ดูดีขึ้นนะ
FED มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.5% ตามคาด แต่ก็ส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไป (18 ก.ย.67) ชัดเจนขึ้น และอาจเห็นการปรับลดในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2567 ได้ราว 3 ครั้ง ท่าทีดังกล่าวทำให้ BOND YIELD 10 ปี ปรับลดลงโดยล่าสุดอยู่ที่ 4.05% สำหรับในบ้านเรา แม้มีกระแสเรียกร้องออกมาจากกระทรวงการคลังที่ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่ท่าทีของ ธปท. ก็ยังเห็นว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การลดดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ตอบโจทย์ ในมุมของ
ตลาดหุ้นหาก FED ลงดอกเบี้ย 3 ครั้ง และบ้านเราคงดอกเบี้ย น่าจะส่งผลทำให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่ง ASPS RESEARCH ได้ศึกษาความสัมพันธ์ของส่วนต่าง BOND YIELD 10 ปี สหรัฐ-ไทย หากส่วนต่างแคบลงจะทำให้เงินบาทแข็งขึ้น โดยรอบนี้มีโอกาสแข็งค่าทะลุ 35 บาท/USD ลงมาได้ ซึ่งอาจสร้างแรงดึงดูด FUND FLOWสัญญาณบวกจาก FUND FLOW รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจากสถาบันในประเทศ ชัดเจนขึ้น คาด SET INDEX วันนี้อยู่ในกรอบ 1301 – 1325 จุดหุ้น TOP PICK เลือก IVL, PLANB และ PTTEP
ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เริ่มเป็นขาลงชัดเจน ตามถ้อยแถลงของประธาน FED มีผลต่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามกลไล
วานนี้มีการประชุม 2ธนาคารกลางใหญ่ เริ่มจากญี่ปุ่น (BOJ)ขึ้นดอกเบี้ย 15 BPS. สู่ระดับ 0.25% และปรับลดการซื้อพันธบัตรลงไตรมาสละ 4 แสนล้านเยน ส่งผลให้ค่าเงินUSDJPY แข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ระดับ 149 เหรียญฯ/เยน (1 เดือน เงินเยนแข็งค่าขึ้น7.4%) ส่วนสหรัฐฯ (FED) คงดอกเบี้ยระดับเดิม 5.50% พร้อมกับแสดงท่าที DOVISHอย่างชัดเจนในอนาคต โดยประธาน FED ได้กล่าวกับสื่อมวลชนหลังการประชุมว่าหากข้อมูลทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อ CPI มีสัญญาณอยู่ในทิศทางชะลอตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% FED ก็พร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในการประชุมครั้งหน้า นั้นคือ ก.ย.67
ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาด โดยระยะถัดไป จะเริ่มเห็นทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯเป็นขาลงชัดเจนขึ้น โดยตลาดประเมินว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยปีนี้ 3 ครั้ง โดยผลการสำรวจของ FED WATCH TOOL ให้น้ำหนักเกือบ 90% ที่คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 5.25% และทยอยปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ย.67 และ ธ.ค.67ลง 0.25% จนคาด ณ สิ้นปีดอกเบี้ยจะอยู่ระดับ 4.75% ประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้BOND YIELD 10Y สหรัฐ ปรับตัวลงแรง 2.65% อยู่ที่4.03% (ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน)และกดดัน DOLLAR INDEX อ่อนค่าแรง 0.44% อยู่ระดับ 104.10 จุด
สรุป การที่ BOJ ปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ซึ่งองค์ประกอบค่าเงินดอลลาร์มีสัดส่วนของค่าเงินเยนสูงเป็นอันดับ 2 ที่ 14% จึงทำให้ DOLLAR INDEXอ่อนค่าตามกลไล บวกกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีท่าทีลดดอกเบี้ยในอนาคต ยิ่งเป็นแรงเสริมให้ DOLLAR INDEX อ่อนค่ามากขึ้น ประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามกลไก และเป็นปัจจัยหนุนให้ FLOW ต่างชาติมีโอกาสหันมาสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ตามรายละเอียดในหัวข้อถัดไป
ทิศทางดอกเบี้ยขาลงชัดเจน โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีผลต่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามกลไล
วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงทองสหรัฐ ที่มีโอกาสลดดอกเบี้ยเร็วกว่าไทยมากในช่วงที่เหลือของปี โดยตลาดคาดว่า FED มีโอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ส่วน BOT น่าจะคงดอกเบี้ยเหมือนเดิม
ประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐกับไทยแคบลงเรื่อยๆ โดยฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการศึกษา ความสัมพันธ์ของส่วนต่าง BOND YIELD10ปีสหรัฐ – ไทย กับค่าเงินบาท พบว่า เคลื่อนไหวไปทิศทางเดียวกัน โดยมีค่า CORRELATION สูงถึง 0.85 โดย ทุกๆ ส่วนต่าง BOND YIELD ที่แคบลง 25 BPS.หนุนบาทแข็งขึ้น 0.7 บาท/เหรียญ อาจะจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยมากขึ้นเพราะ ต่างชาติมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม 6-7% ถ้าในช่วง6 เดือน ถึง 1 ปี สหรัฐลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง และไทยคงดอกเบี้ย อาจหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงไปอยู่ในกรอบ 33.1 –33.4 บาท/เหรียญ หรือแข็งค่าขึ้นราว 6-7%มีหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นนี้ คือ หุ้น HIGH YIELD ลง LH, SIRI, SCB, KBANK,TTB, PTTEP, หุ้นได้ประโยชน์บาทแข็ง GPSC, BGRIM, GULF
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ยังทำการศึกษาเพิ่มเติม พบว่า เวลาส่วนต่าง BOND YIELD10 ปี ไทยกับสหรัฐแคบลง FUND FLOW ต่างชาติมักจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ในทางกลับกันหาก BOND YIELD 10 ปี ไทยถูกสหรัฐทิ้งห่าง (GAP มากขึ้น) FUND FLOWก็มักจะไหลออก โดยทุกๆ ส่วนต่าง BOND YIELD 10Y(US-TH) แคบลง 5 ถึง 10BPS. หนุนให้ FUND FLOW ไหลเข้าได้ราว 1 หมื่นล้านบาท แต่ถ้า ส่วนต่าง BONDYIELD 10Y (US-TH) กว้างขึ้น 5 ถึง 10 BPS. กดดัน FUND FLOW ไหลออก 1 หมื่นล้านบาท
โดยมี 10 หุ้นที่ต่างชาติซื้อผ่าน NVDR สูงสุด ในเดือน ก.ค. 67 คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าเพิ่มเติมในช่วงต่อจากนี้ คือ DELTA 3.7 พันล้านบาท, BBL 2.6 พันล้านบาท,CPALL 2.5 พันล้านบาท, KBANK 2.1 พันล้านบาท, CPF 1.7 พันล้านบาท, TRUE1.5 พันล้านบาท, IVL 1.5 พันล้านบาท, PTTGC 1.3 พันล้านบาท, ADVANC 592พันล้านบาท, BGRIM 584 พันล้านบาท
หาหุ้นน้ำมันไทยยัง LAGGARD หลังราคาน้ำมันโลกดีดตัว
วานนี้น้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นแรงราว 5% และเช้านี้บวกต่ออีกราว 1% พุ่งขึ้นมาอยู่ที่78.67 เหรียญฯ หลังปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือน ขณะที่ปัจจัยเข้ามาช่วยผลักให้ราคาน้ำมัน REBOUND คงหนีไม่พ้นความกังวลจากฝั่ง SUPPY หลังความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มกลับมามีน้ำหนักอีกครั้งขณะที่สถานการณ์ความตรึงเครียดในตะวันออกกลาง (ภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันดิบมากถึง 1 ใน 3 ของโลก) ล่าสุด กลุ่มติดอาวุธฮามาสและสื่ออิหร่านรายงานตรงกันว่า “อิสมาอิล ฮานิเยห์“ หัวหน้ากลุ่มฮามาส ได้ถูกสังหารแล้วในอิหร่าน จากการโจมตีของอิสราเอล (อย่างไรก็ตามอิสราเอลยังไม่ได้ออกมาชี้แจงดังกล่าว) ซึ่งยังต้องติดตามถึงความเสี่ยงต่อการขยายวงกว้างของสงครามไปในระดับภูมิภาค
ในอีกแง่มุมหนึ่งของราคาน้ำมันดิบโลกที่ดีดตัวขึ้นแรง มองเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อ SET INDEX ด้วยเช่นกัน เนื่องจากหุ้นไทย MARKET CAP อิงราคาCOMMODITY เกือบ 1 ใน 3 ขณะที่หุ้นน้ำมันไทยที่ยัง LAGGARD ราคาน้ำมัน (YTD)อาทิ BCP IRPC BSRC PTT SPRC TOP PTTEP
สรุป ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรง หนุนราคาน้ำมันดิบโลกดีดตัว มองเป็นSENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นอิงราคาน้ำมัน และยัง LAGGARD อาทิ BCP IRPC PTTSPRC TOP PTTEP
เรื่องเล่าขั้นต่ำบัตรเครดิต
ท่ามกลางกระแสข่าว ธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาปรับลดการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำจาก 8% เหลือ 5% (ตามแผนปัจจุบันปี 2568 กลับสู่ระดับ 10% เท่ากับช่วง PRECOVID) หลังกลุ่มรายย่อยยังได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกันของเศรษฐกิจไทย ในมุมมองฝ่ายวิจัยกรณีที่เกิดขึ้น มองกลางต่อประเด็นดังกล่าว แม้ช่วยด้านการเติบโตของสินเชื่อบัตรเครดิต ตามการผ่อนชำระเงินต้นต่ำลง (สินเชื่อบัตรเครดิต ณ สิ้น เม.ย. 67 อยู่ที่ 4.7 แสนล้านบาท แบ่งเป็นของ ธ.พ. ราว 2.2 แสนล้านบาท และ NON – BANK ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท) และลดแรงกดดันด้านNPL บางส่วน ช่วยผ่อนคลายการตั้ง ECL อย่างไรก็ดีผลทางอ้อมทำให้ระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่อยู่สูงถึงประมาณ 90% มีแนวโน้มลดลงช้า ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการปรับขั้นต่ำเหลือ 5% จะยาวนานเท่าใด มีโอกาสเป็นปัจจัยฉุดรั้งกำลังซื้อในประเทศระยะถัดไป
สำหรับกลุ่ม NON – BANK ที่ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตเป็นหลัก อย่าง KTC,AEONTS (ทั้งคู่ฝ่ายวิจัยไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์) ย่อมได้ประโยชน์จากการเติบโตของสินเชื่อและ ECL ผ่อนคลาย มากกว่ากลุ่ม ธ.พ. ซึ่งมีสัดส่วนสินเชื่อบัตรเครดิต เมื่อเทียบกับพอร์ตรวมไม่สูง อาทิ BAY อยู่ที่ราว 4% ของพอร์ตสินเชื่อ, , SCB (ผ่าน บ.ย่อย CARDX รวมสินเชื่อบุคคล) อยู่ที่ราว 4% ของพอร์ตสินเชื่อ, KBANK ราว 4%ของพอร์ตสินเชื่อ, KTB (ผ่าน บ. ย่อย KTC) สัดส่วนราว 3% ของพอร์ตสินเชื่อ และTTB ราว 3% ของพอร์ตสินเชื่อ
โดยการลงทุนกลุ่มธนาคาร ให้น้ำหนัก เท่าตลาด มองว่า VALUATION เชิง PBV ไม่แพง ประกอบกับ DIV YIELD ตั้งแต่ 5% - 9% ภาพรวมถือว่าน่าสนใจ เลือก ธ.พ. ที่การควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีต่อเนื่อง เรียงตามความชอบดังนี้ KTB(OUTPERFORM : FV@B19.8), KBANK (OUTPERFORM : FV@B148) > TTB(OUTPERFORM : FV@B1.98) > BBL (OUTPERFORM : FV@B175) > TISCO(NEUTRAL : FV@B100) > SCB (NEUTRAL : FV@B102) > KKP
(UNDERPERFORM : FV@B38)
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์