ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดตแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นเวียดนาม
ตลาดหุ้นเวียดนามเคลื่อนไหวผันผวนในเดือน ก.ค. หลังจากที่ดัชนี VNI ปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญเชิงจิตวิทยาที่ระดับ 1300 จุดแล้วไม่ผ่านเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังได้รับแรงกดดันจาก (1) การเก็งกำไรของรายย่อยในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ทำให้เกิดความผันผวนจากสภาพคล่องที่ต่ำ จนส่งผลทำให้ถูก margin call (2) ข่าวการถึงอสัญกรรมด้วยโรควัยชราของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เหงียน ฟู้ จ่อง ทำให้เกิดความกังวลต่อปัจจัยทางการเมืองของประเทศ
อย่างไรก็ตามเราไม่ได้กังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของเวียดนาม โดยแม้ว่าการขึ้นมารับช่วงต่อในการเป็นเลขาธิการพรรคชั่วคราว (ก่อนจะมีการเลือกใหม่ในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 14 ในปี 2026) ของประธานาธิบดี โต เลิม จะก่อให้เกิดคำถามถึงแรงต้านจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์รายอื่นๆ แต่เรามองว่าเป็นเรื่องปกติของการแข่งขันทางการเมืองในทุกระบอบการปกครองและกับทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งใหญ่ แต่เนื่องจากสมัยที่ โต เลิม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ (Public Security Minister) ในปี 2016-2024 เขาได้ออกแคมเปญการกวาดล้างการทุจริตคอรัปชั่นเจ้าหน้าที่รัฐและนักธุรกิจเป็นจำนวนมาก โดยแม้ว่าจะมีข้อกังขาว่าเป็นการใช้อำนาจเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง จากการบังคับให้ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต้องลาออก หรือถูกดำเนินคดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิธีการดังกล่าวทำให้เขาสามารถกระชับอำนาจภายในพรรคฯ ได้มากขึ้น และทำให้คลื่นใต้น้ำจะไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของเวียดนามมากนักไปจนกว่าจะถึงการประชุมสมัชชาพรรคในปี 2026 กล่าวโดยสรุปคือ เรายังไม่เห็นสัญญาณว่า การเมืองเวียดนามจะอยู่ในจุดที่เกิดความแตกแยกรุนแรงเหมือนในช่วง 60 ปีก่อน
ส่วนมรดกทางการเมืองสำคัญที่อดีตเลขาธิการพรรค เหงียน ฟู้ จ่อง ได้ทิ้งไว้ให้ ได้แก่ (1) การเสริมสร้างบทบาทของเลขาธิการพรรคให้แข็งแกร่งขึ้น (2) การรณรงค์ต่อต้านการทุจริตและเสริมสร้างวินัยของพรรค และ (3) การรักษาสมดุลความสัมพันธ์ของเวียดนามกับจีน สหรัฐ และประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ก็น่าจะได้รับการสานต่อนโยบายจากผู้นำคนใหม่และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อไป ทำให้นโยบายหลักๆของเวียดนามจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในระยะสั้นถึงกลาง
สำหรับภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจ เวียดนามยังสามารถรักษาโมเมนตัมของการเติบโตได้ดี มี GDP เติบโต 6.4% YoY ในช่วงครึ่งแรกของปี หนุนโดย (1) การส่งออกที่เพิ่มขึ้น 14.9% YoY ใน 1H24 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐที่เติบโตมากถึง 24% YoY (2) ยอดค้าปลีก (Retail Sales of Goods and Services) เติบโต 5.7% YoY ใน 1H24 และ (3) การผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) เติบโต 7.5% YoY ใน 1H24 นอกจากนี้ภาวะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ก็มีเงินไหลเข้าสู่เวียดนาม 15.2 พันล้านเหรียญ หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 13.1% YoY ในช่วงหกเดือนแรก จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว จึงทำให้เศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตทั้งปีบรรลุเป้าหมายของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (GSO) ที่ 6-6.5% โดยแม้ว่าการส่งออกของเวียดนามจะมีความท้าทายจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐ จะทำให้เวียดนามได้ประโยชน์จากข้อพิพาทดังกล่าว
สำหรับประเด็นเรื่อง valuation นั้น ปัจจุบันดัชนี VNI เทรดอยู่ที่ Forward PE 11.7 เท่า ต่ำกว่า -1SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 14.2 เท่า เทียบกับ Forward EPS Growth ปี 2024 ที่ 31.8% YoY ซึ่งยังไม่แพง
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ส.ค. เราได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามด้วยสองเหตุผลหลัก:
ประการแรก สภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นโลกช่วงที่เหลือของปีมีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ risk-off sentiment กระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าตลาดนี้มีนักลงทุนรายย่อยถึงเกือบ 90% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ทำให้มักอ่อนไหวต่อข่าวสารต่างๆ นอกจากนี้ ยอดสะสมของ margin loan ของนักลงทุนรายย่อยก็ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับช่วง 1Q21
ประการที่สอง ดัชนี VNI มีความผันผวนสูงกว่าดัชนี MSCI All-Country World Equity โดยมีค่า annualized monthly volatility ที่ 20.5% เทียบกับ 14.8% ของตลาดหุ้นโลก ทำให้ต้องปรับลดน้ำหนัก เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงข้างต้น
สรุปภาพตลาดวานนี้
วานนี้ SET รีบาวน์แล้วย่อ (Swing ระหว่างวัน) หุ้นใหญ่พยุงตลาดนำโดย DELTA AOT BDMS BCP และโรงไฟฟ้า GUNKUL (งบดี) BGRIM GPSC รวมทั้งงบฯ ดีกว่าคาดอย่าง ITC (ดึง AAI แรงด้วย) ขณะที่แรงขายมีกลุ่มหุ้นมี Exposure รายได้ต่างประเทศ อย่าง CRC KCE MINT (งบฯ ต่ำกว่าตลาดคาดด้วย) กลุ่มโรงแรมโดนไปด้วยทั้ง AWC CENTEL ส่วนหุ้นขนาดกลาง-เล็กหลายตัวรีบาวน์บ้างแล้ว เช่น NEO KGEN SNNP SKY เป็นต้น
แนวโน้มตลาดวันนี้
เน้นกลยุทธ์ตั้งรับ
เมื่อวานหุ้นไทย ทรงตัว แม้ไม่ได้รีบาวด์แล้วปิดบวกได้เหมือน หุ้นโลก แต่ก็ดีกว่าลงต่อแบบไม่โงหัวเลย ส่วนวันนี้ คาดหุ้นไทย แกว่งออกข้าง ความผันผวนลดลง กลยุทธ์ยังคงเน้น เชิงรับมากกว่าเชิงรุก...
ส่วนปัจจัยถ่วงที่อาจกดดันหุ้นไทย ยังคงเป็นเรื่อง ความปั่นป่วนของตลาดหุ้นโลก และ สินทรัพย์ต่างๆ เพราะตลาดเริ่มจุดประเด็นวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ประเด็น Yen Carry trade ต่อวิกฤติการเงินโลกซึ่งเรามีการเฝ้าติดตามเรื่องนี้มาเป็นระยะ และเรามองว่าลูกโป่งลูกนี้น่าจะมีการผ่อนลมออกมากกว่าถูกเจาะให้แตก ซึ่งตัวแปรอยู่ที่ ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่าง เยน และ ดอลล์สหรัฐ ที่ต้องค่อยๆ สร้างสมดุล...ไม่ใช่ว่าเฟดลดดอกเบี้ยเยอะๆ เร็วๆ แล้วจะดี ดังนั้นหากเฟด ลดดอกเบี้ยในคราวเดียว 0.5% แล้วหุ้นจะดี หุ้นจะขึ้น อาจไม่ใช่ ด้วยเรามองว่าจะเป็นการเร่งปิดส่วนต่างดอกเบี้ยเร็วเกินไป และจะมีผลต่อการเร่งปิดสถานะ Yen Carry trade ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อตลาดการเงิน และเรามองว่า จนท.ในธนาคารกลางย่อมรู้ดี และไม่น่าปล่อยให้เกิด
และวันนี้ นลท. สายการเมืองคงจะเริ่มโฟกัสที่ ประเด็น ยุบพรรคก้าวไกล และ 14 ส.ค. คดีถอดถอนนายก แม้ระยะสั้น นลท.บางส่วนอาจกังวล แต่เราออกรายงานวิเคราะห์ ความน่าจะเป็น และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ไว้เป็นคู่มือ แล้ววันนี้ ซึ่งจากบทสรุป เราไม่ได้กังวลว่า การเมืองรอบนี้จะ ฉุดเศรษฐกิจไทยไปมากกว่าคาดการณ์เดิม...
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว โฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้
วิเคราะห์ทางเทคนิค
ดัชนีพยายามเด้ง…..รีบาวด์แต่ยังไม่สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นได้ ถึงแม้ตปท.ส่วนใหญ่กลับมาปิดบวกได้สำเร็จ (ผ่านช่วง panic sell “Black Monday”) ท้ายที่สุดตลาดในปิดลบบางๆ…จุดสังเกตในรูป SET Index มี 2 อย่าง 1. Price pattern “Bearish rectangle” เคยเกิดขึ้นมาในแล้วเมื่อตอนต้นปี ผลลัพธ์ดัชนีปรับตัวลง 6% ภายหลังหลุดแนวรับ 2. โมเมนตัม RSI divergence (ลงไม่ทันดัชนี) อาจส่งผลให้เกิดสัญญาณรีบาวด์เป็นระยะๆ
สรุป: แนวโน้มตลาดยังอยู่ในโหมดระมัดระวัง จับตาประเด็นการเมือง โดยให้น้ำหนักคดีตัดสินท่านนายกฯสัปดาห์หน้าวันที่ 14 ส.ค.เป็นประเด็นสำคัญ แนะรอความชัดเจน (ซื้อช้าแต่ชัวร์กว่าครับ)
What to watch
ไทม์ไลน์คดี การเมือง: ศาลฯนัดพิจารณาคดีถอดถอนนายก 14 ส.ค. ลงมติ 13:00 น. เป็นต้นไป, 7 ส.ค. ศาลกำหนดวัน นัดลงมติตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล เวลาบ่าย 3 โมงเป็นต้นไป
แบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก ออกรายงานระบุว่า ตลาดหุ้นจะดีดตัวขึ้นต่อไป โดยฟื้นตัวขึ้นจากแรงเทขายทั่วโลก ขณะที่นักลงทุนเริ่มคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการระบายสถานะ yen carry trade เริ่มผ่อนคลายลง
"เราคิดว่าสินทรัพย์เสี่ยงสามารถฟื้นตัวขึ้นจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่การระบายสถานะ yen carry trade ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มมีเสถียรภาพ"
ขณะเดียวกัน แบล็คร็อคระบุว่า รายงานการจ้างงานที่อ่อนแอเกินคาดเกิดจากการชะลอตัวของการจ้างงาน ไม่ใช่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการที่อัตราว่างงานพุ่งขึ้นเกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณแรงงานอันเนื่องจากแรงงานต่างชาติที่อพยพเข้าสู่สหรัฐ ไม่ใช่เกิดจากการเลิกจ้างของบริษัท ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่แตกต่างจากการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก่อนหน้านี้
FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 86% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 14% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันดังกล่าว
หุ้นแนะนำวันนี้
CPALL (หลบไปพักเงินในหุ้นใหญ่ที่ ทรงออกข้าง ราคาอยู่ล่าง เบต้าไม่สูงนัก) หนึ่งในหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายกองทุน TESG
(S 56 R 58/59 SL 55)
รายงานพื้นฐานวันนี้
Tactical Plays
Thai politics at a crossroads: Assessing risks and opportunities
BLS Research ได้ทำการศึกษาความน่าจะเป็นของประเด็นการเมืองในประเทศ ต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจกับคาดการณ์ทิศทางหุ้นไทย เพื่อเป็นคู่มือนักลงทุน และความเห็นของเรา ต่อตลาดหุ้นไทยดังนี้
7 ส.ค. คดียุบพรรคก้าวไกล: เรามองว่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยน้อย (คาดว่าไม่มีการชุมนุมที่รุนแรง) เพราะเชื่อว่าสัดส่วน สส. แต่ละฝั่งการเมือง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก
14 ส.ค. คดีการยื่น ถอดถอนนายกฯ: จะมีผลต่อการผ่านงบฯ โดยแบ่งเป็น 2 ฉากทัศน์
1) กรณียกคำร้อง การเมืองกลับมาปกติ หุ้นไทยควรกลับมามี Sentiment เชิงบวก
2) กรณีถูกถอดถอน จะมีประเด็นติดตามถัดไป คือ
(I) การเลือกนายกใหม่ ซึ่งย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตยุคนายกฯ สมัคร และนายกฯ สมชาย พบว่าใช้เวลาค่อนข้างสั้น เพียง 8 และ 13 วัน ตามลำดับ และตั้ง ครม. ใหม่ก็จบใน 1 สัปดาห์
(II) โอกาสการเลื่อนพิจารณา พ.ร.บ. งบฯ ปี 68 ที่ผ่าน สส. วาระ 1 แล้ว จะเข้า 2-3 หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง วาระนี้อาจจะชะลอจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งคาดจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 1 เดือน (ต่างจากปี 67 ที่ล่าช้าจากการตั้งรัฐบาล) ยกเว้น สัดส่วน สส. แต่ละพรรคเปลี่ยนแบบมีนัยฯ หรือ เกิดการสลับขั้วฯ ทั้งนี้ แม้กรณีเลื่อนไปก็ยังมีงบฯ เพิ่มเติมปี 67 ราว 1.2 แสนลบ. ที่ สว. พิจารณาภายใน 13 ส.ค. รออยู่แล้ว
(III) ความเสี่ยงของนโยบายเรือธงอย่าง Digital Wallet แบ่งออกเป็น 1/ เดินหน้าต่อ บนขนาด รูปแบบ และเงื่อนไขปัจจุบัน 2/ เดินหน้าต่อ แต่ลดขนาด และปรับรูปแบบ-เงื่อนไข (ไม่ได้มีผลด้านลบกับตลาด) และ 3/ ยกเลิกโครงการ แบบไม่มีแผนสำรอง (มองลบ เพราะเดิมคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจ)
กลยุทธ์การลงทุน: เราให้น้ำหนักความเป็นไปได้ที่สำคัญ 2 ฉากทัศน์
1) กรณีนายกฯ ถูกถอดถอน แต่ไม่เกิดการสลับขั้ว คาดหุ้นไทยลงแรงแค่ชั่ววูบ (ช่วงหลังตัดสิน) จากนั้นจะมีแรงซื้อกลับ แนะหุ้น Low Beta (ผันผวนน้อยกว่าตลาด) เพราะจะเป็นกลุ่มที่พักเงินลงทุน เราจะเน้นหุ้นที่มี อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง, เป็นเป้าหมายของกอง TESG และกองทุนวายุภักษ์ เช่น AOT ADVANC BH PTT KTB BBL GULF
2) นายกฯ ได้ไปต่อ นโยบายไม่สะดุด ตลาดจะกลับมารีบาวน์ปลดล็อคประเด็นการเมือง (หากเศรษฐกิจโลกไม่ได้ชะลอตัวรุนแรง) เน้นหุ้นที่เข้าเกณฑ์ TESG แต่จะผสมหุ้น Alpha ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตเด่น เช่น CPALL CPAXT STEC DOHOME OSP WHAUP
HMPRO
โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์
การบริโภคยังอ่อนแอ
ผู้บริหารยังมีมุมมองระมัดระวังต่อภาคการบริโภค ยอดขายต่อใบเสร็จเพิ่มขึ้น แต่จำนวนลูกค้าลดลง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ใน 2Q24 HMPRO เห็นการลดลงของ SSSG แต่การลดลงที่ กทม สูงกว่าต่างจังหวัด แม้ทั้ง HMPRO & Megahome เองเห็นอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น แต่ต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมอัตรากำไรทรงตัว นอกจากนี้ HMPRO เห็นอัตราดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากการรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ (จากต่ำกว่า 3% ปีที่แล้วมาเป็น 3%) บริษัทยังมีมุมมองเป็นบวกกับแนวโน้มครึ่งปีหลัง โดยจะยังเดินหน้าเปิดสาขาใหม่ 7-8 สาขา ในปีนี้ เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2567, 2568 และ 2569 ประมาณ 1-4% ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ลดลงจาก 12.50 บาท เป็น 11 บาท
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ
รายงานผลประกอบการวันนี้
(+) ITC รายงานกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 1 พันล้านบาท หักรายการพิเศษ กำไรหลักอยู่ที่ 1.12 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% YoY และ 28% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 26% และ 23% ตามลำดับ จากทั้งรายได้-อัตรากำไรสูงกว่าคาด แนวโน้ม 3Q24 กำไรเติบโต YoY ลดลง QoQ จากฐานสูง เราคงคำแนะนำซื้อ มองกำไรยังมี Upside
(0) ADVANC รายงานกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 8.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% YoY และ 1% QoQ หากตัดรายการพิเศษกำไรหลักจะอยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% YoY แต่ลดลง 2% QoQ ตามที่เราและตลาดคาด จ่ายปันผลสำหรับ 1H24 ที่ 4.87 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 2% เราประเมินกำไร 3Q24 เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ ตามฤดูกาล เราปรับประมาณการกำไรปี 2024 ขึ้น 6% และปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 270 บาทเป็น 271 บาท ยังคงคำแนะนำ ซื้อ
(0) DOHOME รายงานกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 389%YoY และลดลง 21% QoQ เป็นไปตามที่เราคาด แต่ต่ำกว่าตลาดคาด 8% ปัจจัยหนุนงวดนี้มาจาก GM แนวโน้ม 3Q24 คาดกำไรเติบโต YoY ต่อ แต่ลดลง QoQ เราแนะนำซื้อเก็งกำไร
(+) IRPC รายงานขาดทุนสุทธิ 732 ล้านบาท ขาดทุนลดลง YoY แต่พลิกจากกำไรสุทธิใน 1Q24 หากตัดรายการพิเศษขาดทุนหลักจะอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท ขาดทุนมากขึ้น YoY และ QoQ ขาดทุนสุทธิที่ออกมาดีกว่าที่เราคาดจากส่วนแบ่งกำไรและรายได้อื่นที่ดีกว่าคาด แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด เราประเมินขาดทุนหลัก 3Q24 ขาดทุนมากขึ้น YoY แต่ดีขึ้น QoQ เรามีการปรับประมาณการขาดทุนสุทธิจาก 3.7 พันล้านบาทเป็น 1.3 พันล้านบาท ในปี 2024 ยังคงคำแนะนำ ถือ
(0) MTC รายงานกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 1.4 พันล้านบาท (เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด) ขึ้นทำ new high เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 20% yoy และ 4% QoQ จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดบ้าง และสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง เราคาดกำไรสุทธิ 3Q24 จะเติบโต 14% YoY และ 2% QoQ และจะขึ้นทำ new high ต่อเนื่อง หนุนจากสินเชื่อที่จะเติบโต เรายังแนะนำซื้อ MTC จากแนวโน้มกำไรปีนี้เติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่ม Retail Finance และทิศทางคุณภาพสินทรัพย์จะดีต่อเนื่องใน 2H24
(+) GUNKUL รายงานกำไรสุทธิและกำไรหลัก 2Q24 ที่ 462 ล้านบาท โดยกำไรหลักเพิ่มขึ้น 17% YoY และ 47% QoQ ดีกว่าที่เราคาด 13% บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับ 1H24 ที่ 0.08 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลขั้นต้นที่ 4% (XD: 20 ส.ค., จ่ายเงินปันผล: 5 ก.ย.) แนวโน้มกำไรใน 3Q24 น่าจะเติบโตทั้ง YoY (รายได้จากธุรกิจก่อสร้างที่สูงขึ้น) และ QoQ (ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการกังหันลมที่เพิ่มขึ้น) เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 5.00 บาท
(+) 3BBIF รายงานขาดทุนสุทธิ 2Q24 ที่ 305 ล้านบาท พลิกกลับจากกำไรสุทธิ YoY และ QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 1,495 ล้านบาท ลดลง 34% YoY แต่ไม่เปลี่ยนแปลง QoQ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับ 1H24 ที่ 0.19 บาท/หุ้น (จากการลดทุนจดทะเบียนฯ) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลขั้นต้นที่ 3.5% (XD: 16 ส.ค., จ่ายเงินปันผล: 23 ก.ย.) แนวโน้มกำไรหลักใน 3Q24 น่าจะลดลง YoY (ผลกระทบเต็มไตรมาสจากการปรับลดค่าเช่าโครงสร้างพื้นฐานระหว่าง 3BBIF และ 3BB) แต่ทรงตัว QoQ เรายังคงคำแนะนำ "ถือ" จากแนวโน้มปันผลที่อยู่ในระดับสูง
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน