มองบน ... ถือเงินสดน้อยลง ถือหุ้นเพิ่มขึ้น
เรามองเห็นสัญญาณบวกที่ปรากฎออกมาในหลายส่วน เริ่มจากสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ที่คาดว่าในปี 2567 จะปรับลดประมาณ 0.75% ซึ่งน่าจะทำให้เงินบาทแข็งค่า ดึงดูดเม็ดเงินไหลกลับเข้ามา ส่วนในบ้านเรามีโอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินในประเทศเข้ามาขับเคลื่อนผ่านวายุภักษ์ และ THAI ESG โดยในวันนี้จะมีการแถลงข่าวเรื่องกองทุนวายุภักษ์ สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณี นายกฯเศรษฐา ในกรณีเลวร้ายคือ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าช่วงเวลาที่จะเกิดสุญญากาศทางการเมือง ก็น่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งนี้ประเมินจากการจับมือของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังเข้มแข็ง และก็ไม่น่าจะเห็นการปรับเปลียนแนวนโยบายที่สำคัญ แต่หากเป็นกรณีที่ดีคือ นายกฯ ยังอยู่ในตำแหน่ง ก็ถือเป็นผลดีต่อ SET INDEXมองเห็นสัญญาณบวกที่กำลังเข้ามาหลายประการ ทำให้ SET INDEX มีแนวโน้มที่ดี วันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไวหที่ 1290 – 1310 จุด หุ้นTOP PICK วันนี้เลือก BJC, BEM และ PLANB
ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯเริ่มเป็นขาลงชัดเจน มีผลต่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามกลไล ลุ้น FLOW เข้า หลัง ตลท.มีมาตรการคุมเข้มมากขึ้น
วานนี้ภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนในกรอบแคบ +/-1% รอตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค.67 ที่จะประกาศวันพรุ่งนี้ ซึ่งล่าสุดข้อมูลจาก BLOOMBERG คาดทรงตัวระดับเดิมที่ +3.0%YOY ส่วน CORE CPI คาดลดลงเหลือ +3.2%YOY จาก +3.3%YOYซึ่งต้องรอดูผลลัพธ์ว่าจะเป็นไปตามคาดหรือไม่ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดีกว่าคาดก่อนหน้านี้ คลายความกังวล RECESSION ได้ระดับหนึ่ง ซึ่งกรรมการFED 2 ท่านมีมุมมองต่อดอกเบี้ยที่ DOVISH มากขึ้น ทั้งนาย JEFFREYSCHMID(FED KANSAS CITY) และ นาย AUSTAN GOOLSBEE (FED CHICAGO)
ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาด โดยระยะถัดไป จะเริ่มเห็นทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯเป็นขาลงชัดเจนขึ้น โดยตลาดประเมินว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยปีนี้ 3-4 ครั้ง โดยผลการสำรวจของ FED WATCH TOOL ให้น้ำหนักใกล้เคียงกันที่52.5% และ 47.5% ที่คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 5.00%-5.25% และทยอยปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ย.67 และ ธ.ค.67 ลง 0.25% จนคาด ณ สิ้นปีดอกเบี้ยจะอยู่ระดับ4.50% ประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้BOND YIELD 10Y สหรัฐ ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 4%และกดดัน DOLLAR INDEX อ่อนค่า ดีต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่า เป็นกลไกให้ FLOWต่างชาติไหลเข้าได้ไม่ยาก
ขณะที่ปัจจัยหนุนในประเทศ คือ ตลท.ประกาศ 3 มาตรการกำกับดูแลเพิ่มเติมเพื่อช่วยตลาดทุน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 2 ก.ย.67 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติ (“CASH BALANCE”) จากมาตรการฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเพิ่มวิธีจับคู่ซื้อขายในคราวเดียว (AUCTION) ตามช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด คือ ช่วง PRE-OPEN 1, PRE-OPEN 2 และPRE-CLOSE โดยใช้สำหรับหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์CASH BALANCE ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป
2. กำหนดกรอบราคาซื้อขายแบบ DYNAMIC PRICE BAND เป็นรายหลักทรัพย์ (±10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้นๆ) เพิ่มเติมจากCEILING & FLOOR ในปัจจุบัน (±30% จากราคาปิดในวันทำการก่อนหน้า)เพื่อลดความผันผวนในเชิงราคาของแต่ละหลักทรัพย์
3. กำหนดเวลาขั้นต่ำของคำสั่งซื้อขาย ก่อนที่จะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งซื้อขาย (MINIMUM RESTING TIME) โดยคำสั่งซื้อขายจะต้องคงอยู่ในระบบอย่างน้อย 250 มิลลิวินาที จึงจะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งได้
ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าประเด็นดังกล่าว จะเป็นตัวพยุง SET ได้เป็นอย่างดี เฉกเช่นมาตรการก่อนหน้านี้ ทั้งการมี UPTICK RULE และ เกณฑ์สำหรับหุ้นที่สามารถSHORT SELLได้ โดยหลังจากนั้นปริมาณการชอร์ตสุทธิรายวันลดลงอย่างมีนัยฯซึ่งช่วยลดความผันผวนของตลาดลงได้
สรุป ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯเริ่มเป็นขาลงชัดเจน บวกกับมุมมองดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไปของกรรมการ FED บางท่าน(DOVISH มากขึ้น) จึงทำให้ DOLLAR INDEXอ่อนค่าตามกลไล และหนุนค่าเงินบาทแข็งค่า ขณะที่ ตลท. ออก 3 มาตรการกำกับดูแลเพิ่มเติมเพื่อช่วยตลาดทุน คาดเป็นปัจจัยหนุนให้ FLOW ต่างชาติมีโอกาสหันมาสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
MSCI INDEX REVIEW ช่วง 3Q67
เช้านี้ MSCI มีการปรับหุ้นเข้า 208 และออก 210 จากดัชนี MSCI GLOBALSTANDARD และ MSCI SMALL CAP โดยมีผลบังคับใช้ราคาปิดวันที่ 30 ส.ค. 67ส่วนหุ้นไทยมีการถูกคัดเข้าออกดังนี้
▪ MSCI GLOBAL STANDARD ไม่มีหุ้นเข้า แต่มีหุ้นออก 4 บริษัท คือ AWC,EA, GPSC, IVL
▪ MSCI SMALL CAP มีหุ้นเข้า 4 บริษัท คือ BJC, EA (ออกจาก MSCIGLOBAL STANDARD), KAMART, TLI และมีหุ้นออก 13 บริษัท คือ BAFS,BYD, EPG, NEX, ORI, PTG, RBF, THANI, SC, SJWD, SKY, SNNP,THCOM
ประเมิน SET INDEX อาจถูกกดดันจากการปรับพอร์ตของกองทุนต่างประเทศตามดัชนี MSCI ช่วงสั้นๆ แต่เชื่อว่าผันผวนมีไม่มาก เพราะตลาดฯ รับรู้จากคาดการณ์ว่าหุ้นหลายๆ บริษัท จะถูกปรับออกจาก ดัชนี MSCI GLOBAL STANDARD มาในระดับหนึ่งแล้ว
หวังตลาดหุ้นไทยค่อยๆ ฟื้น หลังตอบรับปัจจัยลบทางการเมืองมานาน
ในมุมการเมือง 14 ส.ค. นี้ ศาลฯ ตัดสิน คุณเศรษฐาจะพ้นการเป็นนายกฯ หรือไม่?ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยฯ ที่ตลาดฯ รับรู้และถูกกดดันมาตลอดเกือบ 3 เดือนเต็ม จนUNDERPERFORM กว่าตลาดหุ้นโลก ซึ่งหลังจากนี้น่าจะกดดันตลาดหุ้นไทยจำกัดและหากกลับมาดูเรื่องผลประกอบการงวด 2Q67 ที่ประกาศออกมา 179 บริษัท(สัดส่วน 60% ของ MARKET CAP.) พบว่า ทำได้ดี คือ มีกำไร2.03 แสนล้านบาท+6.3QOQ และ +31.3%YOY และดีกว่าที่ BLOOMBERG CONSENSUS คาดถึง14.37%
นอกจากนี้ยังเห็นราคาน้ำมันค่อยๆ ฟื้นขึ้นจากความไม่แน่นอนในตะวันออกกลางรวมถึงการยึดขอบดินแดนรัสเซียจากอิหร่าน หนุนหุ้นไทยท่ส่วนใหญ่อิงกับราคาCOMMODITY ถึง 1 ใน 3 ของ MARKET CAP ให้ขยับขึ้น อีกทั้งหุ้นน้ำมันไทยLAGGARD ราคาน้ำมัน +7.8%YTD อยู่มาก อาทิ PTTGC -39%, OR -27%, BCP-23%, BSRC -21%, SPRC -12%, TOP -7%, PTT -7% และ PTTEP +0%
ในมุม FUND FLOW ต่างชาติมีโอกาสไหลกลับจากแนวโน้มบาทแข็งค่าในช่วงที่เหลือของปี บวกกับมาตรการการเรียกความเชื่อมั่นจากทางตลาดฯ ค่อยๆ ทยอยออกมา(จากหัวข้อก่อนหน้า)
อีกทั้งยังอาจเห็นแรงหนุนจากกองทุนวายุภักษ์มาช่วยหนุนตลาดฯ อีกแรง โดยทางกระทรวงการคลังนัดแถลง เสนอขายหน่วยลงทุน กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง 13 ส.ค. เวลา14.00 น. –15.15 น. หวังเป็นกลไกเสริมสร้างการออมและการลงทุนให้กับประชาชนคาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าระบบราว 1 แสนล้านบาท ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯ ทำการคัดกรองหุ้น 10 อันดับแรก ที่กองทุนวายุภักษ์ถือครองสูงสุด น่าจะได้รับ SENTIMENTเชิงบวกมากกว่าหุ้นอื่นๆ คือ PTT, SCB, TTB, BCP, KTB, AOT, ADVANC, GULF,SCC, BDMS
สรุป หวังตลาดหุ้นไทยค่อยๆ ฟื้น และยืนเหนือ 1300 จุด จากผลประกอบการที่ดีขึ้นเม็ดเงินจากในและต่างประเทศทยอยเข้ามาหนุน หลังตอบรับปัจจัยลบทางการเมืองมานาน
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์