Today’s NEWS FEED

News Feed

ฟิทช์ คงอันดับเครดิต KCE ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

770

 สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 7 สิงหาคม 2567 )--------บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

การคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่าสถานะทางการเงินของ KCE จะยังคงแข็งแกร่งและสอดคล้องกับอันดับเครดิตในช่วง 2 ปีข้างหน้า กำไรของ KCE ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น และความสามารถในการรองรับหนี้สินที่สูง จากอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำ น่าจะส่งผลให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวทางการเงินในการรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Net Leverage) ของ KCE จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5 เท่าในปี 2568 จากการลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตอุตสาหกรรมโรจนะ (โครงการโรจนะ) ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.1 เท่าในปี 2569

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
รายได้ที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป: ฟิทช์คาดว่ารายได้ของ KCE จะเติบโตร้อยละ 4-5 ต่อปี ในช่วงปี 2567 ถึง 2568 หลังจากที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 11 ในปี 2566 ฟิทช์คาดว่าสถานการณ์ที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ลดคำสั่งซื้อแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ในช่วงที่ผ่านมาเพื่อเลี่ยงการมีสินค้าคงคลังในระดับสูง ได้ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ความต้องการของแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์เกรดพิเศษ (Special Grade Printed Circuit Board) จะยังคงแข็งแกร่ง ทั้งนี้ การใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในรถยนต์ ซึ่งรวมไปถึงระบบ 5G, ระบบช่วยเหลือในการขับขี่แบบอัตโนมัติ (ADAS) และระบบตรวจจับแสงและวัดระยะ (LIDAR) จะช่วยสนับสนุนความต้องการของผลิตภัณฑ์แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ของ KCE ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

อัตราส่วนกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น: ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของ KCE จะปรับตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 17-18 ในปี 2567 จากร้อยละ 16.6 ในปี 2566 (ไตรมาสแรกของปี 2567: ร้อยละ 18.9) ซึ่งคาดว่าจะมาจากการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการทดแทนแรงงานด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลให้จำนวนแรงงานที่ต้องจ้างลดลง และในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าอั EBITDA Margin ของบริษัทน่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการเพิ่มสัดส่วนการขายแผ่นพิมพ์วงจรเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูง รวมไปถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (Utilisation Rate) จากความต้องการที่ปรับตัวดีขึ้น และราคาพลังงานที่มีแนวโน้มลดลง

ความสามารถในการรองรับหนี้สินที่แข็งแกร่ง: ฟิทช์เชื่อว่า EBITDA Net Leverage ของ KCE ที่อยู่ในระดับต่ำที่ 0.2 เท่า น่าจะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการรองรับการลงทุนที่สูง และยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตได้ ฟิทช์คาดว่า EBITDA Net Leverage ของ KCE จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2567-2568 จากการลงทุนในโครงการโรจนะ โดย EBITDA Net Leverage น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นและสูงสุดที่ 1.5 เท่าในปี 2568 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.1 เท่า ในปี 2569 หลังจากที่โรงงานใหม่เริ่มดำเนินการผลิต

แผนการลงทุนที่สูง แต่มีความยืดหยุ่น: ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนรวมของ KCE น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.8 พันล้านบาทในช่วงปี 2567-2569 โดยส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการก่อสร้างโครงการโรจนะ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ มีกำลังการผลิต 1 ล้านตารางฟุตต่อเดือน และส่วนที่เหลือจำนวน 1.5 พันล้านบาท จะใช้ในการพัฒนาประสิทธิผลของการผลิตและการซ่อมบำรุงเป็นหลัก

อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนดังกล่าวยังคงขึ้นอยู่กับความต้องการของผลิตภัณฑ์ในตลาด เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจำนวนประมาณ 3.8 พันล้านบาท จะเป็นการลงทุนในเครื่องจักรและการสนับสนุนการผลิต ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ หากความต้องการผลิตภัณฑ์จริงในอนาคต อยู่ในระดับต่ำกว่าที่บริษัทคาด ในอดีตบริษัทได้มีการเลื่อนการก่อสร้างของโครงการดังกล่าวออกไปเป็นปี 2569 จากปี 2568 ตามแผนเดิม

ผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรฯ รถยนต์รายใหญ่: อันดับเครดิตของ KCE สะท้อนถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีวงจรสินค้าที่ค่อนข้างยาว และต้องอาศัยความผูกพันกับลูกค้าในการได้มาซึ่งยอดขาย ทำให้เป็นธุรกิจที่มีความยากลำบากสำหรับคู่แข่งรายใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรม (High Barrier to Entry) เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับสินค้าบริโภคทั่วไป (Consumer Electronics) ทั้งนี้ KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์รายใหญ่ของโลก โดยมีส่วนแบ่งด้านรายได้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3-5

โอกาสการเติบโตระยะยาว: ฟิทช์คาดว่าอุตสาหกรรมแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก การขยายกำลังการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า และการที่รถยนต์มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น แม้ว่าจะมีความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาอันใกล้ อุปกรณ์ใหม่ในรถยนต์ เช่นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย และการช่วยเหลือในการขับขี่ และอุปกรณ์ด้านความบันเทิง ซึ่งมีอยู่ในรถยนต์ราคาแพง ได้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์ระดับกลาง

การกระจุกตัวของรายได้ที่ลดลง: ความพยายามของ KCE ที่จะเพิ่มสัดส่วนสินค้า HDI ซึ่งรวมถึงสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่รถยนต์ จะช่วยลดการกระจุกตัวของรายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการขายแผ่นพิมพ์วงจรจากลูกค้ารายใหญ่ 5 รายแรกที่ประมาณร้อยละ 57 ในปี 2566 ซึ่งค่อยๆ ลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากประมาณร้อยละ 65 ในปี 2553

อัตรากำไรที่มีความอ่อนไหวต่อค่าเงินบาท: ธุรกิจของ KCE มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรมีความผันผวน โดยในฐานะที่เป็นบริษัทผู้ส่งออก รายได้และกำไรจะลดลงเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากประมาณร้อยละ 85-95 ของรายได้ อยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร ในขณะที่ร้อยละ 50-60 ของต้นทุนอยู่ในรูปเงินบาท ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
KCE และ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EPG, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ต่างมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ขายสินค้าคนละชนิด EPG เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งสำหรับรถกระบะและรถเอนกประสงค์ที่ทำจากโพลีเมอร์และพลาสติก ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมด

EPG มีการกระจายตัวของธุรกิจและลูกค้าที่มากกว่า KCE โดย EPG มีการกระจายรายได้จากการผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็นและผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม KCE และ EPG มีขนาดธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แต่ KCE มี EBITDA Margin และ กระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้ (Free Cash Flow Margin) ที่สูงกว่า ด้วยสถานะทางธุรกิจที่เทียบเคียงกันและอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียว อันดับเครดิตของทั้งสองบริษัทจึงเท่ากัน

KCE มีอันดับเครดิตที่สูงกว่าบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (SCGJWD, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ BBB+(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) อยู่ที่ ‘bbb(tha)’ โดยสถานะทางธุรกิจของ KCE แข็งแกร่งกว่า SCGJWD เนื่องจากธุรกิจของ KCE มีการแข่งขันที่ต่ำกว่าสืบเนื่องมาจากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจการผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์ที่สูงกว่าอุตสาหกรรมบริการโลจิสติกส์ของ SCGJWD นอกจากนี้ KCE ยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าเนื่องจากมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า ส่งผลให้สถานะเครดิตโดยลำพังของ SCGJWD อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตของ KCE สองอันดับ

อันดับของ SCGJWD ได้รับการปรับขึ้นหนึ่งอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังที่ ‘bbb(tha)’ เนื่องจากมีแรงจูงใจในการสนับสนุนระดับปานกลางจากบริษัทแม่ คือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A (tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ)

สถานะทางธุรกิจของ KCE อ่อนแอกว่าบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP, อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A (tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a(tha)) ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน SCGP มีขนาดของรายได้และ EBITDA ที่ใหญ่กว่ามาก และยังเป็นผู้นำในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่า KCE มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า แต่ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยสถานะทางธุรกิจที่ด้อยกว่า ส่งผลให้ KCE ถูกจัดอันดับต่ำกว่า SCGP หนึ่งอันดับ

สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
• รายได้เติบโตร้อยละ 4-5 ต่อปี ในปี 2567 และ 2568 (ปี 2566 ลดลงร้อยละ 11) จากการปรับตัวดีขึ้น ของภาวะสินค้าคงคลังล้นในผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ความต้องการของแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์เกรดพิเศษ ยังคงแข็งแกร่ง
• รายได้เติบโตร้อยละ 20-25 ต่อปี ในปี 2569 จากคำสั่งซื้อสินค้าแผ่นพิมพ์วงจร HDI ซึ่งผลิตที่โรงงานโรจนะ
• EBITDA Margin ปรับตัวดีขึ้นที่ร้อยละ 17-18 ในปี 2567 (ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 16.6 ในปี 2566) จาก อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น (Capacity Utilisation) การเพิ่มสัดส่วนการขายแผ่นพิมพ์วงจรเกรดพิเศษที่มีอัตรากำไรสูง และมาตรการที่เพิ่มประสิทธิผลในการผลิต (Efficiency Improvement Measures)
• แผนการใช้จ่ายลงทุนทั้งหมด สำหรับโครงการโรจนะ และการปรับปรุงด้านเทคโนโลยี จำนวน 8.8 พันล้านบาท ในปี 2567-2569 (ปี 2566 จำนวน 4 ร้อยล้านบาท)
• รักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) อยู่ในระดับที่ร้อยละ 80

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก
• ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แต่ในระยะยาวอาจมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิตได้หาก KCE สามารถขยายขนาดธุรกิจและเพิ่มการกระจายตัวของลูกค้าได้สำเร็จ

ปัจจัยลบ
• กระแสเงินสดที่ต่ำกว่าที่คาด หรือเงินลงทุนที่สูงกว่าที่คาด หรือมีการซื้อกิจการ ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วน EBITDA Net Leverage ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
• EBITDA Margin ต่ำกว่าร้อยละ 13 อย่างต่อเนื่อง
• สถานะทางการตลาดที่อ่อนแอลง หรือการสูญเสียลูกค้ารายสำคัญ

สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ – ณ สิ้นไตรมาสแรก ของปี 2567 KCE มีหนี้ทั้งหมดที่ 1.4 พันล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 927 ล้านบาท โดยเป็นหนี้เพื่อสนับสนุนการส่งออก จำนวน 510 ล้านบาท ซึ่งน่าจะได้รับการต่ออายุ สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 2.1 พันล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการชำระหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าของบริษัท นอกจากนี้เงินลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิตน่าจะได้รับการสนับสนุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน

ข้อมูลบริษัท
KCE เป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับยานยนต์รายใหญ่ของโลก โดยรายได้จากแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์คิดเป็นร้อยละ 80 ของรายได้แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดของบริษัทฯ KCE ส่งออกแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ไปทั่วโลก โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2566 ร้อยละ 48 มาจากทวีปยุโรป ร้อยละ 24 จากทวีปอเมริกา และร้อยละ 28 จากทวีปเอเชีย

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้