"Big Cap Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1310/1320 จุด รับ 1293/1287 จุด ดัชนี S&P500 ขึ้น +1.7% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (ดัชนี Nasdaq +2.4%) ตอบรับเงินเฟ้อผู้ผลิต(PPI) เดือน ก.ค. 24 ลดลงดีกว่าคาดสู่ +2.2%y-y, +0.1%m-m vs prev. 2.7%y-y, 0.2%m-m กด US Bond Yield 10ปี ลง -5 bps สู่ 3.85% ทำให้จิตวิทยาลงทุนเป็นบวกจากวงจรดอกเบี้ยขาลง ขณะที่วันนี้ ติดตามเงินเฟ้อผู้บริโภค(CPI) ตลาดคาด 3%y-y, 0.2%m-m ส่วนภายในวันนี้ เรื่องหลัก คือ ติดตามการวินิจฉัยคุณสมบัตินายก เชิงกลยุทธ์เรามองจะเป็นการคลาย Overhang ตลาด ให้อยู่ฝั่งซื้อ ไม่ว่าผลจะออกมาในกรณีใด จากความชัดเจนด้านการเมือง อีกทั้ง SET ถูกขายลดความเสี่ยงกรณีดังกล่าวล่วงหน้ามาแล้ว โดย SET -5.9% ตั้งแต่มีประเด็น 20 พ.ค. จนปัจจุบันอยู่ในโซนลงทุน Current และ Forward Equity Risk Premium อยู่ในระดับ 3.97% และ 4.47% vs จุดกลับตัว กรณีไม่มีวิกฤติที่ระดับ +1 S.D. (4.07%) มองหุ้นนำ กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (ชิ้นส่วน เช่าซื้อ Digital Tech โรงไฟฟ้า) กลุ่มที่ภาพการเมืองชัดเจนขึ้นหนุน (ค้าปลีก) วันนี้แนะนำ DELTA, CPALL, GULF
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1293/1287 จุด
What happened around the world ?
•(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ ฟื้นตัวแรงอีกครั้งรับ รายงาน PPI ออกมาต่ำกว่าคาด อิง Dow Jones เมื่อวาน เปิดบวกแต่ปิดลบ 1.04%d-d , S&P500 +1.68%d-d, Nasdaq +2.4%d-d โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกือบทุก Sector ยกเว้นกลุ่ม Energy โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆนำโดยกลุ่ม IT, Consumer discretionary ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น ส่วนใหญ่คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ NVDIA +6.48% Apple+1.7%, Microsoft +1.7%, Starbuck ปรับขึ้น 24.5%รับข่าว การแต่งตั้ง CEO คนใหม่ คือนายไบรอัน ผู้บริหารบริษัท Chipotle Mexican Grill
•(+)US Econ: สหรัฐรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต(PPI) เดือน ก.ค. โดย Headline PPI ลดลงสู่ระดับ 2.2%y-y จาก 2.7% ในเดือน มิ.ย. ต่ำกว่า Consensus คาดไว้ที่ 2.3% (เทียบรายเดือน +0.1%mom Vs +0.2% Cons.) ส่วน Core PPI ลดลงแตะระดับ 2.4% จาก 3% ในเดือน มิ.ย. ต่ำกว่า Consensus คาดไว้ที่ 2.7% (เทียบรายเดือน +0.0%mom Vs 0.2% Cons.) ** การลดลงของดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สะท้อนแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อลดลงอย่างต่อเนื่องเปิดทางให้เฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น
•(*) US CPI : คืนนี้ 14 ส.ค. ติดตาม เงินเฟ้อ CPI ก.ค. Consensus คาดเงินเฟ้อทั่วไป +3.0%y-y ทรงตัวจากเดือนก่อน, +0.2%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +0.2%m-m และ 3.2%y-y ใกล้เคียงกับ Top ranks Economist คาด KSS ประเมินจากมีโอกาสสูงที่จะออกมา Inline หรือดีกว่า/ ลดลงจากเดือนก่อน พิจารณาจากปัจจัยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ทั้ง US Mortgage rate ปรับลงต่อเนื่อง PMI ภาคการผลิตสหรัฐลดลงต่ำระดับ 50 จุด ฯลฯ หากออกมาตามคาด มองเป็นจิตวิทยาบวกหนุนมุมมอง Fed ลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ กดดัน US Bond yields และ Dollar index เป็นขาลง หนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มชิ้นส่วน
•(-) China Econ: จีนรายงานยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ในเดือน ก.ค.ต่ำเพียง 2.6 แสนล้านหยวน ลดลงจาก 2.13 ล้านล้านหยวนในเดือน มิ.ย. และต่ำกว่า Consensus คาดไว้ที่ 4.5 แสนล้านหยวน นับเป็นยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี ขณะเดียวกันจีนมียอดปล่อยสินเชื่อรวมเดือน ก.ค.ที่ 7.7 แสนล้านหยวน ลดลงจาก 3.3 ล้านล้านหยวนในเดือน มิ.ย. และต่ำกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ 1.1 ล้านล้านหยวน ยอดปล่อยสินเชื่อที่ลดลงดังกล่าวสะท้อนถึงดีมานด์หรือกิจกรรมเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีน จำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
•(*) Geopolitical risk : ทำเนียบขาวเผยว่าประธานาธิบดี Biden ผู้นำสหรัฐได้หารือกับผู้นำฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี และอังกฤษ เกี่ยวกับแนวทางการลดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และการทำข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้น มองสงครามไม่บานปลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ และประเทศหัวเรือใหญ่กำลังหาแนวทางให้สถานการณ์ผ่อนคลาย มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพบ์เสี่ยง แต่เป็นจิตวิทยาลบต่อสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ทองคำ และราคาน้ำมันดิบ
•(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 15 ส.ค. ติดตามดัชนีค้าปลีก คาด +0.3%m-m vs prev. +0.0%m-m และ ผลผลิตอุตสาหกรรม คาด +0.0%m-m, 16 ส.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค คาด 67.2 จุด ฝั่งจีน 15 ส.ค. กิจกรรมเศรษฐกิจจีน ก.ค. ได้แก่ 1) ผลผลิตอุตสาหกรรม คาด +5.4%y-y vs prev. +5.3%y-y, 2) ยอดค้าปลีก คาด +2.6%y-y vs prev. +2.0%y-y, 3) การลงทุนในสินทรัพย์คงทน คาด +3.9%ytd y-y เท่าเดือนก่อน และ 4) การลงทุนภาคอสังหา คาด -9.9%ytd y-y vs prev. -10.1%ytd y-y
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐอยู่ในแนวโน้มขาลงระยะยาว และระยะสั้นพลิกลงต่อทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ อิง อายุ 2 ปีปรับลง -6 bps ที่ 3.93% และอายุ 10 ปี ปรับลงต่อเนื่อง 3 วัน -5 bps ปิด 3.85% มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็หทรอนิกส์ ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าลงมาบริเวณ 102.4 จุด
•(*) Oil :ราคาน้ำมันดิบพลิกลงอีกครั้งหลังจากขึ้นแรงเมื่อวันก่อน อิง น้ำมันดิบ Brent -1.96%d-d ปิดที่ US$ 80.69/barrel น้ำมันดิบ West Texas -2.14%d-d ปิดที่ US$ 78.35/barrel มองผลจากถูก Take profit หลังจากขึ้นแรงช่วงก่อนหน้า โดยสถานการความตึงเครียดไม่ได้มีปัจจัยหนุนใหม่ และถูกกดดันจากข่าว OPEC ลดคาดการณ์ Demand น้ำมัน เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP
What happened in Thailand ?
• (*) SET: SET Index เพิ่มขึ้น 0.72 จุด (+0.06%) ปิดที่ 1,297 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นฝั่งเอเชียตะวันออกดฉียงใต้ที่ปรับขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยตลาดรอดูความชัดเจนปัจจัยการเมือง 14 ส.ค. ที่จะมีการวินิจฉัยคคุณสมบัตินายกฯและรายงานเงินเฟ้อฝั่งสหรัฐฯ มูลค่าการซื้อขาย 4.04 หมื่นล้านบาท กลุ่มหนุน คือ กลุ่มธนาคาร (TTB, KTB) มองตลาดเก็งหุ้นธนาคารที่มีน้ำหนักกองทุนวายุภักษ์สูง หลังรัฐฯเตรียมนำกองทุนดังกล่าวกลับมา โดยมีการแถลงข่าวช่วงบ่ายวานนี้ กลุ่มพลังงาน (PTT) เหตุผลเช่นเดียวกับกลุ่มธนาคาร โดย PTT มีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์สูงถึง 36.3% กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) มองขายลดความเสี่ยงก่อนรายงานกำไรงวดบัญชี 3Q24 คาดมีต้นทุนใหม่รันเวย์ที่ 3 รวมถึงระยะถัดไปยังอาจมีผลกระทบการยกเลิกพื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่เรามองสะท้อนในหุ้นไปแล้ว และนักท่องเที่ยวที่กำลังเร่งขึ้นมีโอกาสช่วยชดเชยได้ กลุ่มการแพทย์ (BDMS) มองขายทำกำไรหลัง Outperform ตลาดรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
• (*) Flow : เม็ดเงินต่างประเทศวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลออก ขายพันธบัตร -195.5 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +4.91 ล้านเหรียญฯ TFEX เปิดสถานะ Net Short ที่ -16,419 สัญญา เงินบาทแข็งค่าที่ 35.0 +/- บาท
• (*) TH Politic: วันนี้ติดตามศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีคุณสมบัตินายกฯ เรามองจุดดีที่ตลาดจะเห็นความชัดเจน ขณะที่ตลาดขายลดความเสี่ยงล่วงหน้ามาแล้ว SET ปรับลดลงจากช่วงที่เริ่มมีประเด็น (20 พ.ค.) ราว -5.9% โดยรวมจึงมองความผันผวนจำกัด หากผลการวินิจฉัยไม่เป็นกรณีที่สร้างความเสี่ยงเกิดสูญญากาศการเมืองยาวนาน เช่น กรณีนายกผิดกรณีคุณสมบัติและไม่สามารถเลือกนายกใหม่ได้ จนนำไปสู่กลไกยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ทั้งนี้ กรณีคุณเศรษฐาฯ ดำรงตำแหน่งต่อ จะบวกต่อกลุ่มค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT, BJC รับเหมา เช่าซื้อ ท่องเที่ยว เน้น AOT, BA นิคม เน้น WHA จากการขับเคลื่อนมาตรการที่วางไว้ได้ต่อเนื่องตามเดิม
• (+) TH Tourism: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5-11 ส.ค. เป็นภาพบวกสูง 7.5 แสนคน เร่งขึ้น +5.8%w-w หนุนนักท่องเที่ยว YTD ถึง 11 ส.ค. สูง 21.8 ล้านคน ผสาน นักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน ส.ค. สูง 1.06 แสนคน เป็นระดับสูงอันดับ 2 ในปี 2024 เป็นรองจาก ก.พ. 24 ซึ่งเป็นทั้งช่วงฤดูกาลและมีเทศกาลตรุษจีน ทั้งนี้ เรามองโมเมนตัมดังกล่าวยังน่าจะเดินหน้าต่อเนื่อง จากมาตรการสนับสนุนท่องเที่ยวหลายด้านของรัฐฯ โดยรวมนักท่องเที่ยวปี 2024F เรามองมีโอกาสแตะระดับ 36.8-37 ล้านคน สูงเกินกว่าคาดการณ์ทุกสำนัก เชิงกลยุทธ์ หุ้นท่องเที่ยวที่ Underperform SET ระยะหลัง เรามองเป็นโอกาสลงทุน เน้น AOT, BA และหุ้นอิงภาคบริการ CPALL, CPAXT
• (*/+) Vayupak: กระทรวงการคลัง แถลง "กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง" รายละเอียดสำคัญที่เปิดเผยเบื้องต้น ได้แก่ 1.) คาดกองทุน ก ที่จะเสนอขาย จะมีขนาด 1.0-1.5 แสนล้านบาท เราประเมินผลกบวกต่อ SET อิงกรณีศึกษาที่เราเคยประเมินผลบวกเม็ดเงินใหม่ (อิงกรณี LTF) ทุกๆ1 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2012-13 ที่วงจรเศรษฐกิจใกล้เคียงปัจจุบัน จะหนุน SET ได้ 20 +/- จุด 2.) กองทุนจะกำหนดผลตอบแทนลักษณะ Waterfall คือ จะกำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำคงที่สำหรับกองทุนส่วน ก ขณะที่กำหนดเพดานขั้นสูงเช่นกัน (หากกองทุนลงทุนและผลตอบแทนต่ำกว่าขั้นต่ำ 3.) กองทุนจะมีกลไกคุ้มครองเงินลงทุนของกองทุนประเภท ก 4.) รายละเอียดทุกประเด็นจะปรากฎในหนังสือชี้ชวนที่ก่อนเริ่มขายกองทุน ก.ย. 24 แม้ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม แต่เรามองเป็นบวกภาพต่อ SET ที่จะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุน และบวกต่อหุ้นที่มีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์ 1 สูง (สิ้นสุด ธ.ค. 23) >0.7% ของเงินลงทุน คือ PTT (36.3%) SCB(24.3%) TTB (4.9%) BCP (3.47%) KTB (3.3%) AOT (1.81%) ADVANC (1.63%) SCC (0.89%) BDMS (0.86%) KBANK (0.73%) ทั้งนี้ หากประกอบภาพพื้นฐานระยะสั้น-กลาง มองหุ้นน่าสนใจ คือ PTT, SCB, BCP, KTB, AOT, ADVANC
• (*/+) Digital Tech Consult: สัญญาณการฟื้นตัวงบลงทุนรัฐฯ เป็นบวก จากช่วงที่มีงบประมาณปี 2024 มีผล เม.ย. 24 ซึ่งงบลงทุนเบิกจ่ายได้เพียง 14.6% ปัจจุบัน (2 ส.ค.) เบิกจ่ายได้แล้ว 43% ขณะที่จุดน่าสนใจอยู่ที่การเบิกจ่ายเฉลี่ยต่อวัน ส.ค. 24 กลับสูง 0.34% ต่อวัน (vs ก.ค. 24 ที่ 0.18% ต่อวัน) และกลับไปใกล้เคียงยอดเบิกจ่ายเฉลี่ยต่อวัน เม.ย. - มิ.ย. ที่ 0.37% ต่อวัน ผสาน เริ่มเห็นภาพความคึกคักผู้ประกอบการหลายรายสนใจร่วมสมัครโครงการ Virtual Bank สัปดาห์ก่อน กลุ่ม BTS – VGI, วานนี้ KTB – OR – GULF – ADVANC (ปิดรับสมัคร 19 ก.ย.) ผสาน Backlog ของกลุ่มสิ้นสุด 2Q24 ล้วนเป็นภาพทำ New High อีกครั้งแล้ว + Valuation หุ้นหลักในกลุ่ม BE8 และ BBIK อยู่ในโซนลงทุน Forward PER อยู่ในระดับ Avg. – 1.5 S.D. เชิงกลยุทธ์มอง BBIK น่าสนใจในฐานะผู้นำการฟื้นตัว ส่วน BE8 ในฐานะที่มี Valuation น่าดึงดูดกว่า
• (*) Cabinet: ครม. เห็นชอบ 1.) ตั้ง "นากก้า" (NaCGA) สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ ยกเครื่องใหญ่ระบบค้ำประกันไทย เตรียมร่างกฎหมาย ร่วม ธปท.คาดใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน มองมีโอกาสที่โครงการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ความกังวลคุณภาพสินทรัพย์สถาบันการเงินบางส่วน 2.) รับทราบการเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ให้กับนักลงทุนทั่วไป และ 3.) เห็นชอบให้หน่วยงานรัฐฯ หาแนวทางสกัดสินค้าจีน โดยให้นำเสนอแนวทางอีกครั้งในเดือนนี้
• (*/+) SET 2Q24 Earnings: อิงรายงาน Bloomberg หุ้นใน SET ที่รายงานกำไรงวด 2Q24 แล้วทั้งสิ้น 251 บริษัท โดยเป็นหุ้นที่มีคาดการณ์กำไรของตลาด 86 บริษัท ดีกว่าคาด 43 บริษัท ตามคาด 12 บริษัท แย่กว่าคาด 31 บริษัท หุ้นที่รายงานกำไรวันศุกร์ที่ผ่านมา สรุปได้ดังนี้
กลุ่มที่ดีกว่าคาด ได้แก่ CPALL (41%y-y. -1.3%q-q) KCE (69%y-y, 23%q-q) SAPPE (32%y-y, 17%q-q) M (-13%y-y, 16%q-q) GFPT (67%y-y, 25%q-q) KCG (86%y-y, 32%q-q) RATCH (8%y-y, 49%q-q) AAV (Turnaround y-y, q-q) SC (-10%y-y, 191%q-q) BEM (11%y-y, 18%q-q) BJC (1.5%y-y, 187%q-q) BAM (7%y-y, 8%q-q) SFLEX (24%y-y, -2%q-q) PRM (36%y-y, 14%q-q) BANPU (Turnaround y-y, -40%q-q)
กลุ่มที่เป็นไปตามคาด คือ PLANB (16%y-y, 46%q-q) SPALI (-6%y-y, 161%q-q) AP(-18%y-y, 26%q-q) SISB (35%y-y, -1%q-q) XO (17%y-y, -5.5%q-q) BDMS (9%y-y, -18%q-q)
กลุ่มที่ต่ำกว่าคาด คือ MEGA (-3%y-y, +7%q-q) TTW (-0.4%y-y. 24%q-q) LH (-30%y-y, -17%q-q) CENTEL (39%y-y, -78%q-q) แต่กำไรปกติ ดีกว่าคาด BGRIM (-66%y-y. -40%q-q) AH (-75%y-y, -68%q-q) AMATA (-26%y-y, -50%q-q) TASCO (-87%y-y, +1157%q-q)
กลุ่มที่ไม่มีคาด คือ THG (-67%y-y, 573%q-q) PYLON(พลิกขาดทุน y-y, q-q) WORK (3%y-y, 450%q-q) VGI (Turnaround y-y, q-q) BTSGIF (-47%y-y, -60%q-q)
ส่วนกลุ่มที่คาดรายงานกำไรวันนี้ อาทิ AOT, AWC, BTS, CCET, CPF, CRC, ERW, HANA, MASTER, NEO, ORI, PSH, SIRI, SJWD, SPRC, STA, SYNEX, WARRIX หุ้นที่ตลาดกำไรจะออกมาดี คือ AOT, CPF, HANA, NEO, SIRI, SPRC, SYNEX
Daily Strategy : DELTA, CPALL, GULF เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" ตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นบวกจากความเชื่อมั่นวงจรดอกเบี้ยขาลง หลังสัญญาณเงินเฟ้อออกมาในทางบวก ส่วนภายในติดตามการเมืองกรณวินิจฉัยคุณสมบัตินายก มองความชัดเจนจะหนุนหุ้น Domestic ที่ถูกขายลดความเสี่ยงมาก่อนแล้ว มองหุ้นนำ 1.) หุ้นวงจรดอกเบี้ยขาลงหนุน อาทิ กลุ่มชิ้นส่วนฯ กลุ่ม Digital Tech Consult กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มโรงไฟฟ้า 2.) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากความชัดเจนการเมือง อาทิ ค้าปลีก
หุ้นฝั่ง Global Plays ที่ตลาดยังเชื่อมั่นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing (PTTEP, TOP, GFPT, TU, CBG, OSP, DELTA, HANA )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, INTUCH, WHA, AMATA)
• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : I-Phone 16 เตรียมเปิดตัว หนุนหุ้นจำหน่ายมือถือ
กระแสการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1 -2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. ของทุกปี และในปีนี้ iPhone 16 คาดว่าจะเปิดตัว 10 ก.ย. 24 หรือราว 4 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้จุดเด่นของ iPhone 16 คือ การใช้ชิป A17 -18 สนับสนุนฟีเจอร์ AI อาทิ การแปลภาษา, การแต่งภาพ เราประเมินรอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเห็นกระแสตอบรับทางบวกจากฟีเจอร์ AI ที่ iPhone 16 จะสามารถใช้งานได้ทุกรุ่น จากปัจจุบันที่ใช้งานเฉพาะ รุ่นเรือธง (Flagship) iPhone 15 Pro เท่านั้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เดิมไม่ได้ใช้งานเครื่องรุ่นเรือธงเดิม (Flagship) มีโอกาสพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ vs ภาพหลายรุ่นช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้วงจรเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างยาวนาน กระทบยอดขายหุ้นที่ดำเนินธุรกิจช่องทางจำหน่าย
KSS ได้ทำการศึกษาสถิติการเปิดตัว i-Phone ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ
กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI (Trading), CPW (Trading) SYNEX (TP Con-13.9), ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร
• Strategy Update : Fed คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ตลาดมองดอกเบี้ยลด 3 ครั้ง ย้ำภาพดอกเบี้ยขาลง
ผลประชุม Fed : ผลประชุม Fed มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% Key Highlight คือถ้อยแถลงของ ประธาน Fed เผยข้อมูลเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะฝั่งเงินเฟ้อ และเริ่มกล่าวถึงการเปิดทางการลดดอกเบี้ยในปีนี้ หากอิง Statement ประเด็นที่เปลี่ยนแปลงรอบก่อน และสนับสนุนมุมมองการลดดอกเบี้ยคือ การอ่อนตัวลงของตลาดแรงงาน ปรับประโยคการจ้างงานเป็น "Moderated" (จากรอบก่อน Remained Strong) และ คาดอัตราการว่างงานสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ สนับสนุนมุมมองตลาดคาดโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปี 3 ครั้งๆละ 25 bps อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 4.5-4.75% สอดคล้องกับ MUFG คาดปีนี้จะเห็นการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งเช่นกัน
KSS ประเมิน หลังจากนี้ ตลาดจะเริ่มจับตารายงานทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคแรงงานมากขึ้น นำโดยอัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ก.ค. 24 ที่จะประกาศ 2 ส.ค. ไม่ควรสูงเกิน 4.2% อิงเกณฑ์ Sahm's Rule เสี่ยง "US Recession" ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า หรือช่วงต้นปี 2025 (Consensus คาดเฉลี่ย 4.1%) อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักอัตราว่างงานยังต่ำกว่าระดับดังกล่าวและเห็นด้วยกับมุมมอง Consensus ซึ่งจะเป็นภาพ Soft landing หากอิงดัชนีชี้นำฝั่ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
ทั้งนี้ น้ำหนักหลักในส่วนอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงทิศทางดังกล่าวจะหนุนภาพ Search for Yield มายัง SET Index ยังแกว่งที่ระดับ Current และ Forward ERP สูง 3.75% และ 4.31% ล้วนใกล้ระดับ Avg + 1 S.D. ที่ 4.07% น่าจะหนุน SET ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง กลยุทธ์เน้นกลุ่ม Yield ลดลง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF, BGRIM กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มหนี้สูง เน้น CPALL, CPAXT, TRUE, MINT
• MSCI Rebalance: •MSCI ประกาศหุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี โดยการ Rebalance จะมีผลวันที่ 30 ส.ค.24
MSCI Global Standard ▪️หุ้นเข้า : ไม่มี ▪️หุ้นออก : AWC (-95 ล้านเหรียญฯ), GPSC(-90 ล้านเหรียญฯ), EA(-35 ล้านเหรียญฯ) และ IVL ( -90 ล้านเหรียญฯ)
MSCI Global Small Cap ▪️หุ้นเข้า : BJC, EA, KAMART, TLI ▪️หุ้นออก : BAFS, BYD, EPG, NEX, ORI, PTG, RBF, THANI, SC, SJWD, SKY, SNNP, THCOM
• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย
การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21
อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%
ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA
• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index
รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.
เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC
• CPALL (Buy, TP84): เราประเมินราคาหุ้น CPALL ในวันนี้จะปรับขึ้นตอบรับ 1) กำไรปกติ 2Q24 ที่ 6.15 พันลบ. (+37%y-y,+2%q-q) ดีกว่าเราและตลาดคาด เพราะอัตรากำไรขั้นต้นร้านเซเว่นโตเด่น +60bps y-y , 2) ปรับกำไรปกติทั้งปี 24F ขึ้นเป็น 2.42 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น +33% ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับกลุ่มค้าปลีกคาดโต +20%และ 3) คาดเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากนโยบาย Digital wallet เพราะมีสัดส่วนรายได้จากร้านค้าขนาดเล็ก 49%ของรายได้รวม ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำ BUY โดย rollover ราคาเป้าหมายเป็นปี 25F ที่ 84 บ. ให้เป็น Top picks กลุ่มค้าปลีกคู่กับ CPAXT (TP 40 บ.)
• VGI (Buy, TP2.08): เรามอง Positive ต่อกำไรสุทธิ 1Q25 (เม.ย.-มิ.ย.24) ของ VGI ที่ 63 ลบ. ดีกว่าเราคาดว่าจะขาดทุน -110 ลบ. จากการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดีกว่าคาด และฟื้นจากขาดทุน -366 ลบ. ใน 1Q24 และ +22% q-q เราปรับกำไรปี FY25F-27F ขึ้น 87-232% เปลี่ยนคำแนะนำเป็น Buy (เดิม Neutral) และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 2.08 บาท
• SVI (Buy, TP10): After SVI's report an impressive earnings in 2Q24 thanks to a high GPM and get some positive sign from management via analyst meeting, we upgrade SVI's core earnings for 2024 by 15% to Bt1.4b (+47% yoy). This make the company is expected to post the strongest earnings growth among the sector in 2024. Therefore, we still maintain our BUY call with the new FY25 TP of Bt10.
• AMATA (Buy, TP29): Below all forecast, core profit marginal growth of only 2% yoy but fell 14% qoq to Bt332m in 2Q24 due to narrower gross margin and higher SG&A expenses. It booked Bt238m gain from spin-off 20% stake in Amata City Halong to partner under equity (not P&L). We look for stronger earnings in 2H24 backed by Bt19.6b backlog. We maintain BUY rating for AMATA.
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP