Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

774

 


"Selective Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1300/1305 จุด รับ 1280/1275จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังผันผวน วานนี้ S&P500 -0.77% แม้ตลาดคลายความกังวลเศรษฐกิจระดับหนึ่ง แต่ยังเห็นการปรับพอร์ตขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ที่ High Valuation และสลับมาดึงกลุ่ม Value/Laggard นำตลาด อาทิ พลังงาน ธนาคาร ค้าปลีก นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ดีดแรง 2.6% จากแรงหนุนสต๊อคน้ำมันดิบสหรัฐฯลดลงกว่าคาด และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง เป็นบวกต่อ SET ส่วนภายในภาพการเมืองค่อยๆมีบทสรุป ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรรคก้าวไกล แต่ SET ลงมาสะท้อนความกังวลล่วงหน้า ขณะที่ CDS ไทย 1-10ปี ลดลง น่าจะสะท้อนมุมองฝั่ง Offshore ให้น้ำหนักต่อประเด็นนี้คลายลง ผสานกำไรตลาด 2Q24 รายงาน 76 บริษัท ส่วนใหญ่ 83% ของ 36 บริษัทที่มีคาดการณ์ดีกว่าคาด/In line ช่วยประคอง SET อยู่ในช่วงฟื้นตัว กลุ่มนำคือ Value น้ำมัน ค้าปลีก (คาด Digital Wallet มีผล พ.ย.24 + รัฐเตรียมหารือมาตรการสกัดสินค้าจีน) กลุ่มนิคม (รัฐเตรียมผลักดันสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจ EEC เข้า ครม.) และหุ้นได้อานิสงค์ Iphone 16 เปิดตัวในอีก 1เดือน(ร้านค้าขายสินค้าไอที สื่อสาร) วันนี้แนะนำ ADVANC, PTTEP, AMATA

 


Daily outlook: "แกว่งในกรอบ" ต้าน 1300/1305 จุด รับ 1280/1275 จุด

What happened around the world ?

•(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ พลิกลงอีกครั้ง หลัง US Bond yields ปรับขึ้น จากก่อนหน้าที่ปรับลงแรงโดยตลาดลดกังวล US Recession และเมื่อวา Demand ในการประมูลพันธบัตรลดลง อิง Dow Jones -0.6%d-d , S&P500 -0.77%d-d, Nasdaq -1.03%d-d โดยดัชนี S&P 500 กลุ่มปรับขึ้นนำโดย Utilities, Energy, Financials ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ปรับลง คือ Consumer discretionary, IT ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นหลักๆคือ หุ้นกลุ่มชิปปรับตัวลงกดดันตลาดโดยรวม Nvidia -5.1% (เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นชิ้นส่วนไทย) Airbnb -13% และ TripAdvisor -16% รับรายงานงบ 2Q24 ออกมาต่ำคาด จากชะลอตัวจากนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ

• (*/+) US Econ: จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Applications) เพิ่มขึ้น 6.9%w-w ดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าหดตัว 3.9%wow การเพิ่มขึ้นดังกล่าวนับเป็นการเพิ่มขึ้นทำสถิติในรอบ 2 เดือน เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงหนุนดีมานด์ในตลาดที่อยู่อาศัยสูงขึ้น บ่งชี้ได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้ชะลอตัวแรงอย่างที่ตลาดกังวล

• (*/+) China Trade : ยอดส่งออกของจีนเดือน ก.ค. 7.0%y-y(ขยายตัวเป็นบวก 4 เดือนติดต่อกัน แม้จะต่ำกว่าตลาดคาด 9.9%y-y แต่ยอดนำเข้าจีนพลิกกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง +7.2%y-y ดีกว่าตลาดคาด 3.2%y-y (มองบวกต่อภาคส่งออกไทย ซึ่งมีตลาดส่งออกจีนเป็นอันดับ 2 ราว 12.1%ของตลาดส่งออกรวม สินค้าส่งออกไทยไปจีน อันดับ 1 คือ ผลไม้ รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์ยางสัดส่วนราว 6.9% อันดับ 3 คือคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ยางพาราสัดส่วนราว 4.3% , ไก่สด 1.17%)KSS มองตัวเลขการค้าจีนที่ออกมาขยายตัว มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นในเอเซีย และยอดนำเข้าจีนที่เร่งขึ้น มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มทำธุรกิจเชื่อมโยงจีน อาทิ กลุ่มชิ้นส่วน KCE, HANA, DELTA กลุ่มยาง STA, NER กลุ่มส่งออกไก่ อาทิ GFPT, FM ฯลฯ • (*/+) BOJ : รองผู้ว่า BOJ คุณ Shinichi Uchida แถลงว่า BOJ จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อถ้าตลาดเงินและตลาดทุนไม่มีเสถียรภาพ โดยจะรักษานโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปก่อน และแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสเปลี่ยนไปจากเดิมถ้าการเคลื่อนไหวของตลาดกระทบมุมมองของ BOJ ทำให้ตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อก่อนหน้าที่คาดฺ BOJ จะใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัว เปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย ทำให้ระยะสั้นค่าเงินเยนมีโอกาสอ่อนค่ามองกรอบ 144-150 และตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาส Rebound ในทิศทางขาลง โดยคำแนะนำตลาดหุ้นญี่ปุ่น ต้นสัปดาห์เราปรับน้ำหนักการลงทุนในญี่ปุ่นขึ้น 1 ขั้น จากเดิม Slightly Underweight เป็น Neutral

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง 2 วัน อายุ 2 ปีปรับขึ้น 1 bps ที่ 4.00% และอายุ 10 ปี ปรับขึ้นต่อเนื่อง 2 วัน +6 bps ปิด 3.96% โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร (BBL, SCB, KBANK, KTB, TTB) และประกันชีวิต (BLA, TLI) ระยะสั้น ส่วน Dollar Index แข็งค่าขึ้นบริเวณ 102.9 จุด

•(*) To monitor : จีนติดตาม 8-9 ส.ค. ตัวเลข PPI และ CPI เดือน ก.ค.ตลาดคาด -0.9%y-y, 0.3%y-y

• (+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +2.42%d-d ปิดที่ US$ 78.33/barrel น้ำมันดิบ West Texas +2.77%d-d ปิดที่ US$ 75.23/barrel หนุนจาก 1.) EIA รายงานสต๋อกน้ำมันประจำสัปดาห์ลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะลดลงเพียง 4 แสนบาร์เรล นับเป็นการลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนดีมานด์ในสหรัฐยังแข็งแกร่ง, 2) กังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล อิหร่านและเลบานอน กระทบอุปทาน KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกกับหุ้นในกลุ่มน้ำมัน และ โรงกลั่น หลังจากในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้นร่วงแรงตามราคาน้ำมันและกำไรที่อ่อนแอใน 2Q24 ไปแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงมีความเป็นได้ที่หุ้นในกลุ่ม น้ำมันและโรงกลั่น จะฟื้นตัวหรือมี Technical Rebound ตามราคาน้ำมันในตลาดโลก

 

What happened in Thailand ?

• (+) SET: SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น +16.54 จุด หรือ +1.3% ปิดที่ 1291 จุด ดัชนีมี Technical Rebound ตามตลาดหุ้นต่างประเทศมองความเสี่ยงจาก Yen Carry Trade ลดลงหลังเช้าวันนี้รองผู้ว่า BoJ ระบุจะไม่รีบขึ้นดอกเบี้ยในภาวะที่ตลาดยังไร้เสถียรภาพ, ส่วนประเด็นการเมืองศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคก้าวไกลไม่มีผลกับตลาด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA, HANA, KCE) เด่นตามหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศกลับมานำตลาด กลุ่มสื่อสาร (INTUCH, TRUE) กำไร 2Q24 เด่นและโมเมนตัมคาดหวังต่อช่วงถัดไป หนุนต่อเนื่อง กลุ่มปิโตรเคมี (IVL, PTTGC) มองลดความเสี่ยงก่อนรายงานกำไร 2Q24 คาดยังไม่เด่น กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (SCGP)

• (*/+) Flow : เม็ดเงินต่างประเทศวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลเข้า ซื้อพันธบัตร +230.4 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +46.7 ล้านเหรียญฯ TFEX เปิดสถานะ Net Long ที่ 41,039 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าขึ้นเล็กน้อยที่ 35.59 +/- บาท

• (*/+) Digital Wallet: คุณเผ่าภูมิ รมช. คลัง กล่าวว่า ขณะนี้มีความเป็นไปได้ที่โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ภายในเดือนพ.ย. 24 ขณะที่ความคืบหน้าการลงทะเบียนประชาชนในปัจจุบัน มีประชาชนมาลงทะเบียนแล้ว 26 ล้านคน คิดเป็น 52% ของผู้มีสิทธิ์รับเงิน ดิจิตอลที่ 50 ล้านคน มองจิตวิทยาบวกหนุนหุ้นอิงกำลังซื้อภายใน ค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT สื่อสาร เน้น ADVANC, TRUE เครื่องดื่ม เน้น OSP ธนาคาร KTB และกลุ่มเช่าซื้อ

• (*/+) China Products Measures: สัปดาห์หน้า กระทรวงพาณิชย์เตรียมนัดหมายกระทรวงที่เกี่ยวข้องรวม 5 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) และกระทรวงการคลัง หารือมาตรการป้องกันความเสี่ยงกรณีสินค้าจากจีนที่เข้ามาตีตลาดสินค้าไทย มองสร้างความคาดหวังเชิงบวกให้กับหุ้นค้าปลีกที่มีความเสี่ยงกระทบสูง จากที่มีฐานยอดขายสินค้า Non-Food สูง โดยเฉพาะฝั่งกลุ่ม Home Improvement อาทิ HMPRO (95% ของยอดขาย) , GLOBAL (65% ของยอดขาย), DOHOME (54% ของยอดขาย) และห้างสรรพสินค้า CRC (59% ของยอดขาย)

• (+) Apple new iPhone Plays: ในช่วง 1 เดือนข้างหน้าจากนี้ KSS แนะนำเริ่มติดตามกระแสเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ รุ่นที่ 16 อิงกระแสที่ฟีเจอร์สำคัญ AI (Apple Intelligence) จะถูกรวมอยู่ในทุกรุ่นย่อย จากรุ่นปัจจุบันที่รองรับเฉพาะ iPhone 15 Pro เรามองหนุนกระแสเปลี่ยนเครื่องคึกคักสุดในรอบหลายปี จะหนุน Upside และกำไรช่วงส่งท้ายของปีของกลุ่มได้ประโยชน์ อาทิ ผู้จำหน่ายอุปกรณ์ไอทีและเครื่องมือถือ ซึ่งอาจมีส่วนเพิ่มจากกระแส อุปกรณ์ หรือ Brand มือถืออื่นๆ จะเร่งเปิดตัวเครื่องที่มี AI พร้อมตามมาด้วย และผู้ให้บริการมือถือที่เม็ดเงินอุดหนุนในช่วงขาย iPhone ที่สูงจะกระทบน้อยลง ผสาน ผลศึกษาการเปิดตัว iPhone ในอดีต 6 ครั้งหลังสุด พบว่า

หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ

กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI(Trading), CPW(Trading) SYNEX (TP Con-13.9) ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร

• (*/+) EEC: รมว. พาณิชย์เปิดเผยในระหว่างการลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วที่สุด พิจารณาเห็นชอบ ร่างประกาศ กพอ. เรื่อง สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... หรือ EEC Track เพื่อดึงดูดเอกชนเข้ามาลงทุนภายใต้กฎหมายของ EEC มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นนิคม อาทิ WHA AMATA ระยะสั้นเน้น AMATA ที่คาดกำไร 2Q24 เด่นกว่า

• (*) TH CPI: เงินเฟ้อทั่วไปไทย ก.ค. 24 ปรับตัวขึ้น +0.83%y-y สูงกว่าคาดเล็กน้อย และเพิ่มขึ้นจาก prev. ที่ +0.62%y-y เกิดจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และสินค้ากลุ่มอาหาร ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน +0.52%y-y สูงกว่าคาดเล็กน้อยเช่นกัน ขณะที่เพิ่มจาก prev. ที่ +0.36%y-y ขณะที่เงินเฟ้อ ส.ค. 24 เราเห็นด้วยกับมุมมองกระทรวงพาณิชย์ที่ยังมีโอกาสอยู่ในระดับต่ำต่อ จากผล ค่าไฟฟ้าที่ลดลง y-y จากผลของมาตรการช่วยเหลือรัฐฯ ราคาสินค้าเกษตรลดลง ตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้น หนุนกระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0-1.0% (ค่ากลาง 0.5%) ทั้งนี้ โดยรวมยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ BOT ที่ 1-3% ทำให้เราเชื่อว่ามีโอกาสที่จะเห็น Downside โอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายไทยได้ในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ทิศทางดังกล่าวจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มหนี้สูง เน้น CPALL, CPAXT, MINT, TRUE กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF กลุ่มชิ้นส่วน เน้น DELTA, HANA

• (*) TH Politic: ศาลรัฐธรรนูญมีมติเอกฉันท์ตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลระหว่างวันที่ 25 มี.ค. 21 – 31 ม.ค. 24 เป็นเวลา 10ปี รวมทั้งห้ามบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ดังกล่าวไปจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือร่วมบริหารพรรคใหม่เป็นเวลา 10ปั โดยรวมจะส่งผลให้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 5 ท่านของพรรคก้าวไกลที่อยู่ในคณะกรรมการบริหารพรรคช่วงเวลาดังกล่าว คือ 1.) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 2.) คุณชัยธวัช ตุลาธน 3.) คุณอภิชาต ศิริสุนทร 4.) คุณเบญจา แสงจันทร์ 5.) คุณสุเทพ อู่อ้น จะหายออกไปจากการเป็น ส.ส. เพราะจะไม่มีการเลื่อนลำดับบัญชีรายชื่อ ทำให้ ส.ส. พรรคก้าวไกลน่าจะเหลือ 143 คน ต้องหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 60 วัน โดยรวมเรายังมองผลของคำตัดสินตามมุมมองเดิม คือ ไม่มีผลต่อการบริหารประเทศของรัฐบาล แต่แนะนำติดตามสถานการณ์การเมืองนอกสภาประกอบ ขณะที่เรายังให้น้ำหนักประเด็นดังกล่าวต่ำกว่าเรื่องคุณสมบัตินายกเศรษฐาฯที่มีจะการวินิจฉัยสัปดาห์หน้า (14 ส.ค.) ที่คาดจะมีผลต่อความราบรื่นในการบริหารประเทศรัฐบาลมากกว่ากรณีพรรคก้าวไกล หากศาลตัดสินให้นายกเศรษฐาฯ พ้นจากตำแหน่ง

• (*) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 398 บริษัท (vs วันทำการล่าสุด 401 บริษัท) พบว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มที่มียอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยกลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าลดลงเหลือ 14 บริษัท (วันทำการล่าสุด 144 บริษัท) หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 197 บริษัท (วันทำการล่าสุด 210 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 187บริษัท (วันทำการล่าสุด 43 บริษัท)

• (*/+) SET 2Q24 Earnings: หุ้นใน SET ที่รายงานกำไรงวด 2Q24 แล้วทั้งสิ้น 76 บริษัท (vs วานนี้ 53 บริษัท) โดยเป็นหุ้นที่มีคาดการณ์กำไรของตลาด 35 บริษัท (vs ล่าสุด 30 บริษัท)ดีกว่าคาด 20 บริษัท (vs ล่าสุด 16 บริษัท) ตามคาด 11 บริษัท (vs ล่าสุด 10 บริษัท)แย่กว่าคาด 4 บริษัท (vs ล่าสุด 4 บริษัท) กำไรดีกว่าตลาดคาด 5.3% (vs ล่าสุด 5.3%) เติบโต 9.9%y-y (vs ล่าสุด +9.8%y-y) หุ้นที่รายงานกำไรวานนี้

กลุ่มที่ดีกว่าคาด ได้แก่ AMARC (191%y-y, 31%q-q) THCOM (-86%y-y, -78%q-q) *มาจากกำไร FX
กลุ่มที่เป็นไปตามคาด คือ INTUCH (+19.6%y-y, +5.7%q-q) *ดีตามคาด TU (+18.5%y-y, +5.7%q-q) *ดีตามคาด ICHI (48%y-y, 4%q-q) BSRC (พลิกกำไร y-y, -74%q-q) SAFE( -10%y-y, -30%q-q)
กลุ่มที่ต่ำกว่าคาด คือ BCPG (518%y-y, 182%q-q) แม้มีการบันทึกกำไรพิเศษ
กลุ่มที่ไม่มีคาด คือ IT(148%y-y, 18%q-q) MEB(21%y-y, 10%q-q) TRP (-37%y-y, -41%q-q)
ส่วนกลุ่มที่คาดรายงานกำไรวันนี้ อาทิ BBIK BCP BH CPAXT GPSC MAJOR OR PTTGC SNNP TOP คาดหุ้นรายงานกำไรเด่น คือ CPAXT (ตลาดคาด 45%y-y, -11%q-q) GPSC(ตลาดคาด 332%y-y, 55%q-q)

 

Daily Strategy : ADVANC, PTTEP, AMATA เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "แกว่งในกรอบ" ตลาดหุ้นแม้เริ่มพักตัว แต่เริ่มเห็นเม็ดเงินหมุนสู่กลุ่ม Value มากขึ้น หนุนหลักจากราคาน้ำมันดีดตัว ผ่อนคลายจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯเสี่ยงถดถอยที่ลดต่ำลง ผสาน สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ตึงเครียดขึ้น ส่วนภายในการเมืองมีความชัดเจน หลังจากนี้รอติดตามกรณีคุณสมบัตินายก มองหุ้นนำวันนี้ กลุ่มนำคือ Value น้ำมัน ค้าปลีก (คาด Digital Wallet มีผล พ.ย.24 + รัฐเตรียมหารือมาตรการสกัดสินค้าจีน) กลุ่มนิคม (ภูมิรัฐศาตร์ตึงเครียดขึ้น +รัฐเตรียมผลักดันสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจ EEC เข้า ครม.) และหุ้นได้อานิสงค์ Iphone 16 เปิดตัวในอีก 1เดือน(ร้านค้าขายสินค้าไอที สื่อสาร)

 

กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP, KCE, HANA )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Fed คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ตลาดมองดอกเบี้ยลด 3 ครั้ง ย้ำภาพดอกเบี้ยขาลง

ผลประชุม Fed : ผลประชุม Fed มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% Key Highlight คือถ้อยแถลงของ ประธาน Fed เผยข้อมูลเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะฝั่งเงินเฟ้อ และเริ่มกล่าวถึงการเปิดทางการลดดอกเบี้ยในปีนี้ หากอิง Statement ประเด็นที่เปลี่ยนแปลงรอบก่อน และสนับสนุนมุมมองการลดดอกเบี้ยคือ การอ่อนตัวลงของตลาดแรงงาน ปรับประโยคการจ้างงานเป็น "Moderated" (จากรอบก่อน Remained Strong) และ คาดอัตราการว่างงานสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ สนับสนุนมุมมองตลาดคาดโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปี 3 ครั้งๆละ 25 bps อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 4.5-4.75% สอดคล้องกับ MUFG คาดปีนี้จะเห็นการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งเช่นกัน

KSS ประเมิน หลังจากนี้ ตลาดจะเริ่มจับตารายงานทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคแรงงานมากขึ้น นำโดยอัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ก.ค. 24 ที่จะประกาศ 2 ส.ค. ไม่ควรสูงเกิน 4.2% อิงเกณฑ์ Sahm's Rule เสี่ยง "US Recession" ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า หรือช่วงต้นปี 2025 (Consensus คาดเฉลี่ย 4.1%) อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักอัตราว่างงานยังต่ำกว่าระดับดังกล่าวและเห็นด้วยกับมุมมอง Consensus ซึ่งจะเป็นภาพ Soft landing หากอิงดัชนีชี้นำฝั่ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก

ทั้งนี้ น้ำหนักหลักในส่วนอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงทิศทางดังกล่าวจะหนุนภาพ Search for Yield มายัง SET Index ยังแกว่งที่ระดับ Current และ Forward ERP สูง 3.75% และ 4.31% ล้วนใกล้ระดับ Avg + 1 S.D. ที่ 4.07% น่าจะหนุน SET ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง กลยุทธ์เน้นกลุ่ม Yield ลดลง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF, BGRIM กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มหนี้สูง เน้น CPALL, CPAXT, TRUE, MINT

• MSCI Rebalance: ดัชนี MSCI มีกำหนดการประกาศผลการ Rebalance รอบใหม่วันที่ 12 ส.ค. (ไทยทราบผลเช้า 13 ส.ค.) โดยการ Rebalance จะมีผล 30 ส.ค. เบื้องต้นเราคาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงหลุดออกจากดัชนี ได้แก่ AWC GPSC EA เสี่ยงระดับกลาง คือ IVL เสี่ยงต่ำ คือ KTC ระยะสั้นมีโอกาสหุ้นชุดดังกล่าวจะมีโอกาสเคลื่อนไหว Underperform เชิงกลยุทธ์ให้เลี่ยงลงทุนไปก่อน

• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย

การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21

อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%

ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

 

 

• INTUCH (Buy, TP98): We reiterate our Buy rating with unchanged TP Bt98. Earnings in 2Q24 came out strong (+21% yoy and +6% qoq) as anticipated, underpinned higher earnings contribution from ADVANC. 1H24 earnings comprised 52.3% of our full-year forecast. We revised up our earnings in 2024 by 4% to reflect our earnings upgrade from ADVANC. INTUCH also announced interim DPS of Bt2, implying 2.4% for the 2-week holding period

•Power Sector (Neutral): We resume coverage on Utilities sector with a Neutral rating. We expect a 2-year (2024-26F) Cagr of 1% in aggregate core earnings with 2024F expected to show an 9% yoy growth. With the Ft charge unchanged and rising gas prices trend, we project that IU margin will peak in 2Q24F. Core sector ROEs are also fall to 5% in 24-26F, down from 8% in 17-21 with sector dividend yield down to 3% in 24-26F from 5%. But the recent decline in share prices indicates that these factors are priced-in, suggesting justified valuation. CKP is our Top Pick for the least exposure to fluctuation in Ft and gas cost.

• BSRC (Trading Buy, TP8.0): เรา reinitiate หุ้น BSRC ด้วยคำแนะนำ Trading Buy ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 25F ที่ 8.00 บาท/หุ้น ด้วยวิธี DCF ใช้ WACC 8.9%, long-term growth 0% เทียบเท่า implied PER ที่ 7.5 เท่า ใกล้เคียงระดับค่าเฉลี่ย 4 ปี มองบริษัทน่าสนใจ เพราะ i) ราคาหุ้น YTD -20% Vs. กลุ่มโรงกลั่นด้วยกันที่ -12-23% และ SET -9% น่าจะสะท้อนค่าการกลั่นที่ปรับฐานสู่ระดับปกติ และความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอไประดับหนึ่งแล้ว ii) ระยะสั้นคาดเห็นการฟื้นตัว +20%h-h ใน 2H24F จาก crude premium ลดกลับสู่ระดับปกติ และค่าการกลั่นฟื้นตัว และ iii) เป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ปิดซ่อมลดลงใน 2024F และได้ความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นหลังรวมกิจการจากบริษัทในเครือ หนุน u-rate และค่าการกลั่นฟื้นจาก crude premium ลดลง ส่งให้กำไร 2024-26F ฟื้นเฉลี่ย +27% CAGR

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

NER สานต่อโครงการ “NER ยิ้มสวย สุขภาพฟันดีกับทันตกรรมเคลื่อนที่” ปี 2 ร่วมดูแลสุขภาพช่องปากพนักงานกว่า 1,000 คน

ในยุคที่การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน ทั้งการออกกำลังกายหรือการทานอาหารที่ดี แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ

หมดแรง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นหลายตลาด หมดแรง อ่อนตัวลง แต่หุ้นไทย วูบไป 1.44% ในเช้าวันนี้ ด้วยใช้ข่าวดี .....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้