนุนเศรษฐกิจและกำไรตลาดงวด 2H24 สูงกว่า 1H24 ทำให้กรอบกำไรตลาดต่อหุ้นปี 2024F ที่ตลาดมอง 90-91 บาท (เทียบเท่ากำไรที่สูงราว 1.11 ล้านล้านบาท) เราเชื่อว่ายังมีความเป็นไปได้ ส่งผลให้ปัจจุบัน Current และ Forward Equity Risk Premium(ERP) ของ SET สูงราว 4.03% และ 4.22% ใกล้ระดับ AVG + 1 S.D. (4.07%) ที่เป็นจุดพร้อมฟื้นตัวในกรณีไม่มีวิกฤติ มองหุ้นน่าสนใจ คือกลุ่มกำไร 2H24 เร่งขึ้นชัดเจน สื่อสาร ADVANC, TRUE เกษตร CPF การบิน BA, AOT พลังงาน SPRC, GULF ค้าปลีก CPALL, CPAXT ร.พ. BDMS ธนาคาร KTB นิคม WHA เครื่องดื่ม SAPPE, CBG ชิ้นส่วน DELTA, HANA
• (*) To Monitor: สัปดาห์หน้า ปัจจัยภายใน ติดตาม 1.) 19 ส.ค. รายงาน GDP ไทยงวด 2Q24 ตลาดคาด 2.1%y-y vs prev. +1.5%y-y มองจะหนุนภาพบวกกลุ่ม Domestic อาทิ ธนาคาร ค้าปลีก 2.) 21 ส.ค. การประชุม กนง. ตลาดคาด BOT คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% หนุนจิตวิทยาฝั่งหุ้นธนาคาร ทั้งนี้ แนะนำติดตามความเป็นเอกฉันท์ของมติ หลังสัญญาณฟื้นตัวเครื่องยนต์เศรษฐกิจภายในเริ่มแผ่ว 3.) FTSE Rebalance ประกาศช่วงคืน 23 ส.ค. (ไทยทราบผลเช้า 24 ส.ค.)
Daily Strategy : ADVANC, CPF, CPAXT เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ฟื้นตัว" ตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีโมเมนตัมบวกความเชื่อมั่นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing ส่วนภายในขับเคลื่อนจากภาพ Overhang การเมืองคลายลง และเดินหน้าต่อ ช่วงสุญญากาศการเมืองสั้นกระทบเศรษฐกิจและนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจจำกัด มองหนุนความเชื่อมั่นช่วง 2H24 ต่อ มองหุ้นนำ 1.) Global Plays (น้ำมัน ชิ้นส่วน อาหาร) และ 2.) Domestic อาทิ สื่อสาร ค้าปลีก ธนาคาร
หุ้นฝั่ง Global Plays ที่ตลาดยังเชื่อมั่นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing (PTTEP, TOP, GFPT, TU, CBG, OSP, DELTA, HANA )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, INTUCH, WHA, AMATA)
• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : I-Phone 16 เตรียมเปิดตัว หนุนหุ้นจำหน่ายมือถือ
กระแสการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1 -2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. ของทุกปี และในปีนี้ iPhone 16 คาดว่าจะเปิดตัว 10 ก.ย. 24 หรือราว 4 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้จุดเด่นของ iPhone 16 คือ การใช้ชิป A17 -18 สนับสนุนฟีเจอร์ AI อาทิ การแปลภาษา, การแต่งภาพ เราประเมินรอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเห็นกระแสตอบรับทางบวกจากฟีเจอร์ AI ที่ iPhone 16 จะสามารถใช้งานได้ทุกรุ่น จากปัจจุบันที่ใช้งานเฉพาะ รุ่นเรือธง (Flagship) iPhone 15 Pro เท่านั้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เดิมไม่ได้ใช้งานเครื่องรุ่นเรือธงเดิม (Flagship) มีโอกาสพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ vs ภาพหลายรุ่นช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้วงจรเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างยาวนาน กระทบยอดขายหุ้นที่ดำเนินธุรกิจช่องทางจำหน่าย
KSS ได้ทำการศึกษาสถิติการเปิดตัว i-Phone ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ
กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI (Trading), CPW (Trading) SYNEX (TP Con-13.9), ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร
• Strategy Update : Fed คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ตลาดมองดอกเบี้ยลด 3 ครั้ง ย้ำภาพดอกเบี้ยขาลง
ผลประชุม Fed : ผลประชุม Fed มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% Key Highlight คือถ้อยแถลงของ ประธาน Fed เผยข้อมูลเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะฝั่งเงินเฟ้อ และเริ่มกล่าวถึงการเปิดทางการลดดอกเบี้ยในปีนี้ หากอิง Statement ประเด็นที่เปลี่ยนแปลงรอบก่อน และสนับสนุนมุมมองการลดดอกเบี้ยคือ การอ่อนตัวลงของตลาดแรงงาน ปรับประโยคการจ้างงานเป็น "Moderated" (จากรอบก่อน Remained Strong) และ คาดอัตราการว่างงานสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ สนับสนุนมุมมองตลาดคาดโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปี 3 ครั้งๆละ 25 bps อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 4.5-4.75% สอดคล้องกับ MUFG คาดปีนี้จะเห็นการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งเช่นกัน
KSS ประเมิน หลังจากนี้ ตลาดจะเริ่มจับตารายงานทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคแรงงานมากขึ้น นำโดยอัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ก.ค. 24 ที่จะประกาศ 2 ส.ค. ไม่ควรสูงเกิน 4.2% อิงเกณฑ์ Sahm's Rule เสี่ยง "US Recession" ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า หรือช่วงต้นปี 2025 (Consensus คาดเฉลี่ย 4.1%) อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักอัตราว่างงานยังต่ำกว่าระดับดังกล่าวและเห็นด้วยกับมุมมอง Consensus ซึ่งจะเป็นภาพ Soft landing หากอิงดัชนีชี้นำฝั่ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
ทั้งนี้ น้ำหนักหลักในส่วนอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงทิศทางดังกล่าวจะหนุนภาพ Search for Yield มายัง SET Index ยังแกว่งที่ระดับ Current และ Forward ERP สูง 3.75% และ 4.31% ล้วนใกล้ระดับ Avg + 1 S.D. ที่ 4.07% น่าจะหนุน SET ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง กลยุทธ์เน้นกลุ่ม Yield ลดลง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF, BGRIM กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มหนี้สูง เน้น CPALL, CPAXT, TRUE, MINT
• MSCI Rebalance: •MSCI ประกาศหุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี โดยการ Rebalance จะมีผลวันที่ 30 ส.ค.24
MSCI Global Standard ▪️หุ้นเข้า : ไม่มี ▪️หุ้นออก : AWC (-95 ล้านเหรียญฯ), GPSC(-90 ล้านเหรียญฯ), EA(-35 ล้านเหรียญฯ) และ IVL ( -90 ล้านเหรียญฯ)
MSCI Global Small Cap ▪️หุ้นเข้า : BJC, EA, KAMART, TLI ▪️หุ้นออก : BAFS, BYD, EPG, NEX, ORI, PTG, RBF, THANI, SC, SJWD, SKY, SNNP, THCOM
• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย
การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21
อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%
ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA
• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index
รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.
เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC
• CPF (Buy, TP31): เรามีมุมมอง "Positive" ต่อข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์บริษัท CPF วานนี้ (15 ส.ค. 24) เนื่องจากผู้บริหารให้มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้ม 2H24F ดีกว่า 1H24 จากราคาหมูเวียดนามและจีนดีต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนยังลดลงต่อ สำหรับแนวโน้ม 3Q24F เราคาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น q-q มาอยู่ที่ราว 7 พันลบ. จากราคาหมูไทย/เวียดนาม/จีนฟื้นกลับมาสูงกว่าต้นทุนการเลี้ยงทั้งหมด จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 24F/25F เพิ่มขึ้น +59%/+43% มาอยู่ที่ 15,675 ลบ./ 16,303 ลบ. ตามลำดับ พร้อมกันนี้ มีปันผลระหว่างกาล 0.45บ./หุ้น (yield 1.5%) XD 29 ส.ค. 24 ปรับคำแนะนำเป็น Buy ราคาเป้าหมายใหม่ TP25F ที่ 31.00 บ. เลือก CPF เป็น Top pick กลุ่มฯ
• ERW (Buy, TP4.3): Following the analyst meeting, we have a cautious outlook on ERW due to: (i) lower growth signals from revised occupancy and revenue targets; (ii) downward revisions to our 2024-26F forecast based on disappointing 2Q24 earnings and ongoing renovations; and (iii) share price declines from concerns over the overhang of Grand Hyatt Erawan lease renewal. ERW currently trades at 19x P/E 25F and 11x EV/EBITDA, -1SD below its historical average, reflecting these issues. We maintain our BUY rating with a target price of Bt4.30.
• CENTEL (Buy, TP40): Our view on the company's food business turned more negative after the analyst meeting. The company's downward revision of its food business targets and slower hotel recovery. Consequently, we have revised down our earnings forecast for 2024-26F by 6-13%. CENTEL is currently trading at a valuation of 25x P/E 25F and 8x EV/EBITDA, which is below its historical average. This valuation reflects the market's expectation of a slowdown in 2H24 due to the seasonal low and increased costs.
• AP (Buy, TP11.8): มุมมอง slightly positive ต่อข้อมูลใน analyst meeting จาก i) Jul-24 presale สูง 5.5 พันลบ. ดีกว่าที่คาด น่าจะสนับสนุน 3Q24F presale ให้โตได้ y-y ii) แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q24F น่าจะเป็นไตรมาสที่สูงสุดของปี ตาม backlog รอโอนมาก และมี condo ใหม่ มูลค่า 6.5 พันลบ. เข้ามาโอน iii) Backlog รอโอนราว 42.6 พันลบ. และโครงการรอขาย (available for sale) ราว 121.2 พันลบ. สูงเป็นอันดับต้นของกลุ่ม ถึงแม้กำไรสุทธิ 1H24 เท่ากับ 2.3 พันลบ. (-25% y-y) คิดเป็น 41% ของประมาณกำไรสุทธิ 2024F ที่ 5.6 พันลบ. (-8% y-y) โดยส่วนต่างราว 3.3 พันลบ. ใน 2H24F คาดว่าเป็นไปได้ เพราะแนวโน้มกำไร 2H24F ดีกว่า 1H24 จาก condo โครงการใหม่เข้ามาโอน รวมถึงกลุ่ม low-rise ที่มีโครงการรอขายที่มาก มีส่วนช่วยยอดขาย / ยอดโอน เราคง TP25F ที่ 11.80 บาท คง BUY และเป็น top pick โดยเรายังชอบแผนธุรกิจที่ยังแข็งแกร่งกว่ากลุ่มฯ ทำให้ยังคาดรักษา No.1 ด้าน market share ได้ต่อเนื่อง ราคาปัจจุบัน trade ที่ PER เพียง 4.3x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ และคาดเงินปันผลจ่ายสูง 8.5% ผลตอบแทนน่าสนใจบน downside ที่ค่อนข้างจำกัด
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP