"Selective Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "สร้างฐานสลับฟื้นตัว" ต้าน 1300/1307 จุด รับ 1287/1281 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐ แกว่งขึ้นได้ต่อ ดัชนี S&P500 +0.38% เงินเฟ้อ CPI ทั่วไปลงแตะระดับ 2.9%y-y, 0.2%m-m (prev. 3%y-y) ส่วน Core CPI +3.2%y-y, 0.2%m-m (prev. 3.3%) หนุนโมเมนตัมจิตวิทยาบวกวงจรดอกเบี้ยขาลงต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่อ ส่วนภายใน การเมืองมีความชัดเจนด้านหนึ่งแล้ว คุณเศรษฐาสิ้นสุดการเป็นนายกฯ และพรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอชื่อ Candidate ใหม่ คุณชัยเกษม และเลขาธิการสภาฯ นัดโหวตนายกฯใหม่ 16 ส.ค. ทำให้ความเสี่ยงคลายลงบ้าง อาทิ งบประมาณปี 2568 ล่าช้า, นโยบาย Digital Wallet เปลี่ยนแปลง เป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้นต่อ SET ระยะสั้น 1-2 วันนี้ ตลาดจะแกว่งตั้งฐานสลับฟื้นตัว รอติดตามผลโหวตนายกฯ ขณะที่ SET ยังอยู่ในโซนลงทุน ERP ใกล้ Avg. + 1 S.D. ที่ 4.07% พร้อมฟื้นตัว หุ้นคาดเด่นกว่าตลาดวันนี้ มองหุ้นดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ Digital tech ชิ้นส่วน) Defensive สื่อสาร ร.พ. และค้าปลีกที่สะท้อนการเมืองไปแล้ว วันนี้แนะนำ CPF, CPALL, CPAXT
Daily outlook: "สร้างฐานสลับฟื้นตัว" ต้าน 1300/1307 จุด รับ 1287/1281 จุด
What happened around the world ?
•(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแต่อัตราที่ชะลอลง อิง Dow Jones +0.61%d-d , S&P500 ปรับขึ้ยบวกติดต่อกัน 5 วันติด +0.38%d-d, Nasdaq +0.01%d-d รับเงินเฟ้อสหรัฐออกมาตามคาด โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกือบทุก Sector ยกเว้นกลุ่ม ICT, Consumer discretionary โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆนำโดยกลุ่ม Value หลักๆคือ Financial, Energy, Consumer staple ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น ส่วนใหญ่คือ Alphabet -2% หลังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวว่ากำลังพิจารณาทางเลือกหลายทาง Google หลังจากคำตัดสินของศาลพบว่าบริษัทผูกขาดตลาดการค้นหาออนไลน์, กลุ่มชิปยังปรับขึ้นต่อบางบริษัท Super micro computer +1.7% ฯลฯ
•(*/+)US CPI 1.)Headline CPI +2.92%y-y ชะลอตัวลงทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ มี.ค. 2021 ดีกว่าตลาด 3.0%y-y 2.)Core CPI +3.21%y-y inline ที่ตลาดคาด ชะลอตัวลงทำระดับต่ำสุดตั้งแต่ May 2021 ภาพรวมเกือยทุกหมวดรายการสินค้า ทรงตัว m-m มีเพียง Shelter ที่ปรับตัวขึ้น +0.38% M-M และแนวโน้ม y-y ชะลอตัวลงเกือบทุกรายการ ยกเว้น Airline Fares โดยรวมเงินเฟ้อสหรัฐที่ออกมาชะลอตาม KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกหนุนมุมมอง Fed ลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ หนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มชิ้นส่วน
•(*/+)US House market MBA Mort gage rate 30 ปี ปรับลงต่อมาอยู่ที่ 6.54% (ต่ำสุดในรอบปี๗ VS. จาก 6.55% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดย US mortgage rate 30 ปีที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง(มีความสัมพันธ์ในทางเดียวกับเงินเฟ้อหมวด Shelter ทำให้คาดแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐหมวดที่อยู่อาศัยลดลง หนุนมุมมอง Fed ลดดอกเบี้ย
•(*/+) New Zealand : ธนาคารกลางนิวซีแลนด์(RBNZ) Surprise ตลาดด้วยการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 5.25% จากมุมมองเศรษฐกิจเริ่มชะลอและเงินเฟ้อลดลงใกล้เคียงกับเป้าหมายของ หลังการประกาศตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น โดยแนวโน้มระยะถัดไป RBNZ คาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีก 100 bps ภายในกลางปี 2026 ะทำให้ดอกเบี้ยภายในสิ้นปีอยู่ที่ 3.85% KSS มองภาพสอดคล้องกับดอกเบี้ยโลกที่เป็นขาลง
•(*)UK CPI: CPI +2.2%y-y ดีกว่าตลาดคาดแต่เร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ 2.0% จากราคาสินค้าหมวด ก๊าซธรรมชาติและค่าไฟฟ้า ส่วน Core CPI +3.3%y-yดีกว่าคาดและชะลอตัวลงต่อเนื่องจาก +3.5%y-y โดยรวมทำให้ล่าสุดตลาดโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะคงที่ใน เดือนก.ย. อยู่ที่ 55% แต่เพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยใน เดือน พ.ย.
•(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 15 ส.ค. ติดตามดัชนีค้าปลีก คาด +0.3%m-m vs prev. +0.0%m-m และ ผลผลิตอุตสาหกรรม คาด +0.0%m-m, 16 ส.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค คาด 67.2 จุด ฝั่งจีน 15 ส.ค. กิจกรรมเศรษฐกิจจีน ก.ค. ได้แก่ 1) ผลผลิตอุตสาหกรรม คาด +5.4%y-y vs prev. +5.3%y-y, 2) ยอดค้าปลีก คาด +2.6%y-y vs prev. +2.0%y-y, 3) การลงทุนในสินทรัพย์คงทน คาด +3.9%ytd y-y เท่าเดือนก่อน และ 4) การลงทุนภาคอสังหา คาด -9.9%ytd y-y vs prev. -10.1%ytd y-y
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐระยะสั้นอยู่ในทิศทางขาลง แต่ฟื้นตัวเล็กน้อย อิง อายุ 2 ปีปรับขึ้น -1 bps ที่ 3.94% และอายุ 10 ปี ปรับลงต่อเนื่อง 4 วัน -2 bps ปิด 3.83%(ต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์๗ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็หทรอนิกส์ ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าบริเวณ 102.4 จุด
•(*/-) Oil : น้ำมันดิบ Brent -1.15%d-d ปิดที่ US$ 79.76/barrel. น้ำมันดิบ West Texas -1.75%d-d ปิดที่ US$ 76.98/barrel รับรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจาก EIA เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล แย่กว่าตลาดคาดจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP
What happened in Thailand ?
• (*/-) SET: SET Index ปรับตัวลดลง -5.1 จุด หรือ -0.39% ปิดที่ 1292.69 จุด ตลาดผันผวนช่วงบ่ายจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5:4 วินิจฉัยคุณเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดการเป็นนายกฯ แต่ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) จากจิตวิทยาบวกหุ้นเทคโนโลยีนำตลาด หลังเงินเฟ้อ PPI สหรัฐฯออกมาต่ำกว่าตลาดคาด กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) ตลาดมองเป็นทางเลือก Defensive หลังศาลตัดสินเรื่องคุณสมบัตินายกฯ กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) รับจิตวิทยาลบความเสี่ยงนโยบาย Digital Wallet อาจสะดุด หลังศาลวินิจฉัยคุณเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกฯ กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) จิตวิทยาลบราคาน้ำมันปรับลง หลังเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า
• (*) Flow : เม็ดเงินต่างประเทศวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลออก ขายพันธบัตร -275 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +12.5 ล้านเหรียญฯ TFEX เปิดสถานะ Net Long ที่ +19,249 สัญญา เงินบาทแข็งค่าที่ 35.1 +/- บาท
• (*) TH Politic: ศาล รธน. 5 ต่อ 4 วินิจฉัย "เศรษฐา" สิ้นสุดการเป็นนายกฯ และ ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แม้หลังคำตัดสินออกมาจะสร้างความผันผวนต่อตลาด ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์เรามองจุดบวกด้านความชัดเจนที่เกิดขึ้นช่วยคลาย Overhang ที่ถ่วงตลาดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และการที่ SET ไม่ปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่ บ่งชี้ภาพตลาดได้ขายลดความเสี่ยงล่วงหน้าไปแล้ว
เรื่องหลักที่ตลาดติดตามจากนี้ คือ ความยาวนานสุญญากาศการเมือง (ยิ่งนานยิ่งกดดันตลาด) ซึ่งหลังศาลมีคำตัดสินดังกล่าวจะมี 2 แนวทาง คือ
1.) เลือกตั้งนายกฯใหม่ จาก Candidate นายกฯ ที่มีตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งใหญ่ล่าสุดโดยต้องการเสียงโหวตไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่ง ของ ส.ส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสภาปัจจุบันที่ 493 เสียง (ส.ส. พรรคก้าวไกลเดิม 143, เพื่อไทย 141, ภูมิใจไทย 70, พลังประชารัฐ 36, รวมไทยสร้างชาติ 25, ประชาธิปัตย์ 25, ชาติไทยพัฒนา 10 , อื่นๆ รวม 28) และ
2.) ความเสี่ยงกรณีเลือกนายกฯ ไม่ได้ รองนายกสามารถยุบสภาเลือกตั้งใหม่
สถานการณ์ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณสุญญากาศทางการเมืองจะสั้นกว่าที่ตลาดกังวล เนื่องจากเลขาธิการสภาฯ ส่งจดหมายนัด ส.ส. ประชุม เพื่อโหวตนากยฯท่านใหม่วันที่ 16 ส.ค. นี้ (พรุ่งนี้) เวลา 10:00 น. โดยพรรคเพื่อไทย แกนนำจัดตั้งรัฐบาล นำเสนอชื่อ คุณชัยเกษม นิติศิริ มองจิตวิทยาบวกต่อตลาดระยะสั้น
โดยในวันโหวตนายกที่กำหนดขึ้นใหม่ ติดตามประเด็นดังนี้
- กรณีโหวตผ่าน หรือ ไม่ผ่าน แต่ได้ทางเลือกอื่นๆ ในระยะเวลาอันสั้น (เราให้เป็นกรณีฐาน) จะหนุนตลาด เนื่องจาก 1.) การพิจารณางบประมาณปี 2568 คาดล่าช้าเล็กน้อย โดยงบดังกล่าวขั้นตอนล่าสุดเพิ่งผ่านวาระที่ 1 ฝั่ง ส.ส. ทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐฯ ไม่มีภาพสะดุดและสร้าง Downside กับคาดการณ์ GDP ตลาด 2.) นโยบายขับเคลิ่อนตลาดทุน ในส่วน ThaiESG เกณฑ์ใหม่ เราประเมินโอกาสูงเดินหน้าได้ต่อ หลังครม. ชุดก่อนอนุมัติเรียบร้อยแล้ว รอเพียงประกาศลงราชกิจจานุเบกษา 3.) กองทุนวายุภักษ์ หากอิงกรณีปี 2546 ที่เริ่มจัดตั้ง ซึ่ง ครม. ต้องอนุมัติ คาดว่าการได้ ครม. จะช่วยนโยบายดังกล่าวที่กำลังเดินหน้าไม่มีภาพสะดุด 4.) นโยบาย Digital Wallet กรณีเป็น Candidate พรรคเพื่อไทย มองนโยบายดังกล่าวมีโอกาสสูงเดินหน้าได้ต่อ โดยอาจล่าช้าเล็กน้อยตามงบประมาณปี 2568 แต่หากเป็น Candidate จากพรรคการเมืองอื่น มองอาจทำให้ความไม่แน่นอนนโยบายเพิ่มขึ้น แต่เรามองลบเล็กน้อย เนื่องจากเชื่อว่างบประมาณจะถูกจัดสรรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านอื่นๆ แทนอยู่ดี เรามองกรณีดังกล่าว กรอบ SET ใน 1 เดือน จะค่อยๆ ฟื้นตัวสู่กรอบ 1290-1360 จุด โดยให้เลือกลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์เชื่อว่าเดินหน้าต่อได้ KTB, PTT, AOT กลุ่ม Defensive ที่มีปัจจัยขับเคลื่อน สื่อสาร ADVANC, TRUE, INTUCH ร.พ. BDMS โรงไฟฟ้า GULF ส่วนค้าปลีกทยอยตั้งรับ CPALL, CPAXT
- กรณีหาข้อสรุปไม่ได้ (เราให้น้ำหนักน้อย) จะเข้าสู่กรณีที่จะต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถือเป็นกรณีเลวร้ายต่อ SET กรณีดังกล่าว เพราทุกนโยบายที่รัฐบาลชุดก่อนวางไว้จะสะดุดทั้งหมด มองกรอบ SET ใน 1 เดือน มีโอกาสปรับฐานสู่ระดับ 1280-1250 จุด กลยุทธ์ให้เลือกหุ้น Defensive สื่อสาร ร.พ. และ Global Plays กลุ่มอาหาร ชิ้นส่วนฯ
• (+) Thai CDS : ค่าประกันความเสี่ยงของประเทศไทย(Thai CDS) อายุ 5 ปีล่าสุดแกว่งตัวลงต่ำต่อเนื่องอยู่ที่ 41.67 bps หรือ 0.4167% ต่ำสุดตั้งแต่ 2 ส.ค.2024 ผสานกับค่าเงินบาทเช้านี้แนวโน้มแกว่งตัวในโทนแข็งค่าบริเวณ 35.09 บาท สะท้อนนักลงทุนและตลาดยังมีความมั่นใจและไม่ได้กังวลต่อประเด็นการเมือง จากสถิติอดีต Thai CDS ปรับลงมักจะนำตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นได้ต่อ ทำให้มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET Index วันนี้
• (*/+) SET 2Q24 Earnings: อิงรายงาน Bloomberg หุ้นใน SET ที่รายงานกำไรงวด 2Q24 แล้วทั้งสิ้น 400 บริษัท โดยเป็นหุ้นที่มีคาดการณ์กำไรของตลาด 119 บริษัท ดีกว่าคาด 55 บริษัท ตามคาด 20 บริษัท แย่กว่าคาด 44 บริษัท หุ้นที่รายงานกำไรวันศุกร์ที่ผ่านมา สรุปได้ดังนี้
กลุ่มที่ดีกว่าคาด ได้แก่ SJWD (914%y-y, 214%q-q) STGT (2393%y-y, 158%q-q) ROJNA (พลิกกำไร y-y, 583%q-q) STA (471%y-y, พลิกกำไร q-q) EPG (-17%y-y. 65%q-q) AWC (11%y-y, -22%q-q) CPF(พลิกกำไร y-y, 501%q-q) ERW (155%y-y, 13%q-q) SYNEX (83%y-y, 5%q-q) COM7 (7%y-y, -8.5%q-q) TKN (37.5%y-y, -9%q-q) SIRI (-14%y-y, 6%q-q) BTS (พลิกกำไร y-y, -55%q-q)
กลุ่มที่เป็นไปตามคาด คือ CK (214%y-y, 82%q-q) ORI (-48%y-y, -3%q-q) OSP (10%y-y, -27%q-q) KLINIQ (5%y-y, -2%q-q) EKH (139%y-y, 12%q-q) NEO (73%y-y, 0.3%q-q) GFC (14%y-y, -39%q-q) AOT (45%y-y, -21%q-q) SAWAD (10%y-y, 0.3%q-q) CRC (6%y-y, -23%q-q) SAK (11%y-y, 2.2%q-q)
กลุ่มที่ต่ำกว่าคาด คือ ANAN (Turnaround y-y, -46%q-q) SPRC (Turnaround y-y, -91%q-q) MASTER (8%y-y, -18%q-q) TOA (-36%y-y, -41%q-q) HANA (-41%y-y, 20%q-q) MICRO (ขาดทุนเพิ่มขึ้น y-y, q-q) PSH (-70%y-y, 380%q-q) CHAYO (-16%y-y, 2304%q-q)
กลุ่มที่ไม่มีคาด คือ RS (พลิกขาดทุน y-y, q-q) ITD (พลิกขาดทุน y-y, q-q) STEC (-84%y-y, 113%q-q) BLA (3%y-y, -35%q-q) TLI (8%y-y, -13%q-q) ILINK (-5%y-y, -44%q-q) GABLE (6%y-y, 622%q-q) CCET (100%y-y, 34%q-q) PIN (163%y-y, -7.6%q-q) CPW (28%y-y, -55%q-q)
มองหุ้นน่าสนใจ ได้แก่ ROJNA, STA, CPF, NEO ส่วนหุ้นที่คาดรายงานกำไรเช้าวันนี้ หลัก ๆ อาทิ BCH, CPN
Daily Strategy : CPF, CPALL, CPAXT เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "สร้างฐานสลับฟื้นตัว" ตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีโมเมนตัมบวกความเชื่อมั่นวงจรดอกเบี้ยขาลง หลังเงินเฟ้ออ่อนตัวลงต่อเนื่อง ส่วนภายในเรื่องหลักการเมือง จุดดี คือ มีความชัดเจนและรอยต่อการเมืองมีแนวโน้มสั้น หลังเลขาธิการเตรียมนัดโหวตนายกฯ 16 ส.ค. เชิงกลยุทธ์ มองหุ้นนำ 1.) หุ้นดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ Digital Tech ชิ้นส่วน) 2.) หุ้น Defensive อาทิ สื่อสาร ร.พ. 3.) ตั้งรับหุ้นค้าปลีกที่สะท้อนข่าวลบไปแล้ว
หุ้นฝั่ง Global Plays ที่ตลาดยังเชื่อมั่นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing (PTTEP, TOP, GFPT, TU, CBG, OSP, DELTA, HANA )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, INTUCH, WHA, AMATA)
• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : I-Phone 16 เตรียมเปิดตัว หนุนหุ้นจำหน่ายมือถือ
กระแสการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1 -2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. ของทุกปี และในปีนี้ iPhone 16 คาดว่าจะเปิดตัว 10 ก.ย. 24 หรือราว 4 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้จุดเด่นของ iPhone 16 คือ การใช้ชิป A17 -18 สนับสนุนฟีเจอร์ AI อาทิ การแปลภาษา, การแต่งภาพ เราประเมินรอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเห็นกระแสตอบรับทางบวกจากฟีเจอร์ AI ที่ iPhone 16 จะสามารถใช้งานได้ทุกรุ่น จากปัจจุบันที่ใช้งานเฉพาะ รุ่นเรือธง (Flagship) iPhone 15 Pro เท่านั้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เดิมไม่ได้ใช้งานเครื่องรุ่นเรือธงเดิม (Flagship) มีโอกาสพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ vs ภาพหลายรุ่นช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้วงจรเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างยาวนาน กระทบยอดขายหุ้นที่ดำเนินธุรกิจช่องทางจำหน่าย
KSS ได้ทำการศึกษาสถิติการเปิดตัว i-Phone ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ
กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI (Trading), CPW (Trading) SYNEX (TP Con-13.9), ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร
• Strategy Update : Fed คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ตลาดมองดอกเบี้ยลด 3 ครั้ง ย้ำภาพดอกเบี้ยขาลง
ผลประชุม Fed : ผลประชุม Fed มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% Key Highlight คือถ้อยแถลงของ ประธาน Fed เผยข้อมูลเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะฝั่งเงินเฟ้อ และเริ่มกล่าวถึงการเปิดทางการลดดอกเบี้ยในปีนี้ หากอิง Statement ประเด็นที่เปลี่ยนแปลงรอบก่อน และสนับสนุนมุมมองการลดดอกเบี้ยคือ การอ่อนตัวลงของตลาดแรงงาน ปรับประโยคการจ้างงานเป็น "Moderated" (จากรอบก่อน Remained Strong) และ คาดอัตราการว่างงานสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ สนับสนุนมุมมองตลาดคาดโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปี 3 ครั้งๆละ 25 bps อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 4.5-4.75% สอดคล้องกับ MUFG คาดปีนี้จะเห็นการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งเช่นกัน
KSS ประเมิน หลังจากนี้ ตลาดจะเริ่มจับตารายงานทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคแรงงานมากขึ้น นำโดยอัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ก.ค. 24 ที่จะประกาศ 2 ส.ค. ไม่ควรสูงเกิน 4.2% อิงเกณฑ์ Sahm's Rule เสี่ยง "US Recession" ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า หรือช่วงต้นปี 2025 (Consensus คาดเฉลี่ย 4.1%) อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักอัตราว่างงานยังต่ำกว่าระดับดังกล่าวและเห็นด้วยกับมุมมอง Consensus ซึ่งจะเป็นภาพ Soft landing หากอิงดัชนีชี้นำฝั่ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
ทั้งนี้ น้ำหนักหลักในส่วนอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงทิศทางดังกล่าวจะหนุนภาพ Search for Yield มายัง SET Index ยังแกว่งที่ระดับ Current และ Forward ERP สูง 3.75% และ 4.31% ล้วนใกล้ระดับ Avg + 1 S.D. ที่ 4.07% น่าจะหนุน SET ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง กลยุทธ์เน้นกลุ่ม Yield ลดลง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF, BGRIM กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มหนี้สูง เน้น CPALL, CPAXT, TRUE, MINT
• MSCI Rebalance: •MSCI ประกาศหุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี โดยการ Rebalance จะมีผลวันที่ 30 ส.ค.24
MSCI Global Standard ▪️หุ้นเข้า : ไม่มี ▪️หุ้นออก : AWC (-95 ล้านเหรียญฯ), GPSC(-90 ล้านเหรียญฯ), EA(-35 ล้านเหรียญฯ) และ IVL ( -90 ล้านเหรียญฯ)
MSCI Global Small Cap ▪️หุ้นเข้า : BJC, EA, KAMART, TLI ▪️หุ้นออก : BAFS, BYD, EPG, NEX, ORI, PTG, RBF, THANI, SC, SJWD, SKY, SNNP, THCOM
• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย
การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21
อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%
ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA
• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index
รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.
เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC
• CPF (Trading Buy, TP25.5): เรามีมุมมอง "Positive" ต่อกำไรสุทธิ 2Q24 ของ CPF ที่ 6,925 ลบ. สูงที่สุดในรอบ 13 ไตรมาส (เพิ่มจากขาดทุนใน 2Q23, +553%y-y) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด +51%/+47% จาก GPM และ SG&A/sales ดีกว่าคาด ทั้งนี้ปัจจัยหลักที่ผลักดันการเติบโต ใน 2Q24 มาจากธุรกิจสัตว์บกต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจหมูในเวียดนามเติบโตดี สำหรับแนวโน้ม 3Q24F คาดกำไรปกติโต y-y, q-q จาก High season ส่งออก ราคาหมูเวียดนามและหมูจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนเลี้ยงสัตว์ลดลง ทั้งนี้ กำไรสุทธิ 1H24 คิดเป็น 81% ของประมาณการปัจจุบัน จึงมีแนวโน้มปรับประมาณการหลังได้รับข้อมูลแผนการดำเนินงานเพิ่มเติมจากบริษัทในการประชุมนักวิเคราะห์ คงคำแนะนำ Trading buy และ roll over ไปใช้ TP25F ที่ 25.50 บ. ยังคงเลือก CPF เป็น Top pick กลุ่มฯ
• CBG (Buy, TP76): Following yesterday analyst meeting, we upgrade to BUY (from Neutral) and increase TP by 2.7% to Bt76 on the increased profit from its 60% stake in the new JV in Cambodia (operational in 2H26), that could increase its profit by 3.3% in FY26F and 6.4% in FY27F from both logistics and tax cost savings. We estimate CBG will invest (in capex) in the JV Bt600m in FY24 and Bt900m in FY25. We factor in management's estimates of the cost savings of Bt100m (half a year) for FY26F and Bt200m for FY27F (full-year). All other assumptions and estimates remain unchanged.
• HANA (Neutral, TP44): HANA reported its core profit for 2Q24 at Bt487m (-35% yoy, +38% qoq), 8% higher than our expectation but in line with market expectation. However, with the expectation that HANA's earnings may grow only 6% this year, lowest growth rate in the sector, while its 1H24 contribute only 39% of our forecast, we maintain NEUTRAL call with the same TP of Bt44.
• MOSHI (Buy, TP64): เรามีมุมมอง Positive ต่อข้อมูลจากที่ประชุมนักวิเคราะห์ i) เนื่องจาก SSSG ใน เดือน ส.ค. กลับมาเป็นบวกสูงระดับ double-digit ii) มีการปรับเป้าหมายเปิดสาขาขึ้นในปี 2025F เพิ่มเป็น 30 สาขา จากเป้าหมายเดิม 20 สาขา iii) บริษัทมีความพร้อมในการแข่งขัน โดยเฉพาะจุดเด่นด้านราคาและการขยายสาขา ซึ่งเราคงประมาณการกำไร 2024-26F คงคำแนะนำ Buy ที่ TP25F เดิม 64 บาท อิง DCF โดยเรามอง MOSHI เป็นผู้นำกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เติบโตเร็วกว่าตลาดค้าปลีกโดยรวม อีกทั้งมีแผนเชิงรุกในภาวะที่คู่แข่งยังชะลอ
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP