"Commerce Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "พักฐาน" ต้าน 1330/1332 จุด รับ 1315/1310 จุด ดัชนี S&P500 ลดลง -1.37% แรงกดดันจากกลุ่มเทคโนโลยี น้ำมัน จากความกังวลระยะสั้นต่อสหรัฐฯ เริ่มเสี่ยงต่อภาวะถดถอย หลัง PMI ภาคผลิต ก.ค. 24 (ISM) ดิ่งเหลือ 46.8 จุด ลดลงต่อกัน 4 เดือนและต่ำสุดใน 8 เดือน โดยมีองค์ประกอบกดในส่วนคำสั่งซื้อใหม่ การจ้างงาน สอดคล้องกับยอดผู้รับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก อย่างไรก็ดี ภาคผลิตมีสัดส่วนราว 10% ของ GDP สหรัฐฯ และในวงจรการผลิตปลายปี 2022-2023 เป็นช่วงถดถอยมาตลอด แต่การบริโภคที่แข็งแกร่งยังหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯช่วงนั้นขยายตัวได้ดี ดังนั้นต้องติดตามตลาดภาคแรงงานวันนี้ เพื่อประเมินความเสี่ยงที่มีนัยฯ ต่อการบริโภค โดยอัตราว่างงานหากแตะ 4.2% vs prev. 4.1% จะบ่งชี้ความเสี่ยงสูงขึ้น ทำให้ภาพการลงทุนมุ่งไปที่ Global Bond และหุ้น Value/Laggard ซึ่งหุ้นไทยมีโครงสร้างของ Value/Laggard ที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวหนุน กรณีตลาดประคองตัวได้จะเป็นจุดชี้ความแข็งแรงของตลาดต่อการฟื้นตัว วันนี้ค้าปลีกเด่น Digital Wallet(ลงทะเบียนวันแรก 14 ล้านคน), โรงไฟฟ้า (เงินบาทแข็ง, Yield ลงเร่งและน้ำมันลง) , สื่อสาร (กระแส Data Center), ร.พ. (ฤดูกาล) วันนี้แนะนำ CPALL, CPAXT, BJC
Daily outlook: "พักฐาน" ต้าน 1330/1332 จุด รับ 1315/1300 จุด
What happened around the world ?
•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงอีกครั้ง หลัง PMI ผลิตสหรัฐ ออกต่ำ 50 จุด และรายงาน Qualcom และ ARM Holding ออกมาต่ำคาด กดดันหุ้นกลุ่มชิป อิง Dowjones -1.2% , S&P500 -1.37%, Nasdaq -2.3% นำโดยหุ้น โดยดัชนี S&P Sector ปรับขึ้นหลักๆคือ Utilities, Realestate, Consumer staples, Health care ฯลฯ Sector ที่ปรับลงหลักๆคือ IT, Energy, Consumer discretionary ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น กลุ่มชิปที่ปรับขึ้นแรงวันก่อนพลิกกลับมาปรับลงยกแผง (AMD -8.26% NVDIA -6.6% ฯลฯ) Apple -1.68% (รายงานงบหลังตลาดปิดแม้งบจะดีกว่าคาด แรงหนุนจากยอดขาย Ipad รุ่นใหม่ แต่ยอดขายที่มาจากจีน -6.5%y-y และต่ำคาด , AMAZON -1.56% รายงานงบต่ำคาดทั้งรายได้ หลักมาจากธุรกิจ E-commerce ที่ชะลอ และให้ Outllook 3Q24 อ่อนตัวจาก CAPEX ที่เพิ่มขึ้น
•(-) US Econ : 1.) PMI ภาคการผลิตสหรัฐลดลงต่ำระดับ 50 จุด ทั้ง ISM และ S&P Global อิง ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน ก.ค. โดย ISM ลดลงสู่ 46.8 จุด ลดลงติดต่อกันเดือนที่ 4 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน (การจ้างงานลดลง, คำสั่งซื้อใหม่ลดลง) สอดคล้องกับดัชนี PMI ภาคการผลิตซึ่งจัดทำโดย S&P Global ลดลงสู่ระดับ 49.6 ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน 2.) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ +1.4 หมื่นรายสู่ระดับ 2.49 แสนราย สูงที่สุดของปีนี้และสูงกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ 2.36 แสนราย (ตัวเลขแรงงานที่ออกมายังไม่อยู่ระดับที่น่างกัวล สะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) KSS ประเมินแม้กิจกรรมเศรษฐกิจที่อ่อนแอทั้งภาคการผลิตและตลาดแรงงานจะหนุนให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นผลดีกับตลาดหุ้น แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม โดยนักลงทุนเทขายหุ้นและเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย (Safe haven) เช่น พันธบัตรและเงินดอลลาร์ เนื่องจากกังวลว่าการหดตัวของภาคการผลิตโดยเฉพาะตัวเลขจาก ISM ที่ต่ำกว่าระดับ 50 เป็นอย่างมากจะเป็นสัญญาณเตือนถึงการถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐ (Recession)
•(*/+) BoE Meeting : คณะกรรมการอังกฤษ(BoE) มีมติ 5:4 ปรับลดลง 25 bps จาก 5.25% เป็น 5% นับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 1 ปี (กรรมการ 4 ท่านให้คงดอกเบี้ย) ประเมินปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ BoE เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษปรับลดลงอย่างต่อเนื่องและอยู่ในกรอบเป้าหมายของ BoE ที่ระดับ 2% แล้ว ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. อยู่ที่ระดับ 2% ทรงตัวที่ระดับดังกล่าวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน KSS ประเมินเป็นการยืนยันภาพดอกเบี้ยทั่วโลกดเข้าสู่ขาลง มองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง
•(-) CH Econ : Caixin PMI ภาคการผลิตจีน เดือน ก.ค ลดลงต่ำกว่า 50 จุด อีกครั้งสู่ระดับ 49.8 จุด ต่ำกว่าตลาดคาดและลดจากระดับ 51.8 ในเดือน มิ.ย. โดยเป็นการปรับลงในทิศทางเดียวกับตัวเลขของ NBS สะท้อนว่ากิจกรรมการผลิตของจีนชะลอตัวลงทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กลาง และ เล็ก ย้ำเตือนให้ภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond Yields สหรัฐปรับลงต่อเนื่อง อายุ 2 ปีปรับลง -13 bps โซนบริเวณที่ 4.16% ต่ำสุดในส่วนรอบ 5 เดือนครึ่ง)และอายุ 10 ปี หลุด 4% ปรับลงแรง-10 bps ปิด 3.99% (ต่ำสุดในส่วนรอบ 4 เดือนครึ่ง) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์ตีมดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มหนี้สูง CPALL, CPAXT MINT กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, BGRIM ส่วน Dollar Index ระยะสั้นอ่อนค่า 104.0 จุด
•(*) To monitor : 2 ส.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.ค. คาด 1.75 แสนราย vs prev. 2.0 แสนราย และอัตราการว่างงาน ก.ค. คาด 4.1% เท่าเดือนก่อน.
•(-)Oil : น้ำมันดิบพลิกกลับมาลดลงอีกครั้ง อิง Brent -1.63%d-d ปิดที่ US$ 79.52/barrel น้ำมันดิบ West Texas -2.05%d-d ปิดที่ US$ 76.31/barrel แรงกดดันหลักมาจาก 1.) Demand การบริโภคน้ำมันที่ชะลอสะท้อนผ่าน จีนและสหรัฐรายงาน PMI ต่ำกว่า 50 จุด 2.)การประชุม JMMC OPEC+มีมติคงนโยบายการผลิต ตามคาดโดย OPEC+ จะยังคงรับลดกำลังการผลิตรวม 5.86 ล้านบาร์เรล/วัน 3.)ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังไม่ขยายเป็นวงกว้าง โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP แต่ในทางตรงข้ามมองบวกต่อกลุ่มสายการบิน AAV BA
•(-) World Container Index(WCI) : WCI พลิกปรับลงต่อเป็นสัปดาห์ที่ 2 ล่าสุด -1%w-w ) อยู่ที่ 5,736 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ แรงกดดันหลักๆมาจากความตึงเคร่ยดในะตวันออกลางล่าสุดลดลง ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO , SONIC LEO และ WICE ดังนั้นยังแนะนำเพียง ชะลอการลงทุน รอติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางเพิ่มเติม
What happened in Thailand ?
• (*/+) SET: ตลาดหุ้นวันทำการล่าสุดปรับตัวขึ้น +1.89 จุด หรือ +0.14% ปิดที่ 1322.75 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (PTTEP, GPSC, BGRIM) PTTEP จากราคาน้ำมันดีดตัวแรงตอบรับสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ตึงเครียดขึ้น ส่วนโรงไฟฟ้า หนุนจากจิตวิทยาบวก US Bond Yield อายุ 10ปี ดิ่งลงแรง หนุนจาก Fed มีท่าที Dovish อ่อนๆ จากการประชุมล่าสุด ผสาน เงินบาทแข็งค่าเร่ง กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA) กระแสการ Upgrade ของตลาดต่อเนื่อง ผสาน จิตวิทยาบวกหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ กลับมานำตลาด หลังรายงานกำไรส่วนใหญ่ออกมาดี + US Bond Yield อายุ 10ปี ดิ่งลงแรง หนุนจาก Fed มีท่าที Dovish อ่อนๆ และมาตรการ Tech War เข้มงวดน้อยกว่าตลาดกังวลล่วงหน้า กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มอาหาร (CPF) มองตลาดสลับกลุ่มลงทุนจากกลุ่มที่ Outperform กลุ่มสื่อสาร (TRUE, ADVANC) มองภาพลักษณะเดียวกับ CPF คือ ตลาดสลับกลุ่มลงทุน
• (+) Flow : กระแสเงินทุนต่างชาติเป็นภาพไหลเข้า ขายหุ้น -5.8 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +223.2 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long สุทธิราว 9,859 สัญญา เงินบาทอยู่ในโซนแข็งค่า 35.6 +/- บาท
• (+) TH Mfg PMI: PMI ภาคผลิตไทย ก.ค. 24 ปรับเพิ่มขึ้นสู่ 52.8 จุด จาก 51.7 จุดในเดือน มิ.ย. โดยอยู่ในระดับขยายตัว (> 50 จุด) 3 เดือนติดต่อกัน และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน มองเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี บวกต่อกลุ่มอิงภาคผลิต เกษตร - อาหาร เน้น GFPT ชิ้นส่วน เน้น DELTA, KCE
• (*/+) ADVANC x Oracle: ADVANC ร่วมมือ "Oracle" เปิด Hyperscale Cloud ชูบริการ AIS Cloud ครั้งแรกในประเทศไทย มูลค่าการลงทุน 8 พันล้านบาท คาดเปิดตัวปี 2025 มองบวกต่อเศรษฐกิจไทยระยะกลาง-ยาวที่ New S-Curve การเป็น Digital Infrastructure ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหนุนอุตสาหกรรมที่มีโอกาสได้ประโยชน์ในอนาคต อาทิ นิคม เน้น AMATA โรงไฟฟ้า เน้น GULF สื่อสาร เน้น ADVANC TRUE INSET
• (*/+) Digital Wallet: กระแสลงทะเบียนรับสิทธิ์นโยบาย Digital Wallet วันแรกคึกคัก ลงทะเบียนแล้ว 14.4 ล้านคน ิดเป็น 28.8% จากเป้าหมายของรัฐที่ 50 ล้านคนและมากกว่าที่นักกลยุทธ์ของเราประเมินไว้ที่ 10 ล้านคน มองบวก 1) ลดความกังวลตลาดต่อประสิทธิภาพระบบ 2) กระแสตอบรับที่ดีของประชาชนและมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีผู้เข้าร่วมตามเป้าหมายของรัฐที่ 50 ล้านคน และหากในช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้ามีการเบิกจ่ายเงินจากกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ตามเป้าหมายจะช่วยหนุนให้กิจกรรมการใช้จ่ายและ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นเป็น Upside ให้ตลาดพิจารณาปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ในปีนี้และปีหน้าขึ้นเป็นบวกต่อตลาดหุ้นโดยรวมหุ้น Domestic ค้าปลีก ธนาคาร เน้น CPALL,CPAXT, BJC, TNP, KBANK
• (*/-) EA : EA จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ EA248A ในวันที่ 9 ส.ค. โดยจะขอขยายระยะเวลาชำระคืนอีก 10 เดือน 15 วัน และเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 1.89% (จากปัจจุบันที่ 3.11%) มองจิตวิทยาลบต่อตลาดที่อาจกังวลความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
• (*/+)Utilities: กกพ. เปิดเผยว่า การเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 2 จำนวน 3,668.5 MW ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกิจการพลังงาน (กบง.) มอบหมายให้ กกพ.ปรับหลักเกณฑ์ คาดว่าจะมีความชัดเจนและสามารถออกประกาศเชิญชวนได้ภายในงวด 4Q24 มองบวกต่อหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีโอกาสสูง เน้น GULF รวมถึง GUNKUL ที่ฐานธุรกิจยังเล็ก
• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 398 บริษัท (vs วันทำการล่าสุด 396 บริษัท) พบว่าส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยกลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 149 บริษัท (วันทำการล่าสุด 57 บริษัท) หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่216 บริษัท (วันทำการล่าสุด 251บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 30บริษัท (วันทำการล่าสุด 88 บริษัท) มองจิตวิทยาบวกต่อ SET
• (*) To Monitor: วันนี้ (2 ส.ค.) รายงานกำไรหุ้น Real Sector ได้แก่ TRUE สัปดาห์หน้า ติดตาม 1.) 5 ส.ค. เงินเฟ้อทั่วไป CPI ยังไม่มีคาด vs prev. 0.62%y-y 2.) 7 ส.ค. การวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล 3.) รายงานกำไรหุ้น Real Sector อาทิ ADVANC, DOHOME, QH, SHR, INTUCH, MINT, THCOM, TU, BBIK, BH, CPAXT, GPSC, PTTGC, TOP, BE8, ILM, PTT, WHA
Daily Strategy : CPALL, CPAXT, BJC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "พักฐาน" ตลาดหุ้นสหรัฐฯเริ่มกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ทำให้เกิดภาพการขายหุ้น Technology ที่ Outperform และกลุ่มพลังงาน หมุนไปยังกลุ่ม Defensive อาทิ Utilities, Consumer Staples, Healthcare และ สื่อสาร โดยหุ้นดังกล่าวใน SET วันนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีปัจจัยหนุนราย Sector น่าจะเป็นหุ้นนำได้เช่นกัน มองหุ้นนำ 1) กลุ่มโรงไฟฟ้า (Yield ลงเร่ง, เงินบาทยังอยู่ในโซนแข็งค่า, ราคาก๊าซ NYMEX -3.34%, กกพ. เดินหน้าประมูลโรงไฟฟ้าหมุนเวียนรอบ 2 เน้น GULF 2) หุ้นค้าปลีก กระแส Digital Wallet คึกคัก ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์วันแรก สูงกว่าคาด 14.4 ล้านคน (คาด 10 +/- ล้านคน) เน้น CPALL 3) หุ้นสื่อสาร (กระแสต่อยอด Data Center ชัดเจนขึ้น หลัง ADVANC x Oracle, TRUE รายงานกำไรวันนี้ คาดเด่น Turnaround y-y, +44%q-q) 4) หุ้น ร.พ. (ช่วงฤดูกาล) เน้น BDMS
หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC, MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)
• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Fed คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ตลาดมองดอกเบี้ยลด 3 ครั้ง ย้ำภาพดอกเบี้ยขาลง
ผลประชุม Fed : ผลประชุม Fed มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% Key Highlight คือถ้อยแถลงของ ประธาน Fed เผยข้อมูลเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะฝั่งเงินเฟ้อ และเริ่มกล่าวถึงการเปิดทางการลดดอกเบี้ยในปีนี้ หากอิง Statement ประเด็นที่เปลี่ยนแปลงรอบก่อน และสนับสนุนมุมมองการลดดอกเบี้ยคือ การอ่อนตัวลงของตลาดแรงงาน ปรับประโยคการจ้างงานเป็น "Moderated" (จากรอบก่อน Remained Strong) และ คาดอัตราการว่างงานสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ สนับสนุนมุมมองตลาดคาดโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปี 3 ครั้งๆละ 25 bps อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 4.5-4.75% สอดคล้องกับ MUFG คาดปีนี้จะเห็นการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งเช่นกัน
KSS ประเมิน หลังจากนี้ ตลาดจะเริ่มจับตารายงานทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคแรงงานมากขึ้น นำโดยอัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ก.ค. 24 ที่จะประกาศ 2 ส.ค. ไม่ควรสูงเกิน 4.2% อิงเกณฑ์ Sahm's Rule เสี่ยง "US Recession" ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า หรือช่วงต้นปี 2025 (Consensus คาดเฉลี่ย 4.1%) อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักอัตราว่างงานยังต่ำกว่าระดับดังกล่าวและเห็นด้วยกับมุมมอง Consensus ซึ่งจะเป็นภาพ Soft landing หากอิงดัชนีชี้นำฝั่ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
ทั้งนี้ น้ำหนักหลักในส่วนอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงทิศทางดังกล่าวจะหนุนภาพ Search for Yield มายัง SET Index ยังแกว่งที่ระดับ Current และ Forward ERP สูง 3.75% และ 4.31% ล้วนใกล้ระดับ Avg + 1 S.D. ที่ 4.07% น่าจะหนุน SET ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง กลยุทธ์เน้นกลุ่ม Yield ลดลง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF, BGRIM กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มหนี้สูง เน้น CPALL, CPAXT, TRUE, MINT
• MSCI Rebalance: ดัชนี MSCI มีกำหนดการประกาศผลการ Rebalance รอบใหม่วันที่ 12 ส.ค. (ไทยทราบผลเช้า 13 ส.ค.) โดยการ Rebalance จะมีผล 30 ส.ค. เบื้องต้นเราคาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงหลุดออกจากดัชนี ได้แก่ AWC GPSC EA เสี่ยงระดับกลาง คือ IVL เสี่ยงต่ำ คือ KTC ระยะสั้นมีโอกาสหุ้นชุดดังกล่าวจะมีโอกาสเคลื่อนไหว Underperform เชิงกลยุทธ์ให้เลี่ยงลงทุนไปก่อน
• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย
การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21
อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%
ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA
• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index
รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.
เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC
• ORI (Trading Buy, TP6): มุมมอง slightly negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q24F ที่ 440 ลบ. (-50% y-y, -5% q-q) เพราะต่ำกว่าที่คาดเดิม ทั้งนี้ถ้าไม่รวมกำไรพิเศษจากการจำหน่ายเงินลงทุนโครงการ JV (คาด 240 ลบ. ก่อนภาษี) คาด Norm. profit ที่ 248 ลบ. (-56% y-y, +26% q-q) ลดลงมาก y-y จากการโอนและ % GPM ต่ำกว่าคาด สำหรับ 1H24F เราคาดกำไรสุทธิที่ 0.9 พันลบ. (-46% y-y) คิดเป็น 40% ของกำไรสุทธิ 2.25 พันลบ. (-17% y-y) โดยโอกาสเป็นไปตามประมาณการยังมี จากแนวโน้มกำไรสุทธิ 2H24F ดีกว่า 1H24F ตาม condo ใหม่เข้ามาโอนมากขึ้นใน 2H24F เราคง TP24F ที่ 6.0 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ Trading Buy มองราคาหุ้นระยะสั้นถูกกดดันจากแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q24F ที่ไม่ดีนัก และ outlook 2H24F ถึงแม้ดีขึ้นแต่ก็ยังมี uncertainty ที่มาก และมีโอกาสถูกปรับลดประมาณการจาก consensus ได้อีก จึงแนะนำเพียง wait and see จนกว่าจะเห็น catalyst ใหม่ โดยยังห่วงเรื่องสภาพคล่อง จาก IBD/E ขึ้นมาที่ 1.9x ในสิ้น 1Q24
• CRC (Trading Buy, TP34): เราคาดราคาหุ้น CRC วันนี้มีโอกาสตอบรับเชิงลบ เพราะแนวโน้มกำไรปกติ 2Q24F จะเหลือ 1.78 พันลบ. (+4%y-y แต่ -29%q-q) ต่ำกว่าเราและตลาดเคยคาดเดิม 11-12%เพราะค่าใช้จ่ายสาขาใหม่เร่งขึ้น ทั้งนี้ เราปรับกำไรปกติปี 24-25F ลง -5%/-11% สะท้อน SSSG แย่ลงและ %SG&A/sales ขึ้น +30-40bps โดยคาดทั้งปี 24F โตแผ่วลงเหลือ +8% จาก +18% ในปี 23 และกลุ่มค้าปลีกปี 24F +19% ปรับคำแนะนำเหลือ TRADING BUY
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP