AT THE OPEN (#ATO)
SET Index จุดซื้อสะสม
กลยุทธ์เลือกหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มเติบโต
Market Strategy
SET Index คาดแกว่งตามกรอบ 1275-1300 จุด ความไม่แน่นอนการเมืองอาจกลับมาให้นักลงทุนกลับมาอยู่ในภาวะ Wait &See แต่อย่างไรก็ตามเรายังมองสูญญากาศทางการเมืองน่าจะเกิดเพียงระยะเวลาสั้นๆ (ในช่วง 2-3 สัปดาห์) จึงไม่ทำให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการเบิกจ่ายงบประมาณสะดุด ในมุมกลับเป็นถิอเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของความชัดเจน มองระดับดัชนีปัจจุบันเป็นจุดสะสม วันนี้เลือก AOT CPF
ศาล รธน. มีมติ 5:4 ให้นายกฯเศรษฐา พ้นจากตำแหน่ง ทำให้กระบวนการถัดไป เป็นการเปิดสภาฯเพื่อเลือกนายกฯ ใหม่จะมีขึ้นในวันที่ 16 ส.ค. ล่าสุดรายงานว่าพรรคเพื่อไทยเตรียมส่งคุณชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งจะต้องได้โหวตเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ที่มีอยู่ในสภา 493 คน กระบวนการเลือกนายกฯที่เกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว ส่งผลให้สูญญากาศทางการเมืองเกิดเพียงช่วงเวลาสั้นๆ จึงไม่น่าจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและการเบิกจ่ายงบประมาณแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังมองเป็นประเด็นที่ช่วยปลดล็อคความไม่แน่นอนตลอดช่วงเวลาเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมาและทำให้นักลงทุนหันมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและกำไรบริษัทฯ มากขึ้น ซึ่งการรายงานกำไรบริษัทฯงวด 2Q67 ที่มีคาดการณ์ใน Bloomberg Consensus ล่าสุดถึงวันที่ 14 ส.ค. รายงานแล้วคิดเป็น 80% ของ Market Cap ทำกำไรดีกว่าตลาดคาด 7.6% ทำให้ยังไม่เปิด Downside ต่อการปรับลดประมาณกำไรตลาดปี 67 ลง โดยล่าสุดเราคงคาด EPS67 ที่ 94.7 บาท/หุ้น เติบโต 24%YoY
ด้านปัจจัยต่างประเทศเป็นในทางบวกจากการรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือน ก.ค. ขยายตัว 2.9%YoY ใกล้เคียงคาดและต่ำกว่าเดือนก่อนที่ 3%YoY ทำให้โอกาสการลดดอกเบี้ยฯในเดือน ก.ย. ยังมีสูง และตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้นในช่วง 0.03%-0.6% วันนี้ติดตามตัวเลขยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ เดือน ก.ค. ต่อไป
Market Summary
SET Index ติดลบ 5.10 จุด ตามผลของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนายกฯ ผิดคุณสมบัติ กดดันต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก CPALL -4.7% CPAXT -4.3% BJC -2.9% จากความเสี่ยง Digital Wallet ที่อาจสะดุด ส่วนกลุ่มที่แข็งสวนตลาดกลุ่ม Global Play DELTA +1% กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม CBG +3.8% หลังผู้บริหารให้มุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจ โดยนักลงทุนสถาบันฯขายสุทธิเพียงกลุ่มเดียวที่ 2 พันล้านบาท
ATO Daily Stock Picks
แนะนำ AOT CPF
AOT สะสมที่ดีรับผลประการ
กลับมาฟื้นในครึ่งปีหลัง
รายงานกำไรหลัก 3Q67 (เม.ย.-มิ.ย.) ที่ 4.6 พันล้านบาท (+42%YoY, -21%QoQ) ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของเราและตลาด ด้านทิศทางกำไร 4Q67 (เดือนก.ค.-ก.ย.) คาดจะฟื้นตัวได้ทั้ง QoQ และ YoY หลังจากผ่านช่วง Low Season ของภาคการท่องเที่ยว หนุนผลการดำเนินงานทั้งปีเราคาด Core EPS Growth ปี 67 ขยายตัว 118.3%YoY
หุ้นตอบรับความกังวลการเรียกคืนพื้นที่ Duty Free ทั้งขาเข้า ขาออกมากเกินไปจนทำให้ราคาปรับลงไปเกือบ 10% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ประเมินจากทิศทางผลประกอบการที่มีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ยังมี Upside เพิ่มเติบหากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสมากกว่าเป้าหมายของทางการที่ 35 ล้านคนและของเราที่ 36 ล้านคน โดยทุกๆการเกินเป้า 1 ล้านคน จะทำให้กำไร AOT เพิ่มขึ้น 3% ในปี 67/68
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 74.00 บาท
CPF กำไรเติบโตโดดเด่น
กำไรหลักจะอยู่ที่ 5.81 พันล้านบาท (เทียบกับขาดทุนหลัก 2.58 พันล้านบาท และกำไรหลัก 491 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2567) ซึ่งสูงกว่าประมาณการของเราถึง 74% และสูงกว่าตลาด 29% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรจากบริษัทร่วม
ยอดขายทรงตัว YoY เนื่องจากราคาไก่ในประเทศที่เพิ่มขึ้นและราคาหมูที่สูงขึ้นในเวียดนามช่วยชดเชยราคาหมูในประเทศที่ลดลงและการขายกิจการไก่ในประเทศจีนในไตรมาส 4 ปี 2566 ด้านกำไรขึ้นต้นเพิ่มขึ้น 520 bps YoY เป็น 15.4% จากราคาข้าวโพดและกากถั่วเหลืองที่ลดลง 15%YoY และ 8%YoY ขณะที่ราคาไก่ในประเทศเพิ่มขึ้น 3% และราคาหมูในเวียดนามฟื้นตัวขึ้น 16%
กำไรหลัก 1H67 คิดเป็น 62% ของปี 67 ขณะที่แนวโน้ม 2H67 ยังเป็นบวกจากราคาหมูในเวียดนามและจีน ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์อยู่ในระดับต่ำ เราเห็นโอกาสในการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 28.10 บาท
KEY FACTOR
ปัจจัยต่างประเทศโดยรวม ยังถือเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง เงินเฟ้อสหรัฐฯ ใกล้เคียง-ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย 1) CPI +2.9% YoY และ +0.2% MoM 2) Core CPI +3.2% YoY และ +0.2% MoM หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงรอบการ ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วง 0.03% - 0.61%
อย่างไรก็ตามปัจจัยภายในประเทศ การวินัจิฉัยถอดถอนนายกฯ ที่สร้างความไม่แน่นอนระยะสั้นต่อรัฐบาล และโครงการต่างๆที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งความชัดเจนน่าจะต้องรอการเลือกนายกฯ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะเป็นตัวแปร บ่งชี้ความต่อเนื่องของการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ
พบว่าเมื่อวานนี้ การปรับตัวลงของดัชนี SET Index ที่ลงทำจุดต่ำสุดของวันบริเวณ 1,280 จุด มาจากแรงขายปรับพอร์ตโดยนักลงทุนสถาบันฯ -2.02 พันล้านบาท และในระยะถัดไปมีโอกาสที่กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่แม้ว่าเมื่อวานจะยังซื้อสุทธิ 438.41 ล้านบาท อาจะชะลอการลงทุนจนกว่าจะมีความชัดเจนทางการเมือง
EYES ON
15 ส.ค. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ และจีน
16 ส.ค. สภาฯ นัดวาระพิเศษ เลือกนายกฯ
กลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ