ผันผวนกรอบแคบรอดูการเมือง
หลังจากผ่าน PANIC SELL เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ภาพใหญ่ของตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มเย็นลง โดยหลายตลาดที่ปรับลงแรงมีการ REBOUNDกลับขึ้นมา ส่วนบ้านเราเห็นการแก่วงตัวในกรอบแคบๆ ซึ่งประเมินว่า เหตุปัจจัยประการหนึ่งเกิดจากการที่นักลงทุนรอติดตามผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ใน 2 คำร้องที่สำคัญ สำหรับประเด็นที่น่าติดตามวันนี้ในต่างประเทศมีเรื่องความคาดหวังว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ย เดือนก.ย.67 ในอัตรา 0.5% ขณะที่ต้องติดตามสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง หลังจากที่อิหร่านประกาศจะตอบโต้อิสราเอล ส่วนในประเทศ สภาฯได้ผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณกลางปีฯ 1.22 แสนล้านบาทแล้ว ถือเป็นการยืนยันการเดินหน้า DIGITAL WALLET ส่วนวันนี้ รอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ค.67 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 0.7% YOYประเมินว่า SET INDEX น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบ รอดูสถานการณ์การเมืองที่จะมีการวินิจฉัยคำร้องยุบพรรคก้าวไกลในวันนี้ คาดกรอบ 1265–1286 จุด TOP PICK เลือก BDMS, CPALL และ PLANB
RECESSION ในสหรัฐฯจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ? + ราคาน้ำมันดิบมีทิศทางเป็นเช่นไร
ในช่วงต้นสัปดาห์หลายตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ส่งสัญญาณอ่อนแอต่อเนื่อง ทั้งการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ที่ชะลอตัวลง 2 เดือนติดต่อกัน, อัตราการว่างงานสูงสุดในรอบ 33 เดือน และ ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง YOY ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 24เดือน ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิด PANIC SELL โดยตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. 67ตลาดหุ้นสหรัฐตกหนัก -5% ถึง -8% (โดยเฉพาะวันที่ 06/08/24 กลับมาเกิดBLACK MONDAY อีกครั้งในรอบ 37 ปี) อย่างไรก็ตามวานนี้เริ่มเห็นสัญญาณการดีดตัวกลับเล็กน้อยราว +0.7% ถึง +1.0% หลังตัวเลข PMI ภาคบริการสหรัฐฯเดือน ก.ค. 67 ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในโซนขยายตัวเหนือ 50 จุด และการคาดการณ์การเกิด RECESSION ของสหรัฐฯ จาก BLOOMBERG ยังอยู่ระดับเดิมกับช่วงต้นเดือนส.ค.67 และมีโอกาสน้อยลงจากช่วงต้นปีจาก 50% เหลือ 30%
ขณะเดียวกันความกังวล DEMAND ชะลอตัวในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีนยังสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันดิบโลก(WTI/BRENT) ปรับตัวลงต่อเนื่องราว0.3%-0.4% อย่างไรก็ตามความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ยังมีโอกาสผลักให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นได้หลังจากผู้นำกลุ่มฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ถูกลอบสังหาร จึงทำให้อิหร่านประกาศว่าจะล้างแค้นอิสราเอลและสหรัฐ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันดิบมากถึง 1 ใน 3 ของโลก
สรุป ความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯว่าจะเกิด RECESSION ได้สร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงผันผวนในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเริ่มคลายความกังวลประเด็นดังกล่าวไปบ้างแล้ว ลุ้นสร้าง SENTIMENT เชิงบวกต่อ SET ในวันนี้ อย่างไรก็ตามอาจมีแรงกดดันจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบ ตามความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นตามลำดับ
มาตรการกระตุ้น CONSUMPTION มาไกลเกินครึ่งทาง
วานนี้ในที่ประชุม สว. มีมติ 139 : 38 เสียง เห็นชอบงบฯ ปี 2567 เพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการ DIGITAL WALLET (วงเงินทั้งหมด 4.5 แสนล้านบาท)สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ จะส่งไปยัง ครม. พิจารณาต่อไป ก่อนที่จะมีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในวันที่ 13 ส.ค. นี้
โครงการ DIGITAL WALLET ที่เดินหน้ามามากว่าครึ่งทาง เชื่อว่าจะยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยที่เกิดขึ้น โดยในเดือน ส.ค. 67 รอติดตามผลการตัดสินของ ศาล รธน. ใน 2 คดีใหญ่ทางการเมือง คือ
1. ศาล รธน.นัดฟังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันนี้ เวลา 15.30 น.
2. ศาล รธน.นัดฟังคำวินิจฉัยคดีถอดถอน นายกฯเศรษฐา ในวันที่ 14 ส.ค.67 เวลา 15.00 น.
ส่วนประเด็นที่น่าติดตามในวันนี้เพิ่มเติมคือ การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือนก.ค. 67 โดย CONSENSUS คาดว่าจะขยับขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อยแค่
+0.7%YOY และ +0.1%MOM อย่างไรก็ตาม แม้เงินเฟ้อไทยจะมีโอกาสขยายตัวต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1-3% แต่ในระยะถัดไปหากมีแนวโน้มสูงขึ้นจากแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ น่าจะทำให้มุมมองดอกเบี้ยนโยบายบ้านเรายังคงยืนอยู่ที่ระดับ 2.5% ตามเดิม
สรุป โครงการ DIGITAL WALLET ที่เดินหน้ามามากว่าครึ่งทาง เชื่อว่าจะยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยที่เกิดขึ้น มองเป็นSENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL CPAXT BJCช่วงที่เหลือของปีมีโอกาส เห็นบาทแข็งค่าขึ้นตลาดคาดว่า FED มีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.67-0.5%เหลือ 5% โดยลดทุกการประชุมจนปลายปี2567 ลดรวม -1% เหลือ 4.5% โอกาสการเร่งลดดอกเบี้ยของ FED มีโอกาสส่งผลให้ค่าเงินบาทเร่งแข็งค่าได้
ฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษาว่า ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐกับไทยที่แคบลง 0.25%จะหนุนให้บาทแข็งค่าได้ราว 70 สตางค์ ดังนั้นถ้า21 ส.ค. กนง. ยังคงดอกเบี้ยไทย และ18 ก.ย. FED ลดดอกเบี้ย -0.25% ถึง -0.5% อาจจะหนุนให้บาทเร่งแข็งค่าขึ้น 70สตางค์ ถึง 1.4 บาท ได้จูงใจให้ต่างชาติทยอยกลับมาลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี
นอกจากนี้ยังเห็นเม็ดเงินนักลงทุนไทย ที่ไหลออกนอกประเทศ (FCD) ไปกว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญ เริ่มไหลกลับมา1.4 พันล้านเหรียญ และคาดว่ามีโอกาสไหลกลับได้อีกไม่น้อยกว่า 6 พันล้านเหรียญ ถ้าส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐไทยแคบลงไม่ถึง 2.5% ในช่วงที่เหลือของปี
สรุป ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้น จูงใจให้นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น บวกกับเริ่มเห็นเม็ดเงินนักลงทุนไทยที่ไหลออกไปต่างประเทศ ทยอยกลับมาในประเทศมากขึ้น ทั้ง 2 ส่วนน่าจะค่อยๆ กลับมาสะสมหุ้นไทย หนุนให้ตลาดหุ้นมีโอกาสค่อยๆ ฟื้นตัวได้
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์