เห็นสัญญาณบวกจาก FUND FLOW
สัญญาณบวกจาก FUND FLOW ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ เริ่มจาก FLOWจากนักลงทุนต่างชาติ ผลจากความคาดหมายว่า FED น่าจะลดดอกเบี้ยนโยบายราว 0.75% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ขณะที่บ้านเราคงดอกเบี้ยทำให้เงินบาทแข็งค่า หนุนเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ส่วน FLOW ในประเทศ เห็นความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมของ กองทุนวายุภักษ์ ซึ่งคาดว่าจะระดมเงินในเดือน ก.ย.67 ประมาณ 1 –1.5 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในตลาดหุ้นนอกจากนี้จะเห็นธุรกรรมการระดมเงินทุนผ่านกองทุนประหยัดภาษีอย่างTHAI ESG ซึ่งคาดหมายว่าจะเห็นเม็ดเงินในปีนี้ 2 – 3 หมื่นล้านบาท จากสัญญาณบวกของ FUND FLOW ดังกล่าวประกอบกับ VALUATIONของตลาดหุ้นบ้านเราที่ถูกอยู่แล้ว น่าจะทำให้SET INDEX ถูกขับเคลื่อนในทางบวก ส่วนประเด็นการเมืองน่าจะส่งผลจำกัดต่อตลาดภายใต้VALUATION ที่ถูก และสัญญาณบวกจาก FUND FLOW ของนักลงทุนต่างชาติ และสถาบันในประเทศ น่าจะหนุน SET INDEX ในระยะต่อไปได้ วันนี้คาด 1290 –1310 จุด TOP PICK เลือก BDMS, BEM และ KTB
หวังตลาดหุ้นไทยค่อยๆ ฟื้น ตามปัจจัยภายนอกที่กด DOLLARINDEX อ่อนค่า
วานนี้ทางสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลข ดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ออกมา +2.2%YOY ในเดือน ก.ค.67 ต่ำกว่าคาดที่ระดับ +2.3%YOY และต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ +2.7%YOY ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (CORE PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ออกมา +2.4%YOY ในเดือนก.ค.67 ต่ำกว่าคาดที่ระดับ +2.7%YOY และต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ +3.0%YOY
ตัวเลข PPI ออกมาต่ำคาด หนุนให้นักลงทุนคาดว่า FED จะสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายได้มากขึ้น ประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง BOND YIELD 10Y สหรัฐ และ DOLLAR INDEX ซึ่งตามกลไลเวลา DOLLAR INDEX อ่อนค่า มักหนุนให้ค่าเงินประเทศอื่นแข็งค่า โดยค่าเงินของประเทศในแถบเอเชียส่วนใหญ่แข็งค่าขึ้น อาทิ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า 1.39%(MTD) อยู่ระดับ 34.88 บาท/เหรียญฯ
อีกทั้ง ฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษาว่า ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐกับไทยที่แคบลง0.25% จะหนุนให้บาทแข็งค่าได้ราว 70 สตางค์ ดังนั้น ถ้า 21 ส.ค.67 กนง. ยังคงดอกเบี้ยไทย และ 18 ก.ย.67 FED ลดดอกเบี้ย 0.25%-0.5% อาจจะหนุนให้บาทเร่งแข็งค่าขึ้น 0.7-1.4 บาท/เหรียญฯ จูงใจให้ต่างชาติทยอยกลับมาลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี
โดยเวลาที่เงินบาทแข็งค่า มักหนุนให้ FLOW ต่างชาติทยอยไหลเข้าตลาดหุ้น ซึ่งมีสัญญาณที่ดี คือ ในช่วง 2H24 เม็ดเงินต่างชาติทยอยไหลเข้าตลาดการเงินไทย ทั้งSET50 FUTURES 1.1 แสนสัญญา และตราสารหนี้ 5.2 หมื่นล้านบาท และระยะถัดไปน่าจะไหลเข้าตลาดหุ้น ช่วยผลักดันให้ SET INDEX ยืนเหนือระดับ 1300 จุดได้ไม่ยาก
สรุป ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯเริ่มเป็นขาลงชัดเจน จึงทำให้ DOLLAR INDEX อ่อนค่าตามกลไล และหนุนค่าเงินบาทแข็งค่า คาดเป็นปัจจัยหนุนให้ FLOW ต่างชาติมีโอกาสหันมาสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้นส่วนหุ้น TOPPICKS เลือก BEM BDMS KTBไม่ว่าคำตัดสินคดีพ้นนายกจะออกมาอย่างไร? แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มดีขึ้นวันนี้ (14 ส.ค.67) เวลา 15.00 น. ศาล รธน. นัดฟังคำวินิจฉัย “คดีถอดถอนเศรษฐาพ้นนายกฯ” ซึ่งคำตัดสินที่เกิดขึ้นได้มีอยู่ 2แนวทางหลักๆ ดังนี้
1. กรณีนายกฯ ถูกถอดถอน รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 คือ นายภูมิธรรมเวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ
แทน ส่วน ครม. สามารถรักษาการต่อได้ จนกว่าจะมีนายกฯ คนใหม่ซึ่งจะจัดให้มีการโหวตเลือกในสภาผู้แทนราษฎร์ภายใน 45-60 วัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าช่วงเวลาที่จะเกิดสุญญากาศทางการเมือง ก็น่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆทั้งนี้ประเมินจากการจับมือของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังเข้มแข็ง และก็ไม่น่าจะเห็นการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายที่สำคัญ
2. กรณีนายกฯ ไม่ถูกถอดถอน จะทำให้การบริหารประเทศ บวกกับขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ยังเป็นไปตามกระบวนการตามปกติ และเดินหน้าต่อเนื่อง
ประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยฯ ที่ตลาดฯ รับรู้และถูกกดดันมาตลอดเกือบ 3 เดือนเต็ม ส่งผลให้ SET INDEX ร่วงไปแล้วเฉลี่ยราว 5% จนUNDERPERFORM กว่าตลาดหุ้นโลก ซึ่งหลังจากนี้ ผลคำตัดสินของศาล รธน. ไม่ว่าจะเป็นกรณีนายกฯ พ้นตำแหน่ง เชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมี DOWNSIDE จำกัด และจะค่อยๆ ทยอยปรับตัวดีขึ้น หรือกรณีที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไป ก็ถือเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
สรุป สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณี นายกฯเศรษฐา ในกรณีเลวร้ายคือต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าช่วงเวลาที่จะเกิดสุญญากาศทางการเมืองก็น่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งนี้ประเมินจากการจับมือของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังเข้มแข็ง และก็ไม่น่าจะเห็นการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายที่สำคัญ แต่หากเป็นกรณีที่ดีคือนายกฯ ยังอยู่ในตำแหน่ง ก็ถือเป็นผลดีต่อ SET INDEX ขณะที่การดำเนินนโยบายต่างๆ ยังเดินหน้าต่อเนื่อง
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์